Home บทความฟุตบอล จัดลำดับเทียร์ ผู้จัดการทีม เชลซี ยุคเสี่ยหมี

จัดลำดับเทียร์ ผู้จัดการทีม เชลซี ยุคเสี่ยหมี

0
จัดลำดับเทียร์ ผู้จัดการทีม เชลซี ยุคเสี่ยหมี

หลังจากการประกาศอำลาตำแหน่งเจ้าของทีม เชลซี แล้วยกอำนาจการบริหารทั้งหมดให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศลในมือของตนเอง โรมัน อบราโมวิช อากู๋ชาวรัสเซีย ขวัญใจแฟนบอล สิงโตน้ำเงินคราม ก็แสดงท่าที่การจัดการปัญหาต่างๆ เพื่อลดแรงกระแทกจากรอบด้าน ด้วยการตัดสินใจนำสโมสรเข้าตลาดประมูล แล้วรอให้มีเศรษฐีคนใดคนหนึ่งในวงการ ตัดสินใจมาช้อนซื้อไปดูแลต่อ เนื่องจากภาพลักษณ์ของเขา ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องแบบใกล้ชิดกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำของประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการทำสงครามกับยูเครน นำมาซึ่งภาพลักษณ์อันย่ำแย่ให้กับทีม สุดท้ายไปลงเอยกับ ท็อดด์ โบห์ลี่ ที่ต้องมาลุ้นกันว่าจะดูแลทีมได้ดีแค่ไหน?

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อบราโมวิช เป็นเจ้าของทีมที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด แบบที่แฟนบอลทั้งพรีเมียร์ลีกต่างอิจฉาตาร้อน ต้องการให้มีผู้สนับสนุนทีมแบบนี้บ้าง ด้วยการทุ่มเม็ดเงินแบบไม่อั้น ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทีมประสบความสำเร็จในการเป็นแชมป์ กว้านซื้อสตาร์ฝีเท้าระดับโลกเข้ามามากมาย ขาดตรงไหนก็เติม ดีไม่พอก็หามาเพิ่ม อย่างที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกำไรส่วนตัวมาก่อนเหมือนเจ้าของทีมรายอื่นๆ เพราะเขามีใจรักในสโมสรแห่งนี้แบบจริงแท้แน่นอน ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องมาชมเกมในสนามเหย้า สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพื่อให้กำลังใจลูกทีม หากไม่ถูกทางประเทศอังกฤษ ยกเลิกวีซ่าในการเข้าสู่ประเทศ เชื่อว่าภาพที่แฟนบอลเห็นกันจนชินตา ก็ยังจะเป็นแบบเดิมเสมอไปแบบไม่มีอะไรเปลี่ยน

อบราโมวิช อยู่ในตำแหน่งเจ้าของทีม เชลซี มานานถึง 19 ปี สร้างผลงานอันสั่นสะเทือนวงการฟุตบอลแบบนับไม่ถ้วน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเงินใช้ซื้อความสำเร็จได้จริง อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สโมสรแห่งนี้ กวาดถ้วยแชมป์มาครองได้มากที่สุด นับตั้งแต่เขามาดำรงค์ตำแหน่ง เหนือกว่าทีมชั้นนำประเทศอังกฤษทุกทีม โดยการทำทีมของเขานั้นไม่มีการรั้งรอในการตัดสินใจ หากผู้จัดการทีมที่เลือกมาคนไหนทำผลงานไม่เข้าตาเมื่อไหร่? ก็พร้อมเชือดทิ้งแบบไม่ใยดี ไม่สนใจเรื่องค่าชดเชย

วันนี้ทีมงาน 168 Kick ได้ไปเจอข้อมูลอันน่าสนใจจากสื่อแดนผู้ดี ในการจัดเลเวลผู้จัดการทีมทั้ง 13 คนในยุคของเสี่ยหมี ว่าใครอยู่ในเกณฑ์พิจารณาฝีมือว่าอยู่ในขั้นไหนกันบ้าง? แล้วพร้อมจะนำเสนอให้แฟนๆ ได้รับชมกันในคลิปนี้ แต่ข้อมูลต่างๆ นั้นจะตรงใจหรือไม่? เตรียมไปพิสูจน์พร้อมๆ กันในบทความนี้ได้เลย

เริ่มต้นกันที่เลเวลแรกอย่าง “ทำไปทำไม?” ผู้จัดการทีมที่ติดโผเข้ามาในการระดับนี้ มีเพียงคนเดียว คือ “มูรินโญ่จีนแดง” อย่าง อังเดร วิลลาส-โบอาซ ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกส ที่ถ้ามองกันตามโปรไฟล์แบบผ่านๆ ช่าวมีความคล้ายคลึงกับ เดอะ สเปเชี่ยล วัน อย่างที่สุด แล้วก็โดนดึงตัวมาทำทีมเพื่ออนาคตตอนที่อายุยังน้อยในปี 2011

แถมต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ เอฟซี ปอร์โต้ มากเป็นสถิติโลกถึง 15 ล้านปอนด์เลยทีเดียว แม้ว่าจะเปิดตัวได้อย่างสวยงามในช่วงปรี-ซีซั่น ถ้วยการคว้าแชมป์ บาร์เคลย์ เอเชีย โทรฟี่ มาครองได้ ชนะรวดเกมกระชับมิตรทั้งหมด 6 เกมที่ลงสนาม เสียประตูไปเพียงแค่ลูกเดียว แต่พอเข้าสู่การแข่งขันแบบจริงๆ จังๆ ผลงานของทีมก็เริ่มดร็อปลงเรื่อยๆ จนมีการเรียกนักเตะตัวหลักไปประชุมเรื่องแทคติกส์กับ อบราโมวิช เป็นการส่วนตัว

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อทีมเริ่มตกรอบถ้วยต่างๆ แถมอันดับในลีกก็หลุดตำแหน่งท็อปโฟร์ จนทำให้เขาต้องประกาศอำลาตำแหน่งด้วยการอยู่ไม่จบซีซั่น แล้วกลายเป็น โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ เข้ามารับหน้าเสื่อแทน

ระดับต่อมา คือ “ยังดีไม่พอกับมาตรฐานที่ตั้งไว้” มีผู้จัดการทีมที่ติดอยู่ในเลเวลนี้จำนวนสองรายด้วยกัน คนแรกที่อยู่ในโผเป็น อาฟรัม แกรนท์ ที่เข้ามารับไม้ต่อจาก มูรินโญ่ ในปี 2007

แม้ว่าภาพรวมเขาจะพาทัพ สิงห์บลู ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ลีก คัพ รวมไปถึงอยู่ในกลุ่มเบียดแย่งแชมป์ลีก แต่สุดท้ายทุกความหวังก็ปิ๋วไปทั้งหมด แล้วแน่นอนว่าชะตากรรมก็ไม่รอดการโดนเชือดเมื่อถูกยกเลิกสัญญาเมื่อจบฤดูกาล โดยคนที่ได้รับการแต่งตั้งต่อมา คือ หลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติบราซิล ที่พาทีมครองแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่ ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คนแรกที่มีโปรไฟล์ระดับดังกล่าว ซึ่งเขายอมรับแบบตรงๆ แมนๆ ว่า การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้ มีเหตุผลของเรื่องเงินค่าจ้างเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะไม่ต้องการทำงานไปจนถึงอายุ 70 ปี และต้องการรีไทร์ในเร็ววัน แม้ว่าจะได้รับการติดต่อจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้บอกปัดไป

แต่ผลงานโดยรวมของทีมกลับไม่เป็นไปดังคาดเหมือนโปรไฟล์อันสวยหรู ยังไม่ทันจบฤดูกาลมีช่วงที่ทีมผลงานดดร็อปติดกันหลายเกม จนทำให้ อบราโมวิช ทนไม่ไหวสั่งปลดกลางอากาศ แล้วไปดึงตัวเอา กุส ฮิดดิ้งค์ เทรนเนอร์มือเก๋าชาวฮอลแลนด์ มาทำหน้าที่แบบขัดตราทัพแบบเร่งด่วน

เข้าสู่ระดับถัดมาอย่าง “อาจจะดีก็ได้แต่ไม่ได้อยู่ต่อ” มีผู้จัดการทีมที่ติดโผเข้ามาทั้งหมดสองรายด้วยกัน โดยคนแรกสื่อชี้เป้าไปที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ยอดกุนซือชาวอิตาเลี่ยน ที่เข้ามารับงานต่อจาก อันโตนิโอ คอนเต้ ในปี 2018 ซึ่งผลงานของเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดมากเท่าไหร่นัก พาทีมเข้าชิงศึก คาราบาว คัพ แต่พ่ายไปในการดวลจุดโทษ แล้วแก้ตัวได้ในการคว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก มาทดแทน ด้วยการเอาชนะ อาร์เซน่อล แบบขาดลอย 4-1 สิ่งเดียวที่เขาทำไม่สำเร็จเป็นการซื้อใจแฟนบอลให้ชื่นชอบในตัวเขา เพราะต้องเจอกับแทคติกส์การเล่นครองบอลที่น่าเบื่อ พอจบซีซั่นสโมสรก็แถลงการณ์ว่าเขาเลือกอำลาตำแหน่งไปรับงานคุมทีม ยูเวนตุส ในประเทศบ้านเกิด

ส่งผลให้ตำแหน่งที่ว่างลง ตกเป็นของอดีตตำนานนักเตะของทีมอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ถูกจัดว่าผลงานอยู่ในระดับเดียวกัน กลายเป็นผู้จัดการทีมชาวอังกฤษคนแรกในรอบยี่สิบกว่าปีเลยทีเดียว แม้ว่าจะเปิดตัวได้อย่างกระท่อนกระแท่น แต่พอจัดวางแทคติกส์ได้อย่างลงตัว ฟอร์มของทีมก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ประคองตัวจบในอันดับที่ 4 ของลีกได้อย่างน่าประทับใจ แต่พอซีซั่นต่อมาเมื่อทีมเสริมทัพแบบจัดเต็มให้ บิ๊กแฟร้งค์ กลับพาลูกทีมทำผลงานออกทะเลแบบกู่ไม่กลับ เกมรับรั่วแบบเละเทะพร้อมแพ้ได้ทุกทีม เหมือนรับแรงกดดันไม่ไหว แล้วจากการที่เขามีประสบการณ์คุมทีมมาน้อยเกินไป อากู๋ เลยมองว่า ฝีมือของเขานั้นไม่ดีพอ จนตัดสินใจปลดออกจากตำแหน่งระหว่างฤดูกาลแบบไม่รีรอให้สถานการณ์แย่ไปกว่าเดิม

เข้าสู่ระดับถัดมา คือ “ถูกประเมินค่าต่ำกว่าฝีมือ” มีผู้จัดการทีมที่ติดเข้ามาถึง 4 รายด้วยกัน ไล่เรียงมาตั้งแต่คนแรกอย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือจอมเก๋าชาวอิตาเลียน ซึ่งอยู่กับทีมาตั้งแต่ก่อนหน้าที่ อบราโมวิช จะเข้ามาเทคโอเวอร์ แล้วพยายามสร้างทีมตามแนวทางของเขาแบบใจเย็น แม้ว่าจะมีภาษาเป็นขีดจำกัดในช่วงแรก แต่พอได้รับเงินก้อนโตในการเสริมทัพกว่า 120 ล้านปอนด์ แล้วไล่คว้าตัวนักเตะคุณภาพเยี่ยมเข้ามาร่วมทีม หลายๆ อย่างเริ่มดูเข้าที่เข้าทางจนพาทีมจบตำแหน่งรองแชมป์

อย่างไรก็ตามเมื่อ อบราโมวิช ต้องการกุนซือที่มีโปรไฟล์ระดับท็อป จึงถูกปลดออกจากตำแหน่งแบบไม่ได้ทำอะไรพลาด รายต่อมาเป็นทาง กุส ฮิดดิ้งค์ เทรนเนอร์ชาวฮอลแลนด์ ที่มาทำทีมแบบชั่วคราวต่อจาก สโคลารี่ จนจบฤดูกาล ซึ่งสถิติของเขายอดดเยี่ยมอย่างมาก เพราะแพ้ไปเพียงแค่เกมเดียวทุกรายการให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการต่อกรกับ บาร์เซโลน่า ได้สูสี แต่ตกรอบเพราะกฏอะเวย์โกล พาทีมไต่อันดับในลีกได้น่าพอใจ จบฤดูกาลด้วยการค้วาแชมป์ เอฟเอ คัพ จนถึงขนาดที่แฟนบอลร้องขอให้เซ็นต์มาคุมทีมแบบถาวร แต่ด้วยสัจจะลูกผู้ชาย ฮิดดิ้งค์ จึงตัดสินใจกลับไปคุมทีมชาติรัสเซีย

รายถัดมาเป็นคิวของ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ อดีตดาวเตะขวัญใจแฟนบอล ที่เข้ามารับงานคุมทีมแบบชั่วคราวต่อจาก โบอาส แล้วพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยส์ลีก ได้อย่างไม่มีใครคาดคิด แต่ในซีซั่นต่อมาพอได้รับสัญญาถาวร ฟอร์มของทีมก็เริ่มออกทะเล จนไม่น่าไว้วางใจ

เมื่อสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงถูกเชือดไปตามระเบียบ แล้วเป็นทาง ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาทำหน้าที่แบบชั่วคราวจนจบซีซั่้น แต่เนื่องจากตัวของ เอล ราฟา เคยมีประวัติคุมทีม ลิเวอร์พูล มาก่อนหน้านี้ ทำให้แฟนบอลค่อนข้างจะต่อต้านอยู่ไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็พาทัพ สิงโตน้ำเงินคราม คว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก มาครองได้หนึ่งรายการ ก่อนจะอำลาทีมไปเมื่อหมดสัญญาครบวาระตามหน้าที่

ถัดมาเป็นระดับ “ยอดเยี่ยมไม่อายใคร” มีผู้จัดการทีมมากฝีมือติดเข้ามาถึง 3 คน รายแรกนั้นเป็น คาร์โล อันเชล็อตติ ที่เข้ามาคุมทีมแบบถาวรต่อจาก ฮิดดิ้งค์ แล้วเป็นผู้จัดการทีมคนแรก ที่ได้สัญญายาวแบบจริงจังในรอบ 21 เดือน เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ คอมมูนิตี้ ชิลด์ แล้วพาทีมฟอร์มดีต่อเนื่องในบอลลีก และ เอฟเอ คัพ ที่จบฤดูกาลด้วยการเป็น ดับเบิ้ล แชมป์ แต่ในฤดูกาลถัดมาผลงานกลับไม่เป็นไปตามเป้า เพราะจบแค่รองแชมป์ลีก ทำให้ถูกปลดไปอย่างน่าเสียดาย อย่างน้อยก็ได้เงินชดเชยก้อนโตไปกินเปล่า ซึ่งสถิติตีเป็นเปอร์เซ็นต์การชนะระหว่างคุม เชลซี อันเช่ เป็นรองแค่ โชเซ่ มูรินโญ่ และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพียงสองรายเท่านั้น รายถัดมาเป็นทาง อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือแพสชั่นสูงชาวอิตาเลียน ที่ต้องเข้ามารับงานที่กดดันไม่น้อยต่อจาก ฮิดดิ้งค์

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะเพียงแค่ฤดูกาลแรก ก็เสกแชมป์ลีกให้กับทีมได้ทันที แล้วในปีต่อมาก็ได้ถ้วย เอฟเอ คัพ มาครองอีกหนึ่งรายการ แต่ด้วยหลายปัจจัยของกุนซือรายนี้ที่เป็นดาบสองคม เลยทำให้ต้องแยกทางกันไปแบบน่าเสียดาย แถมต้องจ่ายเงินชุดเชยสูงกว่า 25 ล้านปอนด์ให้กับเขาและทีมสตาฟฟ์อีกด้วย

ปิดท้ายเลเวลนี้กันด้วยกุนซือคนปัจจุบันอย่าง โธมัส ทูเคิ่ล ที่เข้ามาสานงานต่อจาก แลมพาร์ด เมื่อฤดูกาลที่แล้ว พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่ ต่อเนื่องในปีนี้ด้วยรายการ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ สมัยแรกของสโมสร แล้วยังดูมีอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อยๆ อาจจะได้อยู่กับทีมต่อแบบยาวๆ หากการเปลี่ยนแปลงของสโมสรเรื่องเจ้าของใหม่ ไม่มีผลกระทบอะไรต่องานของเขา เพราะภาพรวมการคุมทีมไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ให้จำเป็นต้องปลดเลยแม้แต่น้อย

ปิดท้ายกันที่ระดับ “ยอดเยี่ยมตลอดกาล” จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากหนึ่งเดียวคนนี้อย่าง เดอะ สเปเชี่ยล วัน โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เข้ามารับในแบบเต็มตัวต่อจาก รานิเอรี่ ที่พาทีมไปไม่ถึงฝั่งฝัน ถึงขนาดที่เคยแยกทางกันไปแล้ว ยังต้องตามจีบกลับมาคุมทีมเป็นคำรบที่สอง พาทีมครองบัลลังก์แชมป์ลีกได้ตั้งแต่ปีแรกที่รับงาน ปิดสถิติก่อนแยกทางกันครั้งแรกด้วยการคว้าแชมป์ลีก 2 สมัย เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย และ คอมมูนิตี้ ชิลด์ 1 สมัย แล้วการกลับมารอบที่สองยังถิ่น สแตมฟอร์ดด บริดจ์ ที่รับไม้ต่อจาก เบนิเตซ ถึงแม้ว่าจะจบแบบมือเปล่าในฤดูกาลแรก

แต่ภาพรวมยังดูมีทรง แล้วในปีต่อมาความเชื่อใจ น้ามู ก็เป็นผลบวกตามคาด เพราะเขาพาทีมเป็นดับเบิ้ลแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเป็นแชมป์ลีก และ ลีก คัพ จบซีวั่นด้วยการเป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล พ่ายในเกมลีกไปเพียงแค่สามนัดเท่านั้น แต่พอเข้าสู่ปีที่สามผลงานก็ตกลงแบบน่าเหลือเชื่อ เก็บแต้มไปเพียง 11 คะแนน จากการลงเล่น 12 เกมในลีก จนต้องแยกทางกันไปตามระเบียบ

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้