Home บทความฟุตบอล ส่องผลงานกุนซือ เชลซี ยุคเสี่ยหมี

ส่องผลงานกุนซือ เชลซี ยุคเสี่ยหมี

0
ส่องผลงานกุนซือ เชลซี ยุคเสี่ยหมี

สถานการณ์ ณ ปัจจุบันของ แฟรงค์ แลมพาร์ด เทรนเนอร์หนุ่ม เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนักหลังพา “สิงโตน้ำเงินคราม” ทำผลงานได้ไม่ดีนักด้วยการรั้งเพียงอันดับ 9 ในตารางคะแนน

ในเกมลีกนัดล่าสุด แลมพาร์ด ก็ทำผลงานย่ำแย่อีกด้วยการพา เชลซี เปิดรังสแตมฟอร์ด บริดจ์ พ่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบหมดรูป 1-3 ทั้งที่ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา “สิงโตน้ำเงินคราม” ลงทุนเสริมทัพไปมากมาย

ขณะเดียวกัน หลายคนรู้ดีว่า นับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเข้ามาเป็นเจ้าของ เชลซี ตั้งแต่ปี 2003 นั้น เขาเชือดผู้จัดการทีมเป็นว่าเล่นหากผลงานไม่เข้าตาไม่ว่าโค้ชคนนั้นจะโด่งดังแค่ไหนก็ตาม

อบราโมวิช ใช้กุนซือไปแล้ว 14 คนรวมถึงรายล่าสุดอย่าง แลมพาร์ด ด้วย และถึงแม้ แลมพาร์ด จะเป็นนักเตะระดับตำนานของสโมสร แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า อนาคตของเขาจะปลอดภัยจากผลงานที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และบางทีเขาอาจเป็นเหยื่อเหมือนอดีตนายใหญ่ “สิงห์บลู” หลายคนที่ผ่านมาก็เป็นได้  

Photo : skysports.com

1. เคลาดิโอ รานิเอรี่ (กันยายน ปี 2000 – พฤษภาคม ปี 2004)

รานิเอรี่ คุม เชลซี ไปแล้วตอนที่ อับราโมวิช เข้ามาซื้อสโมสรในช่วงซัมเมอร์ปี 2003 แต่เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียน ได้โอกาสทำงานต่อไปอีกเพียงปีเดียวเท่านั้น ซึ่งหลังพา “สิงโตน้ำเงินคราม” คว้ารองแชมป์พรีเมียร์ลีกเขาก็โดนไล่ออกในปี 2004

ขณะเดียวกัน น่าเสียดายที่ รานิเอรี่ ไม่สามารถคว้าแชมป์ร่วมกับ เชลซี ได้เลยแม้แต่รายการเดียว โดยคุมทีมทั้งสิ้น 199 เกม มีอัตราการชนะ : 54%

Photo : skysports.com

2. โชเซ่ มูรินโญ่ (มิถุนายน ปี 2004 – กันยายน ปี 2007)

หลังสร้างความยิ่งใหญ่กับ เอฟซี ปอร์โต้ มูรินโญ่ ก็ย้ายมายังถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมกับใช้เงิน กว่า 100 ล้านปอนด์ คว้านักเตะใหม่อย่าง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ปีเตอร์ เช็ก, ริคาร์โด้ คาวัลโญ่, เกล็น จอห์นสัน, โคล้ด มาเกเลเล่, มาเตยา เคซมัน และ อาร์เยน ร็อบเบน, เปาโร แฟร์เรร่า และ ติอาโก้ เมนเดส มาร่วมทีม

“เดอะ สเปเชี่ยล วัน” พา เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีแรกได้สำเร็จซึ่งเป็นแชมป์แรกในรอบ 50 ปีของสโมสร และยังสามารถป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลต่อมา จากนั้น ในปี 2007 เขาพาทีมเริ่มต้นซีซั่นได้ไม่ดีนัก บวกกับมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับ อับราโมวิช ก่อนจะโดนปลดในเวลาต่อมา

มูรินโญ่ คุมทีมทั้งสิ้น 185 เกม อัตราการชนะ: 67%

Photo : skysports.com

3. อัฟราม แกรนท์ (กันยายน ปี 2007 – พฤษภาคม ปี 2008)

มีการอ้างว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ มูรินโญ่ ไม่พอใจ คือการตัดสินใจของ อับราโมวิช ที่แต่งตั้งให้ แกรนท์ เป็นผู้อำนวยการฟุตบอล เชลซี ในช่วงซัมเมอร์ปี 2007

โค้ชชาวอิสราเอล ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ อับราโมวิช ได้รับการว่าจ้างให้มาดูแล อังเดร เชฟเชนโก้ หัวอดีตหอกทีมชาติยูเครน ที่ เชลซี คว้าตัวมาเมื่อปี 2006 จาก เอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 31 ล้านปอนด์ แต่ในเวลานั้น มูรินโญ่ กลับไม่ใช้งาน

สุดท้าย มูรินโญ่ โดน อับราโมวิช ไล่ออก และ แกรนท์ ที่ไม่ได้มีใบอนุญาตคุมทีม “โปรไลเซนซ์” ก็ได้รับการแต่งตั้งให้กุมบังเหียน เชลซี แทนท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนัก แต่เขาก็พาทีมเข้ารู่รอบชิงฯยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ในเกมรอบชิงฯที่มอสโกว์ ประเทศรัสเซีย “สิงโตน้ำเงินคราม” พ่ายการดวลพ่ายจุดโทษให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนดเต็ด อย่างน่าเสียดาย  และ แกรนท์ ก็โดนปลดในซัมเมอร์ปี 2008 โดยคุมทีมทั้งสิ้น 54 เกม อัตราการชนะ: 67%

Photo : skysports.com

4. หลุยส์ ฟิลิเป้ สโคลารี่ (กรกฎาคม ปี 2008 – กุมภาพันธ์ ปี 2009 )

ในวลานั้น เชลซี ต้องการผู้จัดการทีมระดับบิ๊กเนมเพื่อเอาใจสาวก “สิงห์บลู” และ อับราโมวิช ก็ตัดสินใจจ้าง สโคลารี่ ซึ่งเป็นเทรนเนอร์ทีมชาติโปรตุเกสเข้ามาคุมทีมด้วยสัญญา 3 ปีครึ่ง พร้อมกับค่าเหนื่อยมหาศาล

“บิ๊กฟิล” ใช้เวลาเพียง 7 เดือนกับ เชลซี และไม่สามารถพาทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ ก่อนจะโดนปลดในเวลาต่อมา โดยคุมทีม 36 เกม อัตราการชนะ: 56%

Photo : teamtalk.com

5. กุส ฮิดดิ้งค์ (กุมภาพันธ์ ปี 2009 – พฤษภาคม ปี 2009)

เมื่อ สโคลารี่ ถูกไล่ออก ฮิดดิ้งค์ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เช้ามาเป็นกุนซือ เชลซี ชั่วคราวจนจบฤดูกาลเพื่อกอบกู้วิกฤต และในขณะเดียวกันเขาก็ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชาติรัสเซียไปด้วย

เทรนเนอร์จอมเก๋าชาวดัตช์ ทำผลงานได้อย่างน่าเหลือเชื่อหลังพา เชลซี เข้าไปถึงรอบรองฯยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ต้องพ่ายให้กับ บาร์เซโลน่า ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ ฮิดดิ้งค์ ยังพา “สิงห์บลู” คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ปลอบใจได้สำเร็จก่อนจบภารกิจโดยคุมทีม 22 เกม อัตราการชนะ : 73%

Photo : skysports.com

6. คาร์โล อันเชล็อตติ (มิถุนายน ปี 2009 – พฤษภาคม ปี 2011)

หลังจากใช้เวลานานถึง 8 ปี กับ เอซี มิลาน พร้อมกับขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในตำนานกุนซือของ “ปีศาจแดงดำ” อันเชล็อตติ กลายเป็นผู้จัดการทีม เชลซี รายที่ 6 ในรอบ 6 ปี หลังจากที่ อับราโมวิช เข้ามาครอบครองสโมสร

ในเวลานั้น อับราโมวิช ต้องการสร้าง เชลซี สายเลือดใหม่ และวางรากฐานที่มั่นคงให้กับทีม ซึ่งดูเหมือนว่า อันเชล็อตติ จะตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดีหลังพา “สิงโตน้ำเงินคราม” คว้าทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก และแชมป์เอฟเอ คัพ ในปีแรกที่คุมทีม

อย่างไรก็ตาม อีกปีต่อมา อันเชล็อตติ ไม่สามารถพา เชลซี คว้าแชมป์รายการใดมาครองได้อีกเลย และโดนแจ้งว่า จะต้องพ้นจากตำแหน่งหลังเกมบุกไปพ่าย เอฟเวอร์ตัน ที่สนามกูดิสัน ปาร์ค 0-1 โดยคุมทีมทั้งสิ้น 109 เกม อัตราการชนะ : 61%

Photo : skysports.com

7. อังเดร วิลลาส โบอาส (มิถุนายน ปี 2011 – มีนาคม ปี 2012)

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดกับ เอฟซี ปอร์โต้ ด้วยการคว้าแชมป์ลีกโปรตุเกส และแชมป์ยูโรป้า ลีก โบอาส ได้โอกาสครั้งสำคัญในอาชีพกุนซือด้วยการมาคุม เชลซี แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ประสบความสำเร็จในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์

เทรนเนอร์หนุ่มเลือดฝอยทองไม่สามารถรับมือกับแข้งระดับซุเปอร์สตาร์ของ เชลซี ได้ และผลงานอันน่าผิดหวังของเขาด้วยการพาทีมเอาชนะได้แค่ 3 จาก 12 เกมในลีกนั้น ก็เพียงพอที่ทำให้ อับราโมวิช ตัดสินใจไล่ออก โดย โบอาส คุมทีม 40 เกม อัตราการชนะ: 48%

Photo : skysports.com

8. โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ (มีนาคม ปี 2012 – พฤศจิกายน ปี 2012 )

ดิ มัตเตโอ ซึ่งเป็นอดีตนักเตะของ เชลซี ได้รับการต้อนรับอย่างจากแฟนบอลอย่างอบอุ่นหลังได้รับการแต่งตั้งจากตำแหน่งผู้ช่วยกุนซือให้ขึ้นมาทำหน้าที่แทน อังเดร วิลลาส โบอาส

โค้ชชาวอิตาเลียน ทำผลงานได้อย่างสุดเซอร์ไพรส์ หลังพา เชลซี คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และแชมป์เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ ก่อนจะได้รับสัญญาถาวรเป็นเวลา 2 ปี แต่หลังจากนั้น ดิ มัตเตโอ ทำผลงานได้น่าผิดหวัง ก่อนจะโดนไล่ออกหลังเป็นกุนซือเต็มตัวได้เพียง 8 เดือน โดยคุมทีม 42 เกม อัตราการชนะ: 57%

Photo : skysports.com

9. ราฟาเอล เบนิเตซ (พฤศจิกายน ปี 2012 – พฤษภาคม ปี 2013)

อดีตนายใหญ่ ลิเวอร์พูล ได้รับเผือกร้อนต่อจาก โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ให้เข้ามาช่วยกอบกู้วิกฤต เชลซี ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลหลังมีแต้มตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมจ่าฝูงในพรีเมียร์ลีกแบบไม่เห็นฝุ่น

แม้จะอยู่กับ เชลซี ไม่นาน แต่ เบนิเตซ ยังสามารถาทีมคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก ได้สำเร็จ และพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ในลีก โดยคุมทีม 48 เกม อัตราการชนะ: 58%

Photo : skysports.com

10. โชเซ่ มูรินโญ่ (มิถุนายน ปี 2013 – ธันวาคม ปี 2015)

“เดอะ สเปเชี่ยล วัน” หวนกลับมาที่ เชลซี อีกครั้ง พร้อมกับได้ร่วมงานกับนักเตะเก่าที่คุ้นเคยอย่าง จอห์น เทอร์รี่, แฟรงค์ แลมพาร์ด, แอชลี่ย์ โคล, ปีเตอร์ เช็ก และ ไมเคิ่ล เอสเซียง โดยในปีแรกเขาพาทีมจบอันดับ 3 พรีเมยีร์ลีก

ในซัมเมอร์ปี 2014 มูรินโญ่ ยกเครื่อง เชลซี ครั้งใหญ่ด้วยการคว้านักเตะอย่าง เนมานย่า มาติช, เชส ฟาเบรกาส, เฟลิเป้ หลุยส์ และ ดิเอโก้ คอสต้า มาเสริมทัพ พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และลีก คัพ ได้สำเร็จ 

อย่างไรก็ตาม ในซีซั่น 2015-2016 มูรินโญ่ พา เชลซี เริ่มต้นได้อย่างย่ำแย่หลังแพ้ในลีกไปถึง 9 จาก 16 เกมที่ลงสนาม รวมถึงไปอยู่ในโซนตกชั้น และ อับราโมวิช ก็ไม่รอช้าที่จะเชือดเขาอีกครั้ง โดยโค้ชโปรตุเกส คุมทีมไป 136 เกม อัตราการชนะ: 59%

Photo : skysports.com

11. กุส ฮิดดิ้งค์ (ธันวาคม ปี 2015 – พฤษภาคม ปี 2016 )

มันเหมือนเหตุการณ์ที่ซ้ำรอบอีกครั้งระหว่าง ฮิดดิ้งค์ และ เชลซี หลังจากที่เขาต้องเข้ามารับงานต่อจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่โดนไล่ออกเป็นคำรบที่ 2

ฮิดดิ้งค์ รับงานคุม เชลซี ชั่วคราวจนจบฤดูกาล 2015-16 และพาทีมไม่แพ้ใครใน 12 เกมแรกของเขาก่อนจะพา “สิงโตน้ำเงินคราม” หนีโซนตกชั้นมาจบในกลางตารางสำเร็จ โดยคุมทีม 27 เกม อัตราการชนะ: 37%

Photo : skysports.com

12. อันโตนิโอ คอนเต้ (กรกฎาคม ปี 2016 – กรกฎาคม ปี 2018)

หลังเสร็จสิ้นภารกิจลุยศึกฟุตบอลยูโร 2016 กับทีมชาติอิตาลี คอนเต้ ก็มารับงานที่ เชลซี พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในปีแรกที่คุมทีมด้วยสถิติสุดหรูด้วยการเก็บชัยชนะได้มาถึง 30 จาก 38 เกมในลีก

ในฤดูกาลต่อมา โค้ชชาวอิตาเลียน ยังพา เชลซี คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ แต่ผลงานในลีกไม่ดีเท่าที่ควรหลังพาทีมจบอันดับ 5 หมดสิทธิไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จึงทำให้ อับราโมวิช ปลดเขาออกท่ามกลางข่าวลือที่ต้องจ่ายเงินชดเชยถึง 30 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

คอนเต้ คุมทีม 106 เกม อัตราการชนะ: 65%

Photo : skysports.com

13. เมาริซิโอ ซาร์รี่ (กรกฎาคม ปี 2018 – มิถุนายน ปี 2019)

หลัง อันโตนิโอ คอนเต้ โดนไล่ออก อับราโมวิช ก็ยังเลือกใช้งานโค้ชชาวอิตาเลียนอีกครั้งหลังแต่งตั้ง ซาร์รี่ ที่ทำผลงานได้ดีกับ นาโปลี ให้เข้ามากุมบังเหียน เชลซี

น่าเสียดายที่เคมีของ ซาร์รี่ กับ เชลซี ดูจะไม่เข้ากันนัก ถึงแม้เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก ได้สำเร็จ แต่ภาพลักษณ์ที่ชอบสูบบุหรี่ และมีปัญหาเรื่องการสื่อสารภาษาอังกฤษนั้น ทำให้ เทรนเนอร์วัย 61 ปี โดนปลด โดยคุมทีม 63 เกม อัตราการชนะ: 62%

Photo : skysports.com

14. แฟรงค์ แลมพาร์ด (กรกฎาคม ปี 2019 – ปัจจุบัน)

หลังประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะกับ เชลซี แลมพาร์ด ก็หวนกลับสู่สโมสรอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 2019

ในฤดูกาลที่ผ่านมา แลมพาร์ด ผลักดันผู้เล่นเยาวชนของ เชลซี เข้าสู่ทีมชุดใหญ่หลายรายอาทิ เมสัน เมาท์, แทมมี่ อับราฮัม, รีส เจมส์ และ ฟิกาโย่ โทโมริ พร้อมกับพาพลพรรค “สิงโตน้ำเงินครา” จบอันดับ 4 คว้าตั๋วไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ

ซีซั่นนี้ แลมพาร์ด จัดการผ่าเครื่อง เชลซี ครั้งใหญ่ด้วยการคว้านักเตะดังมาเสริมทัพมากมายไล่ตั้งแต่ ฮาคิม ซิเยค, ติโม แวร์เนอร์, ไค ฮาแวร์ตซ์, เอดูอาร์ เมนดี้, เบน ชิลเวลล์ รวมถึง ธิอาโก้ ซิลวา แต่ผลงานยังไม่เข้าเป้าที่ที่ควร และต้องรอดูว่า อับราโมวิช จะตัดสินใจอย่างไรต่อไป

แลมพาร์ด คุมทีม 80 เกม อัตราการชนะ: 51.25%

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้