หลังจาก โจอาคิม เลิฟ ประกาศจะก้าวลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเยอรมันหลังจากจบศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 สมาคมฟุตบอลเยอรมัน (เดเอฟเบ) ก็เริ่มกระบวนการสรรหาเทรนเนอร์คนใหม่ของทัพ “อินทรีเหล็ก” ทันที

ผลงานของ เลิฟ ในช่วงที่ผ่านมาเคยพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 มาครองได้สำเร็จ แต่อีก 4 ปีต่อมา เขากลับทำผลงานล้มเหลวด้วยการพาเยอรมันตกรอบแรกในฟุตบอลโลกปี 2018 ซึ่งเป็นการตกแบ่งกลุ่มครั้งแรกในรอบ 80 ปีของ “อินทรีเหล็ก” อีกด้วย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เยอรมัน มักจะเลือกความต่อเนื่องด้วยการให้ผู้ช่วยกุนซือขึ้นมารับไม้ต่อทันที ซึ่งหากเป็นแบบนั้น มาร์คุส ซอร์ค มือขวาของ เลิฟ ก็จะได้รับการพิจารณา แต่เวลานี้แฟนบอลเมืองเบียร์หลายๆคนเรียกร้องให้ เดเอฟเบ เปลี่ยนแนวทางในการหาโค้ชคนใหม่ดูบ้าง

กุนซือทั้ง 6 รายต่อไปนี้ มีฝีไม้ลายมือ และคุณสมบัติที่เหมาะสมในการเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ “อินทรีเหล็ก” อย่างมาก แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ว่า เดเอฟเบ จะตัดสินใจอย่างไรในอนาคต

1. สเตฟาน คุนตซ์

คุนตซ์ รับหน้าที่คุมทีมชาติเยอรมันชุดอายุต่ำกวา 21 ปี มาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว และการแต่งตั้งเขาขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ก็จะเหมือนกับกรณีทีมชาติอังกฤษที่ดัน แกเร็ธ เซาธ์เกต ขึ้นมาเป็นนายใหญ่ “สิงโตคำราม” เมื่อ 5 ปีที่แล้ว

คุนตซ์ มีเส้นทางคล้ายกับ เซาธ์เกต พอสมควร โดยเจ้าตัวเคยเป็นอดีตกองหน้าทีมชาติเยอรมัน ก่อนจะเข้ามาทำหน้าที่กุมบังเหียนทีมชุดเล็ก และยังทำงานประสานข้อมูลต่างๆกับทีมชุดใหญ่ “อินทรีเหล็ก” มาตลอด

ขณะเดียวกันสมาคมฟุตบอลเยอรมัน (เดเอฟเบ) ก็แทบไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากมายนักหากตัดสินใจแต่งตั้ง คุนตซ์ มาคุมทีม เนื่องจาก โค้ชวัย 58 ปี เป็นลูกหม้อของพวกเขา และคุ้นเคยกับโครงสร้าง รวมถึงแนวทางการทำงานของวงการลูกหนังเมืองเบียร์เป็นอย่างดี

2. เจอร์เก้น คล็อปป์

“ไม่ ผมไม่พร้อมที่จะเป็นโค้ชทีมชาติเยอรมันในช่วงซัมเมอร์นี้ หรือซัมเมอร์หน้า ผมเหลือสัญญา 3 ปี กับ ลิเวอร์พูล และมันเป็นสถานการณ์ง่ายๆ เพราะเมื่อคุณเซ็นสัญญาไป คุณก็ต้องรักษาสัญญาฉบับนั้น” คล็อปป์ กล่าวหลังจากถูกถามเรื่องตำแหน่งกุนซือ “อินทรีเหล็ก” ที่จะว่างลง

อย่างไรก็ตาม มีการคาดเดาอนาคตของ คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากในซีซั่นนี้ เทรนเนอร์วัย 53 ปี พาพลพรรค “หงส์แดง” ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน และหมดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกไปเรียบร้อยแล้ว

หาก คล็อปป์ ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมชาติเยอรมันนั้น เขาจะเรียกเรทติ้งจากกองเชียร์ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเจ้าตัวถือเป็นหนึ่งในกุนซือที่มีเสน่ห์ และมีฝีมือเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในวงการฟุตบอล นอกจากนี้ทัพ “อินทรีเหล็ก” ก็จะมีสไตล์ “เฮฟวี่เมทัล” ที่สนุกเร้าใจอีกด้วย

คล็อปป์ เป็นโค้ชที่ทำงานกับนักเตะดาวรุ่งได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งวงการฟุตบอลเยอรมันเวลานี้มีแข้งอนาคตไกลมากมายอย่าง จามาล มูเซียล่า, ไค ฮาแวร์ทซ์ และ ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ที่รอให้ อดีตนายใหญ่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เข้ามาขัดเกลาฝีเท้า

3. ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค

ย้อนกลับไปเมื่อ 18 เดือนก่อนหลายคนมองว่า เป็นเรื่องที่บ้ามากที่ บาเยิร์น ประกาศแต่งตั้ง ฟลิค คุมทีมแต่จนถึเวลานี้เทรนเนอร์วัย 56 ปี นำพลพรรค “เสือใต้” กวาดไปแล้ว 6 แชมป์ ประกอบด้วย บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ โพคาล, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซุเปอร์คัพ, เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ และแชมป์สโมสรโลก

ก่อนหน้านี้ ฟลิค เคยเป็นผู้ช่วยของ เลิฟ ในทีมชาติเยอรมันชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 มาแล้ว ก่อนจะถูกดันขึ้นเป็นผู้อำนวยการกีฬาของ เดเอฟเบ จนถึงปี 2017 จากนั้น ในปี 2019 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยกุนซือ นิโก โควัช ที่ บาเยิร์น และได้รับการแต่งตั้งให้คุม “เสือใต้” เมื่อเดือนธันวาคมปี 2019

ขณะเดียวกัน นักเตะทีมชาติเยอรมันส่วนใหญ่มาจาก บาเยิร์น เป็นแกนหลักอยู่แล้ว อาทิ มานูเอล นอยเออร์, เลรอย ซาเน่, โยชัว คิมมิช, เลออน โกเร็ตซ์ก้า และ เซิร์จ นาบรี้ ซึ่งแข้งเหล่านี้คุ้นเคยกับการทำงานของ ฟลิค อยู่แล้ว

ฟลิค มีประสบการณ์มากมายทั้งในระดับนานาชาติ และสโมสร รวมถึงมีบารมีมากพอที่จะคุมแข้งระดับบิ๊กเนมได้ ดังนั้น เจ้าตัวจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งของ “อินทรีเหล็ก”

4. ยูเลียน นาเกลส์มันน์

ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา นาเกลส์มันน์ ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่า เป็นหนึ่งในโค้ชรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพลำดับต้นๆของวงการฟุตบอลยุโรปเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเจ้าตัวเป็นคนที่ใส่ใจทุกรายละเอียดในการฝึกซ้อม แท็คติค และการแข่งขันในสนาม

เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา นาเกลส์มันน์ เคยพา แอร์เบ ไลป์ซิก เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาแล้ว แต่ตกรอบด้วยฝีมือของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยอกทีมจากฝรั่งเศสไปอย่างน่าเสียดาย และในปีนี้ เขาพาก็ทีมเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ไม่สามารถผ่าน ลิเวอร์พูล ได้

แม้จะเพิ่งอายุเพียง 33 ปี แต่ นาเกลส์มันน์ ก็มีประสบการณ์มากมาย เขาสามารถทำงานได้ดีทั้งกับนักเตะอายุน้อย หรือผู้เล่นที่มีอายุมากกว่า นอกจากนี้ กุนซือ ไลป์ซิก เป็นคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะรับฟังคำแนะนำจากคนอื่นอยู่เสมอ

นาเกลส์มันน์ ยังคงมีสัญญากับ ไลป์ซิก ถึงปี 2023 และดูเหมือนว่า เจ้าตัวยังคงสนุกกับการทำงานในระดับสโมสรมากกว่า ซึ่งหาก เดเอฟเบ อยากได้ตัวเขาจริงก็คงต้องมีโปรเจคต์ที่น่าสนใจ และต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ ไลป์ซิก มหาศาลเลยทีเดียว

5. คริสเตียน สไตร์ช

ในเวลานี้ไม่มีผู้จัดการทีมชาวเยอรมันคนใดคุมทีมในบุนเดสลีกานานกว่า สไตร์ช อีกแล้ว หลังจากที่เจ้าตัวเข้ามากุมบังเหียน ไฟร์บวร์ก ตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน

เทรนเนอร์วัย 55 ปี เป็นคนตรงไปตรงมาเวลาให้สัมภาษณ์ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นที่ชื่นชมของบรรดานักข่าวอยู่เสมอ นอกจากนี้ ผลงานของ สไตร์ช ในการทำงานกับ ไฟร์บวร์ก นั้น ก็สมคววรได้รับการยกย่องด้วยเช่นเดียวกัน

นับตั้งแต่ สไตร์ช มาคุม ไฟร์บวร์ก เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาพาทีมตกชั้นจากบุนเดสลีกาไปเพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น ทั้งที่พลพรรค “จิ้งจอกแห่งป่าดำ” เป็นหนึ่งสโมสรที่มีงบประมาณน้อยที่สุดในวงลีกสูงสุดเมืองเบียร์เลยก็ว่าได้

อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงที่ไม่โด่งดังมากนักของ สไตร์ช อาจทำให้เขาเป็นตัวเลือกลำดับท้ายๆที่ เดเอฟเบ จะพิจารณามาคุมทีม

6. อาร์แซน เวงเกอร์

อาจเป็นเรื่องเซอรไพรส์ไม่น้อยที่ชื่อของ เวงเกอร์ เข้ามาติดโผในครั้งนี้ แต่หากมองจากฝีมือ บารมี และประสบการณ์ของเขา รวมถึงความสำเร็จกับ อาร์เซน่อล ตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น โค้ชชาวฝรั่งเศสรายนี้ก็ไม่ควรถูกมองข้าม

ปัจจุวัน เวงเกอร์ ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการพัฒนาระดับโลกให้กับ ฟีฟ่า แม้ว่า เจ้าตัวจะไม่ได้เผยถึงความต้องการของตัวเองที่อยากกลับมาเป็นผู้จัดการทีม แต่มันก็ยากจะปฏิเสธหาก เดเอฟเบ ติดต่อเขาอย่างจริงจัง

ในวัย 71 ปี เวงเกอร์ ยังคงไฟเต็มเปี่ยม เขาพูดภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งมีความสำคัญต่อการคุมทีมอย่างมาก นอกจากนี้ เขายังเป็นโค้ชที่ชื่นชอบการเล่นฟุตบอลที่สวยงาม รวมถึงทำงานกับดาวรุ่งได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ใครบ้างไม่อยากเห็นอดีตนายใหญ่ “เดอะ กันเนอร์ส” กลับมายืนข้างสนาม