Home บทความฟุตบอล เจย์ เจย์ โอโคชา พ่อมดแห่ง “โบลตัน”

เจย์ เจย์ โอโคชา พ่อมดแห่ง “โบลตัน”

0
เจย์ เจย์ โอโคชา พ่อมดแห่ง “โบลตัน”
okocha

ศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถือเป็นจุดศูนย์รวมของนักฟุตบอลฝีท้าดีจากทั่วทุกมุมโลกนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่มีผู้เล่นเพียงไม่กี่คนที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนบอลเหมือนกับร่ายเวทมนตร์บนสนามได้อย่างที่ ออกุสติน เจย์ เจย์ โอโคชา อดีตยอดจอมทัพชาวไนจีเรียของ โบลตัน วันเดอเรอร์ส เคยทำเอาไว้

ลีลาการเล่นของ โอโคชา บนผืนหญ้าเป็นเหมือนงานศิลปะที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมีผู้เล่นจำนวนไม่มากนักที่จะทำได้เหมือนเขาน ซึ่งมันเป็นปรัชญาที่หล่อหลอมเจ้าตัวมาจากริมถนนของเมือง อินูกู ประเทศไนจีเรีย

ถูกสร้างมาจากการเล่นฟุตบอลข้างถนน

อดีตเพลย์เมคเกอร์ “อินทรีมรกต” เริ่มเล่าวว่า “ผมคิดว่า มันเป็นเพราะภูมิหลังของผม การถูกอบรมเลี้ยงดูของผม การเล่นฟุตบอลเพื่อความรักในเกมสมัยยังเป็นเด็ก ผมไม่ได้ถูกสอนให้เล่นฟุตบอลแบบถูกวิธีมาก่อนเลย ผมออกไปที่ถนน และเริ่มเล่นมัน เพราะผมชอบฟุตบอลมาก”

“ลูกฟุตบอลมันเป็นของเล่นชิ้นเดียวของเรา มันเป็นที่ที่เราสามารถแสดงความสนุกสนาน และแสดงความอิสระของเราออกมาโดยที่ไม่ต้องมีผู้จัดการทีม หรือใครก็ตามที่มาจู้จี้คุณ หรือบอกคุณว่าต้องทำอย่างไร บนสนาม”

“ต่อมาการเล่นฟุตบอลในภายหลังมันกลายเป็นอาชีพของผม คุณสามารถจินตนาการได้ว่ามันดีแค่ไหนที่ของเล่นของคุณที่ต้องจ่ายเงินซื้อมันมานั้น กลายมาเป็นอาชีพ”

 โอโคชา เริ่มเข้าสู่เส้นทางฟุตบอลอาชีพกับ อินูกู เรนเจอร์ส ในบ้านเกิด เมื่อปี 1990 และต่อมาในปีเดียวกันนั้น เขาได้ไปเที่ยวพักผ่อนที่ประเทศยอรมันกับ บิเนบี นูมา เพื่อนที่กำลังเล่นให้กับ โบรุสเซีย นึนเคียร์เช่น ในดิวิชั่น 3 ของเมืองเบียร์

เช้าวันหนึ่ง นูมา ก็พา โอโคชา มาที่สนามซ้อม ซึ่งเขาก็ขอกุนซือ นึนเคียร์เช่น ร่วมทดสอบฝีเท้าด้วย และคุณภาพของ โอโคชา ก็สร้างความประทับใจให้กับทุกคนในสโมสร และจากนั้นเพียง 1 วัน ก็มีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการด้วยระยะเวลา 1 ปี

อย่างไรก็ตาม โอโคชา มีฝีเท้าโดดเด่นมากกว่าคนอื่นๆในทีม นึนเคียร์เช่น ซึ่งทำให้เขาอยู่กับสโมสรได้เพียงไม่กี่ปี และก็เป็น ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ในบุนเดสลีกา คว้าตัวไปร่วมทีมในปี 1992 และทำให้เขาได้มีโอกาสเล่นเคียงข้างกับ โทนี่ เยโบอาห์ ตำนานหัวหอกทีมชาติกาน่า

“ใช่ มันเป็นเรื่องจริง ผมไปที่นั่นในช่วงวันหยุด ตอนนั้น เยอรมัน เพิ่งคว้าแชมป์โลกที่อิตาลีได้ แน่นอน ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ผมก็จะพกรองเท้าฟุตบอลไปด้วย วันหนึ่งผมได้พบกับผู้จัดการทีม ผมถามเขาว่าผมสามารถฝึกกับพวกเขาได้ไหม เขาถามว่าผมว่า แน่ใจเหรอ และผมก็ตอบว่า ให้โอกาสผมเถอะ หลังจากการฝึกซ้อมเสร์จ เขาบอกผมว่า ให้กลับมาเซ็นสัญญา” โอโคชา กล่าว

ก้าวสำคัญสู่การเป็นตำนาน โบลตัน วันเดอเรอร์ส

หลังค้าแข้งกับ แฟรงค์เฟิร์ต นาน 4 ปี โอโคชา ก็ย้ายไปเล่นกับ เฟเนร์บาห์เช่ ต่อด้วย ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ก่อนจะตัดสินใจแบบไม่มีใครคาดคิดด้วยการมาโชว์ฝีเท้าในเมืองผู้ดีในปี 2002 กับ โบลตัน ภายใต้การนำของกุนซือ แซม อัลลาไดซ์

โบลตัน ในเวลานั้นมีขุมกำลังน่าตื่นเต้นอย่างมาก พวกเขามีนักเตะชื่อดังมากมายอาทิ ยูริ จอร์เกฟฟ์ อดีตกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1998 อิบัน คัมโป้ อดีตกองหลัง เรอัล มาดริด ชุดแชมป์ยุโรป รวมถึง ยุสซี่ ยาสเคไลเน่น โกล์ทีมชาติฟินแลนด์

โอโคชาเล่าต่อว่า “มันวิเศษมากเมื่อคุณเห็นคนที่มีความคิดต่างกัน วัฒนธรรมต่างกัน มาทำงานร่วมกันได้อย่างสุดยอด มันเหมือนกับทีมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่สิ่งที่ทำให้เราแข็งแกร่งก็คือ เรามีเป้าหมายเดียวกัน เราจัดการเปลี่ยนความคิดของเราให้เหมาะกับแต่ละคนได้”

ตลอด 4 ปีที่เล่นกับ โบลตัน นั้น โอโคชา เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในเกมรุกของทีม เขาสร้างสรรค์เกม โชว์เทคนิค และทำประตูสวยงามได้มากมาย ซึ่งทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของสาวก “เดอะ ทร็อตเตอร์ส” ได้อย่างรวดเร็ว

อดีตแข้งทีมชาติไนจีเรีย กล่าวว่า “ทุกอย่างในสนามมันคือ ตัวตนของผม ผมชอบทดลองทำสิ่งใหม่ๆบนสนาม ผมไม่รู้สึกกังวลเลย ผมไม่เคยกลัวที่จะลองเสี่ยง และลองทำสิ่งต่างๆ”

สำหรับ โอโคชาความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ได้มาแบบไม่คาดคิดเป็นองค์ประกอบสำคัญกับฟุตบอลในสไตล์ของเขา แต่การสร้างสมดุลที่เหมาะสมกับหลักการพื้นฐานของเกม รวมถึงแท็คติคนั้น ก็คือ สิ่งสำคัญที่แยกออกมา

หลังอำลา โบลตัน ในปี 2006 โอโคชา ก็โยกไปเล่นกับ กาตาร์ เอสซี 1 ปี ก่อนจะหวนกลับมาเล่นในอังกฤษกับ ฮัลล์ ซิตี้ 1 ฤดูกาล และประกาศแขวนสตั๊ดเมื่อปี 2008 ซึ่งตลอดเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลมันก็ทำให้เขาได้มีความสุข

“ผมมองว่าตัวเองเป็นคนโชคดี และโชคดีมากๆด้วย ฟุตบอลมันทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม และได้เรียนรู้มากมาย และได้เห็นโลกในมุมมองที่ต่างออกไป การได้ไปทำงานในหลายๆประเทศทั่วโลกนั้น ช่วยให้ผมเป็นอย่างที่เป็นทุกวันนี้” ตำนานกองกลาง “เดอะ ทร็อตเตอร์ส” กล่าวปิดท้าย

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้