บาเยิร์น มิวนิค สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ยังคงประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องหลังจากคว้าแชมป์ลีกติดต่อกัน 8 สมัยแล้ว และพวกเขายังคงกระหายที่จะไล่ล่าถ้วยรางวัลต่อไปด้วยการปรับกลยุทธ์ทั้งใน และนอกสนามอยู่ตลอดเวลา
ในฤดูกาลนี้ บาเยิร์น ยังคงรั้งจ่าฝูงในตารางคะแนนบุนเดสลีกา และมีโอกาสสูงมากที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 9 ติดต่อกัน โดยห้วง 9 ปีที่ผ่านมา “เสือใต้” ใช้กุนซือไปแล้ว 6 รายไล่ตั้งแต่ จุ๊ปป์ ไฮยเกส์, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, คาร์โล อันเชล็อตติ หวนกลับมา ไฮยเกส์ อีกครั้ง ต่อด้วย นิโก้ โควัช และล่าสุด ฮานซี่ ฟลิค
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บาเยิร์น มีนักเตะกระดูกสันหลังระดับตำนานที่พาทีมประสบความสำเร็จอาทิ ฟิลิป ลาห์ม, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, อาร์เยน ร็อบเบน และ ฟร็องค์ ริเบรี่ ซึ่งทุกคนมีส่วนอย่างมากในการผลักดันทีม และปัจจุบันก็อำลาสโมสรไปแล้ว
โธมัส มุลเลอร์ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นคีย์แมนของ บาเยิร์น โดยลงเล่นไปรวมทุกรายการมากกว่า 550 เกม ซัดไปมากกว่า 200 ประตู หลังเข้าร่วมอคาเดมี่เมื่อปี 2000 และถึงแม้จะคว้าแชมป์มาอย่างมากมายประกอบด้วยบุนเดสลีกา 9 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 6 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย และแชมป์สโมสรโลก 2 สมัย แต่เจ้าตัวยังอยากประสบความสำเร็จอีก
ตัวรุกทีมชาติเยอรมัน เริ่มกล่าวว่า “ผมคิดว่าเมื่อร่างกายของคุณแข็งแรง, ฟิตสมบูรณ์ และไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ คุณก็มีแรงจูงใจที่จะชนะเหมือนเดิมทุกครั้ง และสำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องสำคัญในการคว้าแชมป์เพียงอย่างเดียว”
“แน่นอนว่า ผมต้องการคว้าแชมป์ทุกรายการ และผมต้องการที่จะเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดด้วย ผมต้องการที่จะเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในตำแหน่งของตัวเองในทีม และผมต้องการที่จะเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในลีกเยอรมัน ส่วนชัยชนะคือเป้าหมายอันดับแรกของผม นั่นคือสิ่งที่ให้ความรู้สึกว่า คุณกำลังค้นหามัน”
ในวัย 31 ปี มุลเลอร์ เริ่มคิดเกี่ยวกับชีวิตหลังเลิกเล่นฟุตบอลบ้างแล้ว ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อเขาพักผ่อนที่บ้าน และคิดว่า ตัวเองยังเหลือเวลาอีกประมาณ 5 ปีที่จะโลดแล่นบนสนาม และหากเจ้าตัวแขวนสตั๊ดกับ “เสือใต้” ก็จะทำให้เขาได้จารึกว่า เป็นอีกหนึ่ง “วัน แมน คลับ” ของโลกฟุตบอล
มุลเลอร์ ระบุว่า “มันคงไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย และไม่มีปัญหาเลยหากวันหนึ่ง บาเยิร์น ตัดสินใจขายผมออกไป” แต่สำหรับตอนนี้ฟอร์มของเขากับทีมยอดเยี่ยมมาก ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เจ้าตัวยังสามารถเล่น ในระดับสูงได้อีกหลายปี
ย้อนกลับไปภายใต้การคุมทีมของ โควัช ดูเหมือนว่า เวลาของ มุลเลอร์ บาเยิร์น จะหมดลงแล้วหลังจากแทบไม่มีโอกาสลงสนาม ซึ่งทำให้เขาพิจารณาอนาคตอย่างหนักถึงการตัดสินใจอาจย้ายออกจากถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า
อย่างไรก็ตาม หลังจาก โควัช โดนไล่ออกเมื่อวันที่ 3 เดือนพฤศจิกายนปี 2019 และ ฟลิค เข้ามาทำงานแทนนั้น มุลเลอร์ ได้กลับสู่ทีมอีกครั้ง พร้อมกับระเบิดฟอร์มสุดยอดด้วยการพา บาเยิร์น ไล่ล่าแชมป์มาครองได้มากมาย
ในซีซั่นนี้ บาเยิร์น ก็ยังเป็นทีมเต็งในการคว้าแชมป์บุนเดสลีกา ซึ่งทีมชุดปัจจุบันก็ถูกยกไปเปรียบเทียบกับ “เสือใต้” ยุคที่ กวาร์ดิโอล่า กุมบังเหียน และมี มุลเลอร์ เป็นคีย์แมนคนสำคัญในเกมรุก
มุลเลอร์ อธิบายต่อว่า “เราเคยเจอปัญหามากมาย เพราะบางครั้ง บาเยิร์น อาจจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่ทีมอื่น ๆ ไม่ได้ใช้โอกาสของพวกเขา เรามีช่วงเวลาที่อ่อนแอ หรือสัปดาห์ที่อฟอร์มตก แต่พวกเขาไม่ได้ใช้มัน บางทีเราอาจจะมีโชคดีนิดหน่อย ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี”
ขณะเดียวกัน มุลเลอร์ ยังรู้สึกตลกกับการที่หลายคนเรียกเขาว่าเป็นต้นตำรับในตำแหน่ง “Raumdeuter” ซึ่งคำดังกล่าวถูกยกมาเปรียบเทียบกับสไตล์การเล่นของเขาที่ไม่เหมือนใครที่มักเคลื่อนที่ไปทุกช่องว่างในแนวรุก และจบสกอร์ด้วยความเฉียบขาด
ดาวเตะ บาเยิร์น กล่าวว่า “ผมคิดว่า มีผู้คนมากมายสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้เพื่ออธิบายตัวเองหรือคนอื่น ๆ ในโลกฟุตบอล ผู้เล่นบางคนอาจจะไม่ได้มีความพิเศษทางกายภาพ ทักษะ หรือเทคนิคต่างๆ แต่พวกเขาสามารถสร้างสิ่งที่พิเศษได้ และบางทีนี่อาจเป็นจุดแข็งของผม”
ในปีนี้ มุลเลอร์ กับคู่หูอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กองหน้าทีมชาติโปแลนด์ ช่วยกันทำผลงานให้กับ บาเยิร์น ได้อย่างน่าเหลือเชื่อหลังซัดรวมกันไปถึง 55 ประตู กับ 25 แอสซิสต์ และดูเหมือนว่า ตัวเลขดังกล่าวจะไม่จบแค่นี้
“เรารู้ว่าเมื่อเราเล่นด้วยกันเราจะแข็งแกร่งขึ้น เขาเก่งมาก ผมรู้ว่า เขาต้องการจะทำอะไร ดังนั้นผมจึงรู้ว่าควรจะเล่นอย่างไรกับเขา เราต่างมองหากันและกัน และผมพยายามที่จะหาวิธีเพื่อให้ไปสู่โอกาสทำประตูอยู่เสมอ ผมไม่ได้เล่นเพื่อตัวเอง ผมเล่นเพื่อให้ทีมได้ประตู” มุลเลอร์ กล่าว
ผู้เล่นทุกคนสามารถอ่านเกมได้ในระดับที่แตกต่างกัน และคิดถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวเพื่อทำการตัดสินใจได้ที่ดีที่สุดในการเล่นฟุตบอล แต่สำหรับ มุลเลอร์ เขาทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมา
“กองหลังฝ่ายตรงข้ามทุกคนมองไปที่ลูกบอลเหมือนซอมบี้ คุณต้องทำความเข้าใจกับเพื่อนร่วมทีมว่าเมื่อสถานการณ์นี้เกิดขึ้น พวกเขาต้องรู้ว่า คุณจะวิ่งไปทางไหน และคุณต้องรู้ว่า พวกเขาจะผ่านบอลมาแบบไหน บางครั้งมันง่ายกว่าที่คิด แต่แน่นอนว่า คุณต้องมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม และเทคนิคในการครอสบอลด้วย”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับการครอสบอลที่ดีคือ อย่าพยายามครอสบอลใส่หัวใครสักคน คุณควรครอสบอลไปยังที่ว่าง เพราะบางครั้งกองหน้าจะมีเวลามากกว่าที่คุณคิด แต่เมื่อคุณมีเป้าหมายให้ชัดเจนและยังไม่ครอสบอลไปยังพื้นที่ตรงนั้น มันก็ยากที่จะทำประตู” หัวหอก บาเยิร์น กล่าว
ช่วงที่ผ่านมา บาเยิร์น พัฒนาขึ้นแทบทุกปีจากการเปลี่ยนผู้จัดการทีม และ มุลเลอร์ ยังคงจำช่วงแรก ๆในการทำงานร่วมกับ กวาร์ดิโอล่า ได้เป็นอย่างดี โดยเล่าว่า “เป๊ป เตะตูดเราทุกวันในการฝึกซ้อม เขาเข้ามาทำงานหลังจาก จุ๊ปป์ ไฮย์เกส เกษียณ เป๊ป พยายามทุกอย่างเพื่อให้เราประสบความสำเร็จ เขาต้องการแสดงให้คนทั้งโลกเห็นว่า เขาทำได้อีกครั้งในลีกใหม่”
ทุกวันนี้ มุลเลอร์ กลายเป็นพี่ใหญ่คอยให้คำปรึกษาผู้เล่นรุ่นน้องใน บาเยิร์น โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวรุ่งอย่าง จามาล มูเซียล่า ที่ถูกคาดหมายว่า จะเข้ามาเป็นตัวแทนของเขาในอนาคต รวมถึง อัลฟอนโซ่ เดวีส์ แบ็คซ้ายชาวแคนดาที่พัฒนาตัวเองจนเป็นกำลังสำคัญของทีมชุดใหญ่ไปแล้ว
มุลเลอร์ เล่าว่า “พวกเขาทำให้ผมสดชื่นอีกครั้ง และทำให้ผมต้องรักษาความฟิตของตัวเองเอาไว้ แต่ในทางกลับกัน ผมก็คอยให้คำแนะนำพวกเขา และทำให้พวกเขารู้ว่า เมื่อคุณเล่นให้สโมสรอย่าง บาเยิร์น มันไม่สำคัญว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ แต่คุณต้องคว้าชัยชนะมาให้ได้”
คำพูด และทัศนคติของ มุลเลอร์ คือ ประเด็นสำคัญที่ว่าทำไมทีมอย่าง บาเยิร์น ถึงคว้าแชมป์ลีกถึง 8 สมัยติดต่อกัน ซึ่งมันเป็นความหลงใหลในความสำเร็จ และการรับมือกับความกดดันไม่ว่าจะเป็นในเกมชิงชนะเลิศ หรือเกมอุ่นเครื่อง
“ใน บาเยิร์น คุณไม่สามารถเรียนรู้ความคิดที่ชนะแบบนี้ได้หรอก คุณต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยประสบการณ์ และความมั่นใจในตัวเอง เรามีความรู้สึกนี้มาตลอดว่า เราเป็นทีมที่ดีที่สุดในสนามก่อนเกมจะเริ่มขึ้น แต่หลังเกมจบมันอาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ แต่เราจะรู้สึกเหมือนเป็นทีมรองบ่อนไม่ได้เด็ดขาด”
“ผมพยายามมีความรู้สึกนี้เสมอว่า ทีมและตัวผมเองสามารถเอาชนะทุกทีมที่เราเล่นด้วยได้ บางทีมันก็เป็นเรื่องความคิดส่วนตัว และอาจจะเป็นเคล็ดลับของผมในการเล่นที่ทำให้ตัวเองมีพลัง เพราะมันคือข้อได้เปรียบเมื่อคุณคิดที่จะเริ่มต้นเกมด้วยชัยชนะ” มุลเลอร์ กล่าวทิ้งท้าย