อัลฟ์ อิงเก้ เบิร์นท์เซน อดีตโค้ชทีม เบิร์น เอฟเค ในดิวิชั่น 2 ลีกนอร์เวย์ จดจำช่วงเวลาที่ เออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้าตัวใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แสดงความอัจฉริยะออกมาเป็นอย่างดีหลังได้ประเดิมสนามให้กับสโมสร
เบิร์นท์เซน ซึ่งเป็นคนมอบโอกาสให้ ฮาแลนด์ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้กับ เบิร์น ด้วยวัยเพียง 15 เริ่มกล่าวว่า “ตอนนี้ทุกคนเห็นความยอดเยี่ยมของเขาแล้ว แม้แต่ผมที่เป็นเคยโค้ชของเขาตั้งแต่สมัยแรก ๆ ก็สังเกตเห็นว่า นี่คือสิ่งที่แตกต่างออกไป”
“ผมเคยเห็น เออร์ลิง ทำประตูแบบต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว แต่มันไม่ธรรมดาเลย เพราะเมื่อคุณเติบโตขึ้นคุณจะมีประสบการณ์ที่มากกว่าเดิม เขามักจะก้าวไปอีกระดับ และก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ”
ก้าวที่สำคัญ และการตัดสินใจที่ฉลาดของ เออร์ลิง ฮาแลนด์
ในซัมเมอร์นี้ ฮาแลนด์ กำลังจะก้าวไปอีกขั้นด้วยการย้ายจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปเล่นกับ แมนฯ ซิตี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาได้รับความสนใจจากสโมสรทั่วยุโรป โดยดาวยิงวัย 21 ปี ได้รับการยกย่องว่า เป็นแนวรุกที่ดีที่สุดลำดับต้นๆของโลกไปแล้ว
เบิรน์ เป็นเมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนอร์เวย์ ที่มีประชากรประมาณ 12,000 คน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ อัลฟ์ อิงเก้ ฮาแลนด์ คุณพ่อของ เออร์ลิง เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอล และย้ายกลับมาใช้ชีวิตอยู่หลังอำลา แมนฯ ซิตี้ เมื่อปี 2003
ในวัย 8 ขวบ ฮาแลนด์ ก็เริ่มเล่นฟุตบอลกับ เบิร์น เหมือนกับคุณพ่อของตัวเอง โดย เบิร์นท์เซน เล่าต่อว่า “ในทางหนึ่ง เราสามารถคาดเดาได้ว่า เขาเป็นอะไรที่พิเศษ เพราะในฟุตบอล คุณพัฒนาทักษะของคุณใน 4 พื้นฐาน คือ แท็คติก คุณฉลาดแค่ไหน และเคลื่อนไหวอย่างไร เทคนิค คุณเล่นบอลได้ดีแค่ไหน ทางร่างกาย ถ้าคุณมีความเร็ว ความอดทน และอื่นๆ รวมถึงสภาพจิตใจ”
“เมื่อสโมสรชั้นนำกำลังมาดูๆฟอร์มของคุณ พวกเขากำลังมองว่าคุณทำได้ดีจริงๆ จาก 2 ใน 4 ด้านนี้ หรือค่อนข้างดีใน 3 หรือ 4 ด้าน แต่ เออร์ลิง ในวัยเด็กนั้นมีครบทุกอย่างทั้งร่งกาย ด้านเทคนิค แทคติก และสภาพจิตใจ”
“เขามีความหลงใหลในฟุตบอล แต่เด็ก ๆ หลายคนก็มีสิ่งนั้น แต่เขามีสิ่งที่คุณเรียกว่าความมุ่งมั่น เขามีบางอย่างที่พิเศษ และเมื่อเขาอยู่ในสนาม เขาก็จดจ่ออยู่กับฟุตบอลอย่างแท้จริง เขาเรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อยถึงวิธีการปฏิบัติตนในฐานะนักฟุตบอล การปฏิบัติตัวในห้องแต่งตัว ความสนุกสำคัญแค่ไหนแต่ต้องฝึกฝนให้มาก”
“เขามีพันธุกรรมที่สมบูรณ์แบบ และครอบครัวของเขาก็ดีมากที่ปล่อยให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเอง”
“เราเริ่มคุยกันค่อนข้างเร็ว ตั้งแต่เขาอายุ 12 ขวบ ว่าเขาเป็นอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ เพราะว่าเขาไม่เคยกลัวที่จะเรียนรู้เรื่องแท็คติก และเทคนิคเลย ส่วนด้านจิตใจ เขามีความอดทนมหาศาล และเรารู้ว่าในอีกไม่กี่ปีเมื่อเขาแข็งแกร่ง และเร็วขึ้น เขาจะกลายเป็นสุดยอดนักเตะได้แน่นอน”
ในระหว่างที่ค้าแข้งกับ เบิร์น ทีมสำรองนั้น หัวหอกชาวนอร์เวย์ ฝึกซ้อมอย่างหนัก เขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่น และยิงประตูได้ในทั้งระดับภูมิภาค และระดับประเทศ รวมถึงมีโอกาสสัมผัสเกมกับทีมชุดใหญ่ 10 นาที
ในเดือนพฤษภาคมปี 2016 เบิร์นท์เซน ก็ดัน ฮาแลนด์ ขึ้นมาสู่ทีมชุดแรกอย่างเต็มตัว โดยในปีแรกเขาลงเล่นไปรวมทั้งสิ้น 16 เกม ยิงไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว แต่มันก็ไม่ได้ทำลายความมั่นใจแต่ย่างใด และในปีต่อมาก็ได้ย้ายไปเล่นกับ โมลด์ ที่มี โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คุมทีมอยู่
เบิร์นท์เซน กล่าวว่า “ตอนนั้นเขาอายุแค่ 15 ปี และเขาค่อนข้างสูง แต่ผอมมาก เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญ คุณต้องฝึกฝน คุณต้องพัฒนาร่างกายของคุณอยู่เสมอ ถ้าคุณจะทำประตูในเกมอาชีพกับทีมชุดแรก”
“เขาเล่นกับคู่แข่งที่รูปร่างใหญ่ และแข็งแกร่งกว่า แต่เขาก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และนั่นค่อนข้างสำคัญมากๆ คุณต้องดิ้นรนเพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีฟอร์มการเล่นที่ดี เพราะหากทุกอย่างราบรื่นเกินไป มันก็ง่ายเกินไป”
การย้ายทีมของ ฮาแลนด์ จาก เบิร์น ไปเล่นกับ โมลด์ คือการตัดสินใจที่ ฉลาดมาก ซึ่งมันนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เจ้าตัวได้ย้ายไปโชว์ฝีเท้ากับ เร้ดบลูล์ ซัลซ์บวร์ก ในลีกอออสเตรีย ต่อด้วย ดอร์ทุนด์ ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน แจน เอจ ฟยอร์ทอฟต์ อดีตกองหน้าชาวนอร์เวย์ ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพค้าแข้งในลีดระดับล่างของอังกฤษ อย่าง สวินดอน และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ก็มองว่า ฮาแลนด์ ตัดสินใจได้ยอดเยี่ยมอย่างมาก
“โดยทั่วไปมันเป็นการดีสำหรับนักกีฬาทุกคน และมนุษย์ทุกคน สำหรับการตัดสินใจที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ เออร์ลิง กำลังทำอยู่ เขาทำมันทีละขั้นตอน ใหญ่ขึ้น และ ใหญ่ขึ้น มันเป็นการดีที่จะมีพ่อ หรือ คนที่เคยผ่านจุดนั้นมาก่อนคอยเป็นที่ปรึกษา”
“ผมเห็นว่า เออร์ลิง เลือกสโมสรที่เหมาะสมกับเขา เขาดูในทุกแง่มุมของทุกสโมสร และนั่นคือเหตุผลที่เขาปฏิเสธ ยูเวนตุส และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อตอนที่เขาอยู่กับ ซัลซ์บวร์ก เพราะเขาคิดว่า สโมสรเหล่านั้นยังไม่เหมาะกับอาชีพของเขา
ขณะที่ เบิร์นท์เซน มั่นใจว่า อดีตลูกทีมของเขาจะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ ซึ่งเห็นได้จากการย้ายไปเล่นกับ โมลด์ ด้วยวัยเพียง 16 ปี ต่อจากนั้นอีก 2 ปี ก็ไปค้าแข้งกับ ซัลซ์บวร์ก และตามด้วย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งทำให้เขาต้องรับมือกับการระบาดใหญ่ของ Covid ขณะที่อยู่ในเยอรมัน
เบิร์นท์เซน กล่าวว่า “ชาวเยอรมันเคยเรียกเขาว่าเครื่องจักร ผมไม่คิดว่าคุณควรเรียกมนุษย์ว่าเป็นเครื่องจักร แต่เขาอยู่ใกล้ที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้”
“ฮาแลนด์ เป็นชาวนอร์เวย์ ที่รูปร่างสูงใหญ่เหมือนชาวาหราชอาณาจักรเมื่อหลายพันปีก่อน แต่เขาสงบ เยือกเย็น สามารถทำประตูได้ เขามีความแข็งแกร่ง และความสามารถทางเทคนิคของเขายอดเยี่ยม เขาเป็นเครื่องจักรถล่มประตูชั้นยอด”
“เคยมีช่วงที่ผู้เล่นหมายเลข 9 ถูกมองข้ามไป แต่ตอนนี้หลายสโมสรเห็นว่าพวกเขาต้องการกองหน้าแบบนั้น เมื่อคุณมีผู้เล่นที่ว่องไวพวกนี้อยู่ในกรอบ และรอบกรอบเขตโทษ คุณก็ต้องมีประตูเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”
“เขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งมาก และเป็นนักเตะหมายเลข 9 เขายังเร็วอีกด้วย ดังนั้น เขาจึงมีความสามารถในการเล่นในตำแหน่งอื่นๆในแนวรุกได้ด้วย และในฟุตบอลสมัยใหม่ที่การโต้กลับมีความสำคัญมาก เขายังเหมาะกับดารเล่นในสไตล์แบบนั้นด้วย”
ฮาแลนด์ สามารถพา แมนฯ ซิตี้ ไปอีกระดับได้
เบิร์นท์เซน แสดงความคิดเห็นว่า บรรดาสโมสรชั้นนำของโลกนั้น เชื่องช้าเกินไปที่จะความตัว ฮาแลนด์ ไปร่วมทีม ในสมัยที่ค้าแข้งกับ ซัลซ์บวร์ก จนกระทั่ง ดอร์มุนด์ เดินเครื่องด้วยความรวดเร็ว และทำให้เห็นว่า เป็นสถานที่ที่เขาจัพัฒนาฝีเท้าได้
“ผมพูดตอนที่เขาอยู่ที่ซัลซ์บวร์กว่า ถ้า 6-7 สโมสรใหญ่ในโลกไม่ซื้อเขา พวกเขาจะทำผิดครั้งใหญ่แน่ๆ ผมไม่คิดว่า พวกเขารู้ว่า เออร์ลิง เก่งแค่ไหน เขาทำให้ทุกคนประหลาดใจ แต่เมื่อเราเห็นเขาทำประตูได้มากขนาดนั้นที่ ซัลซ์บวร์ก เราคิดว่า เขาต้องเป็นสุดยอดนักเตะ”
ฟยอร์ทอฟต์ ระบุว่า กองหน้ารุ่นน้องรายนี้ จะเป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่คนที่สามารถนำ แมนฯ ซิตี้ ไปสู่อีกระดับหนึ่งได้ โดยกล่าวว่า “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยชอบนักเตะหมายเลข 9 แต่ผมคิดว่า คุณเคยเห็นที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ใน 2-3 ซีซั่นที่แล้วว่า พวกเขาจำเป็นต้องมีกองหน้าแบบนี้บ้าง”
“เขาจะได้เห็นผู้เล่นที่เขาสามารถเล่นกับ เบอร์นาร์โด ซิลวา, เควิน เดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และผู้เล่นคนอื่นๆได้ มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสำหรับ เออร์ลิง เช่นเดียวกัน”