มันเป็นเวลากว่า 60 วันหลังจาก โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ประกาศขายสโมสร เชลซี ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในที่สุด “สิงโตน้ำเงินคราม” ก็ได้เจ้าของรายใหม่เรียบร้อยแล้วคือ ท็อดด์ โบห์ลี นักธุรกิจสัญชาติอเมริกัน วัย  47 ปี ซึ่งเข้าเทคโอเวอร์ในราคาอยู่ที่ ราวๆ 4,500 ล้านปอนด์ เลยทีเดียว

โบห์ลี เป็นเจ้าของธุรกิจมากมายอาทิ รับเหมาก่อสร้าง และ อสังหาริมทรัพย์  โดยมีทรัพย์สินส่วนตัวอยู่ที่ราวๆ 4.7 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 201,000 ล้านบาท) และเข้ามาเป็นเจ้าของ เชลซี ก่อนเส้นตายที่ทางรัฐบาลอังกฤษกำหนดไว้ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ หลังจากการคว่ำการบาตร อบราโมวิช ที่มีส่วนพัวพันกับสงครามในยูเครน  

ขณะเดียวกัน งานของ โบห์ลี ในฐานะหัวเรือใหญ่ของ เชลซี ก็ต้องเริ่มต้นทันทีด้วยการจ่ายค่าจ้างให้กับบรรดานักเตะ “สิงโตน้ำเงินคราม” ที่ตกเดือนละ 28 ล้านปอนด์ รวมถึงต้องเคลียร์อนาคตของทีมผู้บริหารหลายๆคน และนี่คือสิ่งที่ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ต้องเผชิญในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์

จัดการอนาคตของนักเตะ และทีมงานเบื้องหลัง

ความกังวลที่เร่งด่วนที่สุดของ เชลซี คือ บรรดานักเตะตัวหลักในแนวรับของพวกเขาเกือบครึ่งกำลังจะอำลาสโมสรหลังจากหมดสัญญาในซัมเมอร์นี้ ขณะที่อนาคตของ โรเมลู ลูกากู กองหน้าทีมชาติเบลเยียมที่ย้ายกลับมาจาก อินเตอร์ มิลาน เมื่อซัมเมอร์ที่แล้วก็กำลังไม่แน่นอน ส่วน เมสัน เมาท์ กับ รีส เจมส์ 2 เด็กปั้นของทีมก็กำลังได้รับความสนใจจากทั่วยุโรป

ขณะเดียวกัน บรูซ บรัค ประธานสโมสร มาริน่า กรานอฟสกาย่า ผู้อำนวยการกีฬา ซึ่งทำงานมาตั้งแต่ยุค อบราโมวิช จะยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปก่อน รวมถึง ปีเตอร์ เช็ค ตำนานนายทวารของสโมสรที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคนิคด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม โบห์ลี และหุ้นส่วนของเขาอาจจะมีความคิดของตัวเองว่า ใครจะเข้ามาเป็นทีมงานบริหารของ เชลซี ในอนาคต รวมถึงการมองหา ผอ.กีฬา คนใหม่เข้ามาแทนที่ กรานอฟสกาย่า หรือไม่ ซึ่งมันเป็นงานที่พวกเขาจะต้องรีบจัดการในเร็วๆนี้

ในส่วนของ โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์ชาวเยอรมัน และ เอ็มมา เฮย์ส กุนซือทีมหญิงของ เชลซี จะได้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปทั้งคู่ โดยในรายของ ทูเคิ่ล ยังคงเหลือสัญญากับสโมสรถึง 2 ปี ส่วน เฮย์ส ก็เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ Women’s Super League เป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกัน

มองหานักเตะใหม่เข้ามาเสริมทัพ

อันโตนิโอ รูดิเกอร์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติเยอรมัน เคยได้รับการเสนอสัญญาฉบับใหม่ให้เป็นกองหลังที่ค่าเหนื่อยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรก่อนที่ อบราโมวิช จะโดนคว่ำบาตร แต่ในเวลานี้เจ้าตัวตกเป็นข่าวว่า เตรียมจะย้ายไปเล่นกับ เรอัล มาดริด แบบไร้ค่าตัวในซัมเมอร์นี้

 อันเดรส คริสเตียเซ่น ปราการหลังทีมชาติเดนมาร์กที่กำลังจะหมดสัญญาก็ตกเป็นนข่าวว่า ตกลงสัญญาส่วนตัวกับบาร์เซโลน่า ได้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า แบ็คขวาจอมเก๋าชาวสเปนที่สัญญาเหลือเวลาอีกเพียง 1 ปีกับ เชลซี ก็ตะเป็นข่าวกับ “เจ้าบุญทุ่ม” ด้วยเช่นเดียวกัน

ลูกากู สไตล์การเล่นไม่เหมาะกับระบบของ ทูเคิ่ล ส่วน คริสเตียน พูลิซิช ปีกชาวอเมริกันก็ดูเหมือนจะไม่พอใจกับบทบาทของเขาในทีม เชลซี ขณะที่กองกลางคีย์แมนอย่าง จอร์จินโญ่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กำลังเข้าสู่ปีสุดท้ายของสัญญา

เห็นได้ชัดว่า เชลซี จำเป็นต้องมีความมั่นคง และความชัดเจนกับแผนการสร้างทีมภายใต้เจ้าของคนใหม่โดยเร็วที่สุด และ โบห์ลี กับทีมงานของเขาต้องกาทางออกในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน

เปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานของสโมสร

หากมองย้อนกลับไปบางที เชลซี ก็ทำผิดพลาดเยอะมากในเรื่องการคว้านักเตะใหม่เข้ามาร่วมทีม โดยในปี 2018 พวกเขาทุ่มเงิน 71 ล้านปอนด์ คว้าตัว เกป้า อาร์ริซาบาลากา โกล์ชาวสเปนเข้ามาเฝ้าเสา และตอนนี้ก็ปลายเป็นมือ 2 ของ เอดูอาร์ด เมนดี้ นายด่านชาวเซเนกัล

ลูกากู ถูกคว้าตัวมาจาก อินเตอร์ ในราคา 98 ล้านปอนด์ และกลายเป็นคนสร้างปัญหาให้กับทีม รวมถึงวิจารณ์แนวทางการทำงานของ ทูเคิ่ล ด้วย นอกจากนี้ การที่ เชลซี เคยไล่ อันโตนิโอ คอนเต้ โค้ชชาวอิตาเลียน ออกจากตำแหน่งนั้น ทำให้พวกเขาต้องจ่ายเงินชดเชยอย่างมหาศาล

 คีแรน แม็คไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินฟุตบอลระบุว่า ในยุค อบราโมวิช นั้น เชลซี ขาดทุนโดยเฉลี่ย 900,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ โบห์ลี ต้องเผชิญ

แม็คไกวร์ “ที่ เชลซี ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เราจะได้เห็นแนวทางการทำทีมแบบระยะยาวในการมองหากุนซือ และนักเตะภายใต้การควบคุมของ อบราโมวิช ซึ่ง เชลซี ยุคใหม่มีแนวโน้มที่จะใช้แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะมองหาผู้เล่นที่ถูกกว่าที่พวกเขาสามารถพัฒนาได้ และอาจขายได้ในราคาที่สูงกว่าในอนาคต”

“ดังนั้นมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์ แต่ ลิเวอร์พูล กำลังดำเนินการในลักษณะเดียวกัน และไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ กับสโมสของพวกเขาเลย”