Home บทความฟุตบอล มาริโอ เกิตเซ่ ฮีโร่ผู้ถูกลืม

มาริโอ เกิตเซ่ ฮีโร่ผู้ถูกลืม

0
มาริโอ เกิตเซ่ ฮีโร่ผู้ถูกลืม

คำพูดของ โจอาคิม เลิฟ เทรนเนอร์ทีมชาติเยอรมันที่บอกว่า “แสดงให้โลกเห็นว่าคุณดีกว่า เมสซี่” ยังคงก้องอยู่ในหัวของ มาริโอ เกิตเซ่ มิดฟิลด์วัย 22 ปี กำลังจะลงสนามในเกมนัดชิงชนะเลิศศึกฟุตบอลโลกปี 2014 ที่พลพรรค “อินทรีเหล็ก” พบกับ อาร์เจนติน่า

ภายหลังได้ลงสนาม 10 นาทีจากนั้น เกิตเซ่ เป็นฮีโร่ซัดประตูชัยช่วยให้เยอรมันเอาชนะ อาร์เจนติน่า ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยหลังจบเกม เลิฟ กล่าวชม เกิตเซ่ ว่า “เกิตเซ่ เป็นเด็กมหัศจรรย์ เขาสามารถเล่นตำแหน่งใดก็ได้ในแนวรุก”

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามันค่อนข้างน่าเหลือเชื่อที่ เกิตเซ่ กลับต้องดิ้นรนในเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลอย่างหนัก และฤดูกาลนี้ เพลย์เมคเกอร์ชาวเยอรมัน ตัดสินใจย้ายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบเงียบๆกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ทีมดังแห่งศึกเอเรดิวิซี่ลีก ฮอลแลนด์

แจ้งเกิดกับ ดอร์ทมุนด์

Photo : sport.de

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2009 เกิตเซ่ วัย 17 ปี ได้แจ้งเกิดเป็นเกมแรกกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากนั้น ในปี 2013 เขาย้ายไปยัง บาเยิร์น มิวนิค และประสบความสำเร็จอย่างมากมายกับ “เสือใต้” ก่อนจะกลับไปยัง “เสือเหลือง” อีกครั้งในปี 2016 และถูกปล่อยออกจากสโมสรแบบไร้ค่าตัวเมื่อปีที่แล้วทั้งที่เจ้าตัวอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น 

ปัจจุบัน เกิตเซ่ ไม่ใช่เด็กวัย 17 ปีที่ได้ลงสนามครั้งแรกให้กับ ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การนำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อีกแล้ว เขาเติบโตขึ้นมาก และมีดีกรีคว้าแชมป์บุนเดสลีกาตลอดอาชีพถึง 5 สมัย แต่มันเป็นปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่ทำให้อดีตแข้ง “เสือเหลือง” โชว์ฟอร์มได้ไม่ต่อเนื่อง

เกิตเซ่ กล่าวว่า “ผมไม่เห็นว่าตัวเองเป็น มาริโอ เกิตเซ่ คนเดิมอีกแล้ว ผมคิดว่า พวกคุณมีช่วงเวลาที่แตกต่างกันในอาชีพการงานของคุณ คุณอายุมากขึ้น คุณได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆมากมาย และที่สำคัญคือต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลาในทางที่ถูกต้อง”

ในเวลานี้ เกิตเซ่ กำลังสนุกกับฟุตบอลอีกครั้ง และใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกับ พีเอสวี ซึ่งเขาก็พร้อมจะรับมือกับคำวิจารณ์ในช่วงที่ผ่านมา โดยกองกลางชาวเยอรมันแสดงความตั้งใจออกมาอย่างเต็มที่เมื่อลงสนามเพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า ตัวเองยังเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม

ย้อนกลับไปฤดูกาล 2012-2013 เกิตเซ่ ทำผลงานให้กับ ดอร์ทมุนด์ ได้อย่างสุดยอดด้วยการมีส่วนร่วมในการทำประตู 30 ลูก จาก 44 เกมที่ลงสนาม ซึ่งทำให้ ฟรานซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์ ตำนานกองหลังทีมชาติเยอรมันของ บาเยิร์น ชื่นชมว่า มีฝีเท้าเทียบเท่ากับ อันเดรส อิเนียสต้า และ ชาบี เอร์นานเดซ อดีต 2 สุดยอดมิดฟิลด์ บาร์เซโลน่า

ย้ายไป บาเยิร์น

Photo : 90min.com

ก่อนเกมรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2013 ระหว่าง ดอร์ทมุนด์ กับ เรอัล มาดริด จะเริ่มเพียง 36 ชั่วโมง บาเยิร์น ยื่นข้อเสนอ 37 ล้านยูโรเพื่อของซื้อตัว เกิตเซ่ โดยข่าวดังกล่าวทำให้ คล็อปป์ และ มิชาเอล ซอร์ค ผู้อำนวยการกีฬา “เสือเหลือง” ถึงกับใจสลาย และต้องยอมปล่อย เกิทเซ่ ในท้ายที่สุด

ปีแรกกับ บาเยิร์น เกิตเซ่ โชว์ฟอร์มในตำแหน่ง False9 ได้อย่างโดดเด่น และหลังจบฤดูกาลเขามีชื่อติดทีมชาติเยอรมันไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลในฐานะดาวรุ่งมากพรสวรรค์พ้อมกับได้รับฉายาจากสื่อมวลชนเมืองเบียร์ว่า “ก็อตซินโญ่”

เกิตเซ่ เล่าต่อว่า “ผมคิดว่า สำหรับผมมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นตอนที่ผมยังเด็ก เพราะผมใฝ่ฝันที่จะเล่นฟุตบอลโลก และทำประตูในทัวร์นาเมนต์นี้มาตลอด ผมคิดว่า มันเป็นความฝัน แน่นอนว่า ผมยังเด็กมากผมต้องมองโลกในแง่ดี และคิดบวกเสมอ แต่ผมไม่กดดันตัวเอง ความคาดหวังต่างๆจะมาจากรอบข้างคุณ”

อย่างไรก็ตาม ในอีก 2 ฤดูกาลต่อมา เกิตเซ่ ฟอร์มตกอย่างหนัก และเขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับ เนย์มาร์ สุดยอดกองหน้าทีมชาติบราซิล ของ บาร์เซโลน่า ซึ่งในเวลานั้น เป็ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ บาเยิร์น อยากได้ตัวมาร่วมทีม

เบ็คเค่นเบาเออร์ ที่เคยชื่นชมก็ออกมาวิจารณ์ เกิตเซ่ ที่กำลังจะถูกปล่อยตัวกลับไปยัง ดอร์ทมุนด์ ว่า “พฤติกรรมของเขาไม่เหมาะกับ บาเยิร์น ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเติบโตขึ้น เขาต้องแสดงให้ ดอร์ทมุนด์ เห็นแล้วว่า เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง เรารู้ว่า เขาเป็นนักเตะมากพรสวรรค์ แต่เขายังมีบางสิ่งที่ขาดหายไป”

กลับสู่ “เสือเหลือง”

Photo : bvbwatch.com

เกิตเซ่ ย้ายกลับไปยัง ดอร์ทมุนด์ ในปี 2016 โดยก่อนหน้านั้น 116 วัน เขาไม่ได้ลงเล่นเลยเนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บเอ็นร้อยหวายติดมาจาก บาเยิร์น และในช่วงต้นปี 2017 เขายังคงตอบต้องคำถามเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นเก่าๆที่หายไป

เกิตเซ่ อธิบายว่า “ผมไม่สามารถยิงประตูได้ตลอดเวลาหรอก เมื่อผมเล่นหรือถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองเหมือนในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มันมีอะไรมากกว่านี้ในวงการฟุตบอลยุคปัจจุบัน ทุกวันนี้มันซับซ้อน” ซึ่งในเวลานั้น เกิทเซ่ ถูกตรวจพบว่า เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจึงทำให้เขาถูกตัดออกจากทีมในช่วงที่เหลือของซีซั่น

ในเวลานั้น เกิตเซ่ เล่าว่า เขาฝึกซ้อมหนักมากเกินไปเพื่อเรียกฟอร์มกลับมา และพยายามต่อสู้กับความรู้สึกเหนื่อยล้าเหล่านั้นเพื่อเอาชนะเสียงวิจารณ์ โดยระบุว่า “มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลย แต่มันเป็นกระบวนการเรียนรู้สำหรับผม

“ตอนที่ผมอายุ 17-18 ปี ผมไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับบุนเดสลีกา ดังนั้น คุณต้องลองทำบางอย่าง และปรับปรุงตัวเอง และบางครั้งก็ถอยหลังไป 2-3 ก้าว และเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ และเป็นกระบวนการ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขกับการพัฒนาตัวเอง”

ทบทวนตัวเอง

Photo : irishmirror.ie

ภายในใจของ เกิตเซ่ ยังคงคิดว่า ฟุตบอลไม่ได้ทำให้เขาหลีกหนีจากความคาดหวังต่างๆ และในปี 2018 มิดฟิลด์ชาวเยอรมัน ยังยอมรับว่า เขาได้ทบทวนเส้นทางอาชีพของตัวเอง และต้องการมองไปข้างหน้ามากกว่าจะจมอยู่ดับอดีต

เกิตเซ่ กล่าวว่า “ผมไม่สามารถลืมมันไปได้ ถ้าผมสามารถบอกตัวเองตอนเป็นดาวรุ่งได้ผมคงพูดว่า นายควรผ่อนคลายสักหน่อย และมองภาพกว้างๆ เพราะนายไม่ได้เล่นอีกเพียง 2-3 ปี นายจะมีเวลาอีก 15 ปีในการพัฒนา และปรับปรุงตัวเอง และไม่ทุ่มเทกับตัวเองมากจนเกินไป และผ่อนคลายมากขึ้นอีกนิด”

“แต่จากภายนอกแน่นอนว่า มีสื่อ และแรงกดดันมากมาย แต่สิ่งเดียวที่สำคัญคือ มุมมองของผมเองและพัฒนาการของผม บางทีผมอาจกดดันตัวเองมากเกินไป และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญกว่าสิ่งที่คนอื่นคาดหวังหรือพูด เพราะท้ายที่สุดแล้วมันคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับตัวคุณเอง และคุณเห็นตัวเองเป็นอย่างไร”

ความกดดันที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้น เป็นผลมาจากความทะเยอทะยานส่วนตัวของ เกิตเซ่ ที่พยายามพัฒนา และปรับปรุงตัวเองทุกวัน และตลอดเวลา แต่ตอนนี้ ดาวเตะวัย 28 ปี รู้สึกผ่อนคลายอีกครั้ง และกลับมามีความสุขกับการเล่นฟุตบอล

เริ่มต้นใหม่กับ พีเอสวี

Photo : archyde.com

เกิตเซ่ ถูกปล่อยออกจาก ดอร์ทมุนด์ ในเดือนมิถุนายนปี 2020 โดยปีสุดท้ายของเขาที่สโมสรนั้น”เสือเหลือง” เปลี่ยนแปลงแท็คติคไปมากหลังจากเซ็นสัญญาคว้าตัว เออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ จาก เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เข้ามาเสริมทัพ

ภายหลังอำลาถิ่น ซิกแนล อิดูน่าปาร์ค เกิตเซ่ ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และหันไปเล่นโยคะ กับฟิตเนส นอกจากนี้ เขายังได้รับควาสนใจจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น รวมถึง ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค เทรนเนอร์ บาเยิร์น ยังพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับการกลับมาเล่นในทัพ “เสือใต้” แต่สุดท้ายถูกปฏิเสธโดย ฮาซาน ซาลิฮามิดซิช ผู้อำนวยการกีฬา บาเยิร์น

ขณะเดียวกัน ยังมีหลายสโมสรแสดงความสนใจในตัว เกิตเซ่ อาทิ ทีมในเมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ และทีมในบุนเดสลีกาอย่าง แฮร์ธ่า เบอร์ลิน และ เอฟซี โคโลญจน์ รวมทั้งทีมอย่าง เอซี มิลาน, โรม่า, เซบีย่า และ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

สุดท้ายเป็น พีเอสวี ที่ได้ลายเซ็น เกิตเซ่ ไปครอบครอง โดยอดีตมิดฟิลด์ บาเยิร์น ให้เหตุผลว่า พีเอสวี เป็นทีมใหญ่ในฮอลแลนด์ที่ประสบความสำเร็จมากมาย และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และที่สำคัญมี โรเจอร์ ชมิดท์ อดีตโค้ช เลเวอร์คูเซ่น เป็นกุนซือคนปัจจุบัน

เกิตเซ่ กล่าวต่อว่า “ผมคิดว่า พีเอสวี มีรูปแบบการเล่นที่กล้าหาญมาก นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว โดยเฉพาะเมื่อปีที่แล้วผมแทบไม่ได้ลงเล่นเลย นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผม ผมคิดว่า ผมอยู่ใกล้จุดพีค ผมแค่ต้องเล่นให้ได้จังหวะเหมาะสม ผมคิดว่า นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมในตอนนี้ และจากนั้น เราต้องคอยดูกัน เพราะมันขึ้นอยู่กับทีม และความสำเร็จของเราทั้งหมดด้วย”

ขณะที่ ชมิดท์ กล่าวถึง เกิทเซ่ ว่า “เขาเป็นเหมือนของขวัญที่จะทำให้เพื่อนร่วมทีมของเขาดีขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำให้เขามีสภาพร่างกายที่พร้อมที่สุด และปล่อยให้เขาเป็นตัวของตัวเองได้ดีที่สุด”

ถ่ายทอดบทเรียน

Photo : twitter.com/MarioGoetze

ในเวลานี้ เกิตเซ่ กำลังถ่ายทอดประสบการณ์ และความรู้ของตัวเองไปยังรุ่นน้องอย่าง โมฮัมเหม็ด อามีเนะ อีฮัตตาเริน กองกลางดาวรุ่งมากพรสวรรค์วัย 18 ปี ของ พีเอสวี เนื่องจาก ทั้งคู่เล่นในตำแหน่งเดียวกัน และมีเส้นทางที่คล้ายกัน

เกิตเซ่ กล่าวว่า“สำหรับ อีฮัตตาเรินมันเป็นสถานการณ์เดียวกันกับตอนที่ผมยังเด็กที่ต้องค้นหาความสม่ำเสมอ และทำความเข้าใจกับการเล่นในระดับนั้น แต่มันต้องใช้เวลา มันเป็นกระบวนการ และเขาจะเรียนรู้จากประสบการณ์”

นอกจากจะมอบประสบการณ์ และการให้คำปรึกษากับรุ่นน้องแล้ว เกิตเซ่ ยังทำผลงานส่วนตัวกับ พีเอสวี ได้อย่างน่าประทับใจด้วยการซัดไป 4 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ จาก 11 เกมรวมทุกรายการในฤดูกาลนี้

อดีตเพลย์เมคเกอร์ บาเยิร์น กล่าวว่า “ถ้าผมมองย้อนกลับไปในปีที่แล้ว มันสำคัญมากที่ผมได้เล่น และเป้าหมายส่วนตัวของผมคือ การมีส่วนร่วมกับทีม และเราเห็นแล้วว่า มันเป็นอย่างไร ผมพยายามอยู่ในช่วงเวลานี้สนุกกับมัน และพยายามให้ดีที่สุด”

โอกาสคืนสู่ทัพ “อินทรีเหล็ก”

photo : empireofthekop.com

ขณะเดียวกัน เกิตเซ่ ยังคงมีความหวังที่จะกลับไปรับใช้ทีมชาติเยอรมันอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เขาติดทัพ “อินทรีเหล็ก” ไปแล้ว 63 เกม ซัดไป 17 ประตู โดยกล่าวว่า “ผมกับ โจอาคิม เลิฟ ยังคงติดต่อกันเสมอ”

“ผมรู้จักเขาตั้งแต่ผมอายุ 18 ปี ผมได้ทำงานร่วมกับเขา เราประสบความสำเร็จด้วยกัน เขาเป็นคนดี และเป็นโค้ชที่เก่งมาก แต่สำหรับผมในฐานะผู้เล่น ผมตัดสินใจไม่ได้ ผมไม่ใช่คนตัดสินใจ แต่ผมก็เปิดใจรับมันเสมอ”

เกิตเซ่ เปลี่ยนไปจากเดิมมาก เขาเรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมามากขึ้น และเมื่อถูกถามว่าจะอยู่กับ พีเอสวี เกินสัญญา 2 ที่เขาเซ็นไว้หรือไม่ อดีตดาวรุ่ง ดอร์ทมุนด์ ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่อยากมองอนาคตไกลเกินไป สำหรับผมมันเป็นช่วงเวลาหนึ่ง และเมื่อถึงเวลาแล้วเราค่อยมาดูกัน”

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้