อาถรรพ์ 7 ปี ของ “เจอร์เก็น คล็อปป์”

เกือบทศวรรษที่แล้ว โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การนำทัพของของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนจากทีมระดับแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมัน และหนึ่งในทีมที่น่ากลัวที่สุดของยุโรป กลายเป็นทีมที่ไม่สามารถเอาชนะใครได้เลยอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งตอนนี้หลายคนคิดว่า มันอาจเกิดเหตุการณ์เดียวกันที่ ลิเวอร์พูล

ย้อนกลับไปในบุนเดสลีกา เมื่อฤดูกาล 2014-15 ดอร์ทมุนด์ ของ คล็อปป์ ถูกยกให้เป็นผู้ท้าชิงอันดับ 1 ของ บาเยิร์น มิวนิค ที่คุมทีมโดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เหมือนกับหลายๆปีที่ผ่านมาที่ ลิเวอร์พูล เป็นคู่แข่งกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

เหตุกาณ์ที่ตามหลอกหลอน เจอร์เก้น คล็อปป์

อย่างไรก็ตาม ก่อนเปิดซีซั่น ดอร์ทมุนด์ ต้องเสียคีย์แมนอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ให้กับ บาเยิร์น แบบไม่มีค่าตัว โดยหัวหอกชาวโปแลนด์ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่ทำให้ คล็อปป์ ประสบความสำเร็จมากมายกับ “เสือเหลือง” โดยเฉพาะในช่วงที่คว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัยติดต่อกัน ปี 2010-12

มันเป็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับกรณีของ ซาดิโอ มาเน่ ที่อำลา ลิเวอร์พูล ไปเล่นกับ บาเยิร์น เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่ง คล็อปป์ พยายามแล้วที่จะให้ดาวเตะเซเนกัล อยู่ใน แอนฟิลด์ ต่อไป แต่ก็ล้มเหลว และทำให้ “หงส์แดง” เกิดช่องโหว่ในแนวรุก

เกม คอมมูนิตี ชิลด์ ที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้ 3-1 เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นั้น ไม่มีสัญญาณบ่งบอกเลยว่า “หงส์แดง” จะมีปัญหา ซึ่งมันเหมือนกับเดือนสิงหาคม ปี 2014 ที่ ดอร์ทมุนด์ เอาชนะ บาเยิร์น 2-0 พร้อมกับคว้าแชมป์ ซูเปอร์ คัพ ได้อย่างยอดเยี่ยม

ขณะเดียวัน ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า เกิดอะไรขึ้นหลังจากในปี 2014 ดอร์ทมุนด์ ฟอร์มหลุดดื้อๆ โดยตามหลัง บาเยิร์น มากถึง 11 คะแนน หลังผ่านไปเพียง 12 เกม และพ่าย 5 เกมติดต่อกันในเดทอนพฤศจิกายน จนหล่นไปอยู่ในโซนตกชั้น

มันเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลในศึก บุนเดสลีกา ที่เลวร้ายที่สุดของ ดอร์ทมุนด์ และนั่นทำให้ คล็อปป์ เกิดความสงสัยอย่างมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีม โดยเจ้าตัวเคยระบุว่า “มันเป็นสถานการณ์ที่โหดร้าย และบ้าบอมากๆ ผมยังหาคำตอบไม่ได้เลย”

เช่นเดียวกับฤดูกาลนี้ที่ แอนฟิลด์ ฟอร์มของ ลิเวอร์พูล ในฟุตบอลยุโรปไม่น่ากังวลแต่อย่างใด หลังเข้ารับ 16 ทีมสุดท้ายแบบไม่ยากเย็นนัก แต่ใน พรีเมียร์ลีก พวกเขาฟอร์มหลุดอย่างไม่น่าเชื่อ หลังรั้งอันดับ 6 ตามหลังจ่าฝูง อาร์เซน่อล มากถึง 15 แต้ม หลังผ่านไปเพียง 14 เกมเท่านั้น

นอกจากนี้ ปัญกานักเตะใหม่ที่เข้ามาทดแทนคีย์แมนคนเก่าก็ยังต้องใช้เวลาปรับตัว โดยปีสุดท้ายของ คล็อปป์ ที่ ดอร์ทมุนด์ ชิโร่ อิมโมบิเล่ หัวหอกชาวอิตาลี ถูกคว้าตัวมาแทน เลวานดอฟสกี้ แต่ก็โชว์ผลงานได้ไม่ตามเป้าหมายนัก

ขณะที่ ลิเวอร์พูล คว้าตัว ดาร์วิน นูนเญซ ดาวิงชาวอุรุกวัย มาจาก เบนฟิก้า เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาเพื่อแทนที่ของ มาเน่ แต่ ศูนย์หน้าวัย 23 ปี ยังคงต้องการเวลาในการปรับตัวอีกสักพัก แต่สถิติของเขาก็ยังยอดเยี่ยมหลังซัดไปแล้ว 9 ประตู จาก 18 เกม

ปัญหาที่มากกว่าการจากไปของผู้เล่นคนสำคัญ

ในช่วงที่คุม ดอร์ทมุนด์ เป็นฤดูกาลสุดท้าย คล็อปป์ เคยเจอปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บมากมาย ซึ่งเขาเคยเรียกมันว่า วิกฤตการบาดเจ็บที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอล โดยสิ่งที่ตามมาคือ เขาไม่มีนักเตะให้หมุนเวียนลงสนามมากพอกับโปรแกรที่อัดแน่น

นักข่าวเมืองเบียร์เคยสัมภาษณ์ คล็อปป์ ก่อนเจอกับ บาเยิร์น ว่า ควรเปลี่ยนรูปแบบการเล่นจาก “เกเก้นเพรสซิ่ง” ที่นักเตะต้องใช้พละกำลังหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวตอบว่า “มันเป็นคำถามที่เลวร้าย บาเยิร์น ก็มีนักผูเล่นบาดเจ็บเหมือนกัน แต่พวกเขาสามารถส่งนักเตะคนอื่นๆลงไปหมุนเวียนได้”

อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องนักเตะบาดเจ็บเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดอร์ทมุนด์ ต้องเจอกับงานที่ยากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเล่นมนถิ่น ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค หลังจากคู่แข่งตั้งใจมาเล่นเกมรับต่ำ และปล่อยให้พวกเขาครอบครองบอลตาที่ต้องการ

ทีมของ คล็อปป์ ครองบอล และสร้างสรรค์เกมได้มากมายแต่ก็ไม่ได้ประตู และสุดท้ายพวกเขาจะโดนคู่แข่งโต้กลับเร็ว หรืออาศัยความผิดพลาดของผู้เล่นแนวรับ ดอร์ทมุนด์ เข้าไปยิงประตูชัย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแทบทุกเกม

ปีเตอร์ คราเวียตซ์ ผู้ช่วยของ คล็อปป์ เคยอธิบายว่า “เรายังคงแพ้ในเกมแบบเดิมๆ เราเสี่ยงในการโดนโต้กลับเยอะมาก เราเล่นกับคู่ต่อสู้ที่เราครองบอลได้เยอะ สร้างโอกาสได้ดี แต่ก็แพ้ 1-0 หรือ 2-0 เพราะโดนโต้กลับเพียงแค่ 2-3 ครั้ง”

มันเป็นสิ่งเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้หลังจากพวกเขาเคยบุกไปพ่ายทีมในโซนท้ายตารางอย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และพ่ายคาบ้านให้กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด แบบสุดเซอร์ไพรส์ ทั้งที่ครองเกมได้มากมาย

อย่างไรก็ตาม ช่วงพักเบรกกลางฤดูกาลจากศึก ฟุตบอลโลก 2022 มาถึงในเวลาที่เหมาะสมพอดีสำหรับ คล็อปป์ และบรรดานักเตะที่ฟอร์มตก ซึ่งพวกเขามีโอกาสดีที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาเพื่อกลับมาสู่เส้นทางที่ดีอีกครั้ง

คราเวียตซ์ กล่าวว่า “ในที่สุดเราก็มีโอกาสสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมา และทำบางสิ่งโดยไม่ต้องกดดันจากการแข่งขันฟุตบอลที่ติดๆกัน เห็นได้ชัดว่าการได้พักสักหน่อยเป็นเรื่องที่ดี เราจะสามารถแก้ไขได้ เพื่อให้ทีมนี้กลับมาทำงานได้ดีอีกครั้ง”

หลังพักเบรกช่วงกลางฤดูกาล 2014-15 ดอร์ทมุนด์ ก็ค่อยๆ ดึงตัวเองขึ้นมาจากโซนท้ายตาราง และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พวกเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเดินหน้าเก็บชัยชนะในลีกได้ถึง 4 เกมติดต่อกัน พร้อมกับคว้าอันดับ 7 จบซีซั่น คว้าตั๋วรอบคัดเลือกรอบสามของ ยูโรป้า ลีก สำเร็จ

ขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล คล็อปป์ อธิบายว่า “อาถรรพ์ 7 ปี เหรอ? มันก็เป็นแค่สถานการณ์ที่ผู้เล่นถูกขายออกไปให้สโมสรอื่นอย่างต่อเนื่อง มันเป็นงานที่ยากมากที่ผมจะทำงานอย่างต่อเนื่อง บางทีทีมของผมก็ต้องเริ่มสร้างใหม่ และมันเหนื่อยมาก ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงบอกว่าเราต้องเก็บนักเตะคนสำคัญเอาไว้”

“ผมไม่มีปัญหาเรื่องพลังงานอย่างแน่นอน และสถานการณ์ที่นี่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ผมเข้าใจได้ว่า ผมเคยอำลา ดอร์ทมุนด์ ไปเมื่อ 7 ปีก่อน และตอนนี้ ลิเวอร์พูล อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และผู้คนก็เข้าใจกันไปต่างๆนาๆ แต่ถ้าคุณลองคิดดูดีๆ คุณจะรู้ดีว่า สถานการณ์ของผมแตกต่างไปจากเดิมอย่างแท้จริง”

Scroll to Top