เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ประกาศแต่งตั้ง มาร์โก โรส เทรนเนอร์ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค เข้ามากุมบังเหียนหลังจากจบฤดูกาลนี้ โดยจะเริ่มคุม “เสือเหลือง” สู้ศึกในซีซั่นหน้า
ตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา โรส ได้รับการยกย่องอย่างมากกับผลงานของเขากับ กลัดบัค และในขณะที่ ดอร์ทมุนด์ เผชิญวิกฤตความวุ่นวายทั้งใน และนอกสนาม โค้ชวัย 44 ปี ถูกมองว่า เป็นคนเหมาะสมที่ทำให้พลพรรค “เสือเหลือง” กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง

1. สถิติการเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค
แน่นอนว่า ในปีแรก โรส อาจยังไม่สามารถพา ดอร์ทมุนด์ ลุ้นแชมป์กับ บาเยิร์น ได้ในทันที แต่สถิติของเขาในช่วง 1 ปีครึ่ง ที่คุม กลับบัค เผชิญหน้ากับ “เสือใต้” นั้น น่าประทับใจอย่างยิ่งหลังเก็บชัยได้ถึง 2 เกม และแพ้ 1 จาก 3 เกมที่เจอกัน โดยยิงไป 6 และเสีย 5 ประตู
ตลอด 8 ปีหลังสุด บาเยิร์น คว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ทั้งหมด โดยแชมป์ลีกครั้งล่าสุดของ ดอร์ทมุนด์ ต้องย้อนไปถึงในฤดูกาล 2011-2012 ที่มี เจอร์เก้น คล็อปป์ นำทัพ ซึ่งสถิติของ โรส อาจเป็นนายใหญ่ “เสือเหลือง” ที่พาทีมต่อกรกับ “เสือใต้” อย่างสูสี
โรส ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในกุนซือหนุ่มมากฝีมือของวงการฟุตบอลยุคปัจจุบัน และความสามารถทางแท็คติค และการบริหารจัดกาทีมของเขานั้น ก็ไม่เป็นรองใคร

2. ความสัมพันธ์กับ เออร์ลิง ฮาแลนด์
โรส เคยเป็นผู้จัดการทีม เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ ฮาแลนด์ ย้ายจาก โมลด์ มาเล่นกับ ซัลซ์บวร์ก ในเดือนมกราคมปี 2019 และทั้งคู่ทำงานร่วมกันเป็นเวลาครึ่งฤดูกาลก่อนที่ โรส จะอำลาทีมมากุมบังเหียน กลับบัค
โรส เป็นคนมอบโอกาสให้ ฮาแลนด์ ลงสนามกับทีมชุดใหญ่ของ ซัลซ์บวร์ก พร้อมกับช่วยวางรากฐานให้หัวหอกทีมชาตินอร์เวย์ระเบิดฟอร์มซัดไปถึง 28 ประตู จาก 25 เกมในครึ่งซีซั่นแรกปี 2019-2020 ซึ่งทั้ง 2 คน มีความสัมพันธที่ดีต่อกันมาก
ขณะเดียวกัน โรส เคยให้สัมภาษณ์ถึง ฮาแลนด์ ว่า “เขาเป็นผู้เล่นที่มีทัศนคติเชิงบวกมากๆ เขาได้รับบาดเจ็บตอนที่ย้ายมา ซัลซ์บวร์ก แต่เขาก็ต่อสู้จนกลับมาได้ เขาเป็นนักเตะดาวรุ่งที่สามารถแบกทีมได้ เขาเป็นคนที่มีพลังงานเหลือเฟือ เป็นคนสนุกสนาน และมีหลายสิ่งที่เขาพัฒนาได้อีก”
อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวหลายแห่งระบุว่า ฮาแลนด์ อาจย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ ซึ่งแฟน ดอร์ทมุนด์ หลายคนคงภาวนาให้โค้ชคนใหม่สามารถโน้มน้าวใจดาวเตะวัย 20 ปี ได้ และดูเหมือนว่า โรส จะเป็นคนที่เข้ามาถูกเวลาพอดี

3. พัฒนาผู้เล่นอายุน้อย
ในช่วงที่อยู่กับทั้ง ซัลซ์บวร์ก และ กลัดบัค โรส ได้รับมอบหมายให้ทำงานร่วมกับนักเตะอายุน้อยมากมาย และผลงานของเขาก็ประจักษ์เป็นอย่างดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เจ้าตัวเหมาะสมกับนโยบาย และแนวทางของ ดอร์ทมุนด์ อย่างยิ่ง
ล่าสุดกับ กลัดบัค โรส ปลุกปั้น 2 ยอดดาวรุ่งอย่าง มาร์คัส ตูราม ตัวรุกชาวฝรั่งเศสวัย 23 ปี และ ฟลอเรียน นอยเฮ้าส์ มิดฟิลด์ชาวเยอรมันวัย 23 ปี จนโด่งดัง ซึ่งทั้งคู่เป็นคีย์แมนช่วยให้ กลัดบัค คว้าอันดับ 4 ในบุนเดสลีกาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และในฤดูกาลนี้ยังช่วยให้ทีมเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกด้วย
ขณะที่ ดอร์ทมุนด์ มีวันเดอร์คิดฝีเท้าดีมากมายอย่าง ฮาแลนด์, จาดอน ซานโช่, โจวานนี่ เรย์น่า, จูด เบลลิ่งแฮม และ ยุสซูฟา มูโกโก้ ที่รอให้ โรส เข้ามาขัดเกลาฝีเท้าเพื่อพัฒนาก้าวไปสู่การเป็นยอดนักฟุตบอลต่อไป

4. เพรสซิ่งที่ดุดัน
ดอร์ทมุนด์ เป็นทีมที่มีสไตล์การเล่นเพรสซิ่งดุดัน และทำงานหนักมานานแล้ว โดยพวกเขาอาศัยการบีบไล่แย่งบอลคืนจากคู่แข่งอย่างรวดเร็ว และโจมตีฉับพลัน แต่ในเวลานี้รูปแบบการเล่นดังกล่าวกลับหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ
โรส เป็นโค้ชสมัยใหม่เข้าใจการเพรสซิ่งเป็นอย่างดี แถมยังทำให้ กลัดบัค มีเกมรุกที่น่าตื่นเต้น โดยบรรดาผู้เล่นกองกลาง ดอร์ทมุนด์ อย่าง เอ็มเร่ ชาน, โธมัส เดลานีย์ และ อักเซล วิตเซล น่าจะถูกรีดศักยภาพออกมาอีกครั้งในยุค โรส

5. เกมรับที่แข็งแกร่ง
ในฤดูกาลนี้ กลัดบัค ภายใต้การนำของ โรส ซัดในบุนเดสลีกาไปแล้ว 40 ประตู และเสีย 36 ประตู ขณะที่ ดอร์มุนด์ ซัดไป 48 ประตู และเสียไป 31 ประตู ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ใกล้เคียงกันมาก แต่ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ โรส ใช้เงินไปแค่ 18 ล้านปอนด์ นับตั้งแต่มาคุม กลัดบัค เมื่อปี 2019
ในทางตรงกันข้าม ดอร์ทมุนด์ ใช้เงินไปมหาศาลถึง 76 ล้านปอนด์ในช่วงเวลาเดียวกันด้วยการคว้าตัว ชาน, มัทส์ ฮุมเมิลส์ และ นิโก้ ชูลซ์ เข้ามาเสริมทัพ แต่ดูเหมือนว่า ก็ไม่ได้ทำให้เกมรับของพวกเขาเหียวแน่นขึ้นมากนัก
กลัดบัค ของ โรส กำลังได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นด้วยการใช้จ่ายน้อย แต่ประสบผลสำเร็จด้วยการได้ตั๋วไปเล่นในฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ ซึ่งฝีมือของเขานั้น สมควรได้รับเครดิต และการเข้ามาทำงานกับ ดอร์ทมุนด์ ที่มีกองหลังระดับคุณภาพจะทำให้ “เสือเหลือง” กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง