ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเจ็บปวดของแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในตอนนี้ก็คือ “การที่ต้องเห็น ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จ” ปีที่แล้วก็แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก พอมาปีนี้ก็จ่อคิว แชมป์พรีเมียร์ลีก สถานการณ์ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเสียเหลือเกิน…นับตั้งแต่การวางมือของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เหล่า เร้ด อาร์มี่ ก็ไม่สามารถโม้ได้อย่างเต็มปากว่าพร้อมลุ้นแชมป์ได้อีกเลย แต่ช่วงก่อนพักเบรกจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สัญญาณของทีมก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดตำนานของทีมอย่าง แกรี่ เนวิลล์ ที่เป็นเกรียนตัวพ่อเริ่มโชว์ฝีปากพูดถึงการลุ้นแชมป์อีกครั้งแล้ว…วันนี้ทางทีมงาน 168Kick ได้ทำบทวิเคราะห์มาแล้วว่า 5 สาเหตุที่ทำให้ เฮียเนฟ ออกตัวแรงขนาดนั้นมีอะไรกันบ้าง?
ปัจจัยแรก : บิ๊กดีลจาก เอ็ด วู้ดเวิร์ด
เอ็ด วู้ดเวิร์ด ซีอีโอของสโมสรที่เปรียบเสมือนผู้ถือกุญแจเซฟ สามารถเปิดไปหยิบเงินในคงคลังได้ทุกเมื่อเชื่อยาม…เขามีสองร่างให้แฟนบอล ปีศาจแดง ได้ประจักษ์กับตามาก่อนหน้านี้แล้ว คือ ลอร์ดเอ็ด และ ไอ้เอ็ดเข้ ไม่มีใครสงสัยความสามารถของอดีตนายแบงค์รายนี้ในการหาเงินเข้าสโมสร ปีๆ นึงแบรนด์สินค้ามากมายพร้อมตกเป็นเหยื่อในการกลายมาเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนทีมนับสิบๆ ราย แทบทุกแขนงของสินค้าที่นับว่าเป็นธุรกิจ เอ็ด ลงมือกวาดมาเรียบแล้ว แต่ที่แฟนบอลตั้งข้อสงสัย คือ “เอ็งจะเหนียวเงินไปทำไม?” ตัวอย่างที่ชัดเจนเลย คือ ดีลของ บรูโน่ แฟร์นานเดส ที่เกือบกลายเป็นตำนาน 48 ชม. ไปอีกคน เพราะว่าตกลงค่าตัวกับโบนัสในอนาคตไม่ได้ซักที…แล้วไงล่ะ!!! สุดท้ายก็ต้องยอมจ่ายที่ สปอร์ติ้ง เรียกร้องอยู่ดี ทำให้เสียเวลาที่จะไปปิดดีลอื่นๆ อย่างน่าเสียดายนั่นคือ ร่างเอ็ดเข้ แต่อย่าลืมว่าอีกร่างหนึ่งอย่าง ลอร์ดเอ็ด มักจะโผล่มาทุกปีในช่วงซัมเมอร์เป็นร่างที่จ่ายไม่ยั้งขอแค่คว้าตัวนักเตะที่เป็นเป้าหมายมาได้ก็พอ หลักฐานก็หาได้ง่ายๆ ลองไล่เรียงรายชื่ออย่าง ฆวน มาต้า, อังเคล ดิ มาเรีย, อ็องโตนี่ มาร์กซิอัล, ปอล ป็อกบา, โรเมลู ลูกากู, เฟร็ด, แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และ อารอน วาน–บิสซาก้า ไม่เว้นแม้แต่ อเล็กซิส ซานเชซ ล้วนเป็นรายชื่อที่ ลอร์ดเอ็ด ใช้เงินแก้ปัญหาทั้งหมด…ดังนั้นเชื่อได้เลยว่าหากเขายอมทุบคลังครั้งใหญ่อีกครั้ง เพื่อคว้าตัวนักเตะชื่อดังที่ตกเป็นข่าวอยู่อย่าง จาดอน ซานโช่, แจ็ค กรีลิช และ เจมส์ แมดดิสัน เข้ามาสักคน บวกกับกองหน้าระดับโลก และ คู่ขาที่ไว้ใจได้ให้กับ แม็คไกวร์ มั่นใจได้เลยว่านี่แหละคือทางลัดที่ดีที่สุด ยิ่งล่าสุดเจ้าตัวออกมายืนยันเองว่าวิกฤติการเรื่องไวรัสโคโรน่า ไม่ส่งผลต่องบการเสริมทัพของทีมในปีหน้าทำแฟนบอลยิ้มหวานกันไปเป็นแถบ
ปัจจัยที่สอง : ขุมกำลังปัจจุบันของทีม
ไม่ผิดแล้วล่ะ…ขุมกำลังชุดปัจจุบันของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถ้ามาไล่ดูรายชื่อกันดีๆ แล้ว ไม่ได้ดูด้วยกว่าทีมระดับท็อปซิกซ์ด้วยกันเลยแม้แต่น้อย พูดกันตรงๆ แล้วดีกว่าทีมหลายๆ ชุดที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมผงาดคว้าแชมป์ลีกด้วยซ้ำ….
นายทวาร ดาบิด เดเกอา มือหนึ่งทีมชาติสเปนที่อยู่ในวัยพีคของการค้าแข้ง มีช็อตโชว์เซฟที่น่าเหลือเชื่ออยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าปีนี้จะออกลูกเหวอไปบ้าง แต่ถ้านำไปเทียบกับอดีตมือหนึ่งของทีมอย่าง รอย แคร์โรลล์ หรือ ทิม ฮาเวิร์ดส ก็นับว่าดีกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่าแล้ว…
แดนหลังก็มี แฮร์รี่ แม็คไกวร์ อย่าลืมว่าเซนเตอร์ร่างยักษ์รายนี้ คือ กองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก พ่วงดีกรีอันดับสี่จากฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด ยังไงชื่อของเขาก็ต้องติดท็อปไฟว์ของลีกอย่างไม่ต้องสงสัย บวกกับแบ็คขวาอนาคตไกลแบบ อารอน วาน–บิสซาก้า ที่เกมรับเหนียวเป็นตังเม แค่ยกมาสองรายชื่อก็กินขาดทีมอื่นๆ ไปหลายช่วงตัวแล้ว
มาต่อกันที่แดนกลาง เฟร็ด มิดฟิลด์ชาวบราซิลที่เคยเป็นเป้าหมายของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ฉายแววให้เห็นแล้วว่าเขามีดีแค่ไหน บวกกับเพลย์เมคเกอร์ขวัญใจคนใหม่ บรูโน่ แฟนันด์ส ที่ปล่อยของให้เห็นกันแล้วว่าตัวเดียวเสียวทั้งลีกมันเป็นยังไง?
ตำแหน่งปัญหาที่หลายๆ คนกังวล คือ ศูนย์หน้าตัวจบสกอร์…ใช่เลย มาร์กซิอัล แฟนบอลส่วนใหญ่ส่ายหัวกับดาวยิงเฟร้นช์แมนรายนี้ ไม่แปลกเลยเพราะเขาไม่ใช่ตัวจบสกอร์โดยธรรมชาติแบบ แอร์รี่ เคน แต่อย่าลืมว่าปีนี้เขากดไปถึง 16 ประตูแล้ว เป็นรองแค่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่บาดเจ็บอยู่แค่คนเดียว ลองเอาสถิติของสองคนนี้มาบวกกันสิ แล้วจะดูว่ามันไม่น่าเกลียดเลย…ลองคิดดูว่าถ้าสองคนนี้ลงเล่นพร้อมกันโดยที่ไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวน แล้วโชว์ฟอร์มแบบฤดูกาลนี้ทีมจะการันตีการทำประตูกว่า 30 ลูก ลองคิดดูว่ามีกี่ทีมที่จะมีแนวรุกที่น่าเกรงขามได้ขนาดนี้…
มาว่ากันต่อที่กำลังสำรองกันบ้าง ประตูมือสองมี เซร์คิโอ โรเมโร่ อดีตมือหนึ่งทีมชาติอาร์เจนติน่า ที่แฟนบอลตามเว็บบอร์ดต่างประเทศเคยยกให้เขาเป็นประตูมือหนึ่งคนที่สองของทีม กองหลังตัวกลางก็มี เอริก ไบญี่ เซนเตอร์กระดูกเปราะที่มีสถิติยามจับคู่กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ดีที่สุดในฤดูกาลนี้ แบ็คซ้ายก็มี แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ไอ้หนูจอมห้าวจากทีมเยาวชนที่ฝีเท้าอาจยังไม่จัดจ้านเท่าไหร่แต่เรื่องใจนี่เกินร้อย พร้อมบวกทุกรุ่นทุกจังหวะจัดว่าเป็นตัวปะทะได้เลย ด้านแนวรุกเอาไว้ใช้เปลี่ยนเกมก็มี ฆวน มาต้า นี่คืออดีตเพลย์เมคเกอร์เชิงสูงที่พา เชลซี คว้าแชมป์ลีกมาแล้ว, สกอตต์ แมคโทมิเนย์ กลางดาวรุ่งเลือดวิสกี้ที่ฟอร์มก่อนเจ็บนั้นจัดว่าเด็ดใช้ได้ วิ่งขึ้นลงแบบแทบไม่หมดตลอด 90 นาที, แดเนี่ยล เจมส์ ปีกความเร็วสูงดีกรีทีมชาติเวลส์ที่ฝีเท้าจัดที่สุดในทีมตอนนี้ และ เมสัน กรีนวู้ด ดาวยิงวัยละอ่อนที่มีลีลาการจบสกอร์คล้ายคลึงกับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่ปีนี้ยิงในลีกไปแล้ว 5 ลูก เท่านี้ก็นับว่าเหลือแหล่แล้ว…
นี่ยังไม่นับ ปอล ป็อกบา กองกลางเจ้าปัญหาดีกรีแชมป์โลก ที่ถ้าวัดกันแค่เรื่องของฝีเท้าในตำแหน่งเดียวกันแล้วยังไงก็อยู่ระดับท็อปเท็นของโลกแน่ๆ รวมไปถึง อเล็กซิส ซานเชซ แนวรุกชาวชิลีที่รับค่าเหนื่อยสูงสุดในสโมสร ที่ถ้าเรียกฟอร์มกลับมาได้สัก 80 เปอร์เซนต์เหมือนสมัยที่เล่นให้กับ อาร์เซน่อล ก็เหมือนกับได้นักเตะใหม่ที่ใช้งานได้แบบไม่ต้องปรับตัวเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว
ปัจจัยที่สาม : ระบบการเล่นที่ยืดหยุ่น
ต่อเนื่องจากปัจจัยในเรื่องของตัวผู้เล่นในข้อที่แล้วที่ทำให้รู้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นมีขุมกำลังให้เลือกใช้หลากหลาย เราจึงเห็นได้ว่าในปีนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เริ่มเล่นแร่แปรธาตุปรับเปลี่ยนแผนการเล่นให้มีความหลากหลายมากขึ้นโดยทีมงานจะยกเอาสามแผนเด่นๆ มาเป็นตัวอย่างประกอบเพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น
ระบบแรก 4-2-3-1 : ใช้ในช่วงต้นฤดูกาล ประตูเป็น เด เกอา แบ็คขวา วาน–บิสซาก้า เซนเตอร์คู่เป็น ลินเดลอฟ กับ แม็คไกวร์ แบ็คซ้ายเป็น ชอว์ กลางรับสองตัวใช้ เฟร็ด กับ แมคโทมิเนย์ กลางรุกสามตัวจากขวามาซ้ายเป็น เจมส์, บรูโน่ และ แรชฟอร์ด กองหน้าตัวเป้าเป็น มาร์กซิอัล ซึ่งการจัดทีมในระบบนี้จะช่วยในเรื่องของความสมดุลย์ในแดนกลางไปจนถึงแดนหน้าที่มีแนวรุกที่พร้อมเข้าทำในแดนบนถึง 5 ตัวด้วยกัน แต่ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการตัดบอลก่อนถึงแดนหลังเพราะมีตัวรับสองคนคอยสกรีนไว้เป็นด่านแรกแล้ว
ระบบที่สอง 3-4-1-2 : ระบบนี้มักจะถูกนำมาใช้เวลาเจอกับทีมใหญ่ ประตูจะเป็น เด เกอา เซนเตอร์แบ็คสามตัวจากขวามาซ้ายเป็น ลินเดลอฟ, แม็คไกวร์ และ ชอว์ กองกลางจากขวาไปซ้ายจะเป็น วาน–บิสซาก้า, มาติช, เฟร็ด, วิลเลี่ยมส์ เพลย์เมคเกอร์จะเป็น บรูโน่ และหน้าคู่ มาร์กซิอัล กับ แรชฟอร์ด ซึ่งการจัดทีมในระบบนี้โดดเด่นอย่างมากในเรื่องของเกมรับที่แข็งแกร่ง เพราะมีผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ที่ช่วยตั้งรับทั้งหมดถึง 7 ตัวเลยทีเดียว เหลือแค่แนวรุก 3 ตัวบนเอาไว้เล่นเกมสวนกลับโดยใช้ความเร็วเล่นงานเท่านั้น
ระบบสามที่สาม 4-3-1-2 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ 4-4-2 ไดมอนด์ : ระบบนี้เคยนำมาใช้มาแล้วหนึ่งนัด คือ เกมที่บุกไปเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ถึงถิ่น 1-1 แม้ว่าตอนนั้นจะดูยังไม่พร้อมแต่ถ้าได้ฝึกซ้อมบ่อยๆ ถือว่าเป็นระบบที่น่าสนใจเลยทีเดียว ประตูเป็น เด เกอา แผงหลังจากขวามาซ้ายเป็น วาน–บิสซาก้า, ลินเดลอฟ, แม็คไกวร์ และ ชอว์ กองกลางสามตัวต่ำยืนแบบหน้ากระดานขวามาซ้ายเป็น แมคโทมิเนย์, มาติช และ เฟร็ด กลางรุกตัวเดียวเป็น บรูโน่ กองหน้าสองคนเป็น มาร์กซิอัล และ แรชฟอร์ด ซึ่งถ้าจัดทีมในระบบนี้จะแข็งแกร่งอย่างมากในการช่วงชิงพื้นที่ในแผงแดนกลางเพราะมิดฟิลด์ตัวต่ำสามารถเล่นเกมรับได้ดีถึงสามคน
ทุกระบบที่กล่าวมาสามารถเติม ป็อกบา เข้าไปในแดนกลางได้ถ้าหากมิดฟิลด์แชมป์โลกตัดสินใจอยู่กับทีมต่อไป ซึ่งหลายๆ คนคิดว่าถ้า ป็อก สามารถเล่นร่วมกับ บรูโน่ ได้จริงๆ ปีศาจแดง จะมีแดนกลางที่น่าเกรงขามมากเลยทีเดียว
ปัจจัยที่สี่ : เงิน
ใช่เลย…เงินล้วนๆ นี่ละเป็นปัจจัยสำคัญที่จะพาทีมไปสู่ความสำเร็จ!!! เราไม่ได้พูดถึงการทุ่มซื้อตัว แต่เงินส่วนนี้ที่จะนำมาใช้ คือ โบนัส และ ค่าเหนื่อย ของนักเตะภายในทีมนั่นเอง เลิกความคิดไปได้เลยว่านักเตะสมัยนี้ยังคงจงรักภักดีกับสโมสรแม้ว่าทีมจะตกต่ำแค่ไหน สำหรับแฟนบอลโลกสวย “โปรด!!! ยอมรับกันตามตรงสักทีว่าฟุตบอลกลายเป็นธุรกิจไปแล้วในทุกวันนี้” จะมีนักเตะสักกี่คนบนโลกที่กล้าปฏิเสธค่าจ้างที่มากกว่า กับโบนัสก้อนโต แถมยังมีโอกาสกลายเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์กีฬาดังๆ ระดับโลกด้วยสัญญามูลค่ามหาศาล ไหนๆ เอ็ด วู้ดเวิร์ด ก็เก่งในเรื่องของการหาเงินอยู่แล้ว ก็จัดการอัดเงินค่าเหนื่อย แล้วเพิ่มโบนัสลิขสิทธ์ภาพลักษณ์ให้ดาวเตะในสโมสรไปด้วยเลยในตัว บวกกับโบนัสอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ยิงประตู, ทำแอสซิสต์ หรือ เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ก็ว่ากันไปสำหรับนักเตะแกนนำของทีมแบบรายตัว…ยิ่งไปกว่านั้นก็เพิ่มเม็ดเงินอัดฉีดแบบสุดโต่งให้กับ โบนัสแบบทีม อย่างเช่นหากคว้าแชมป์ลีกได้ก็จ่ายไปเลยจะ 20-30 ล้านปอนด์ก็ว่ากันไป แล้วถ้าเป็น ดับเบิ้ลแชมป์ หรือ เทรบเบิ้ลแชมป์ ก็จ่ายเพิ่มให้อีก…จ่ายมันอย่างเดียวไม่ต้องสนใจว่าต้องเสียเท่าไหร่ในการลงทุนตอนแรก มีใครบ้างล่ะที่ไม่อยากได้ทั้งเงิน และความสำเร็จ รับรองว่าวิ่งกันลืมตาย…แล้วสุดท้ายพอทีมกลับมาครองบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ได้แล้วใครจะอยู่ใครจะไปก็แล้วแต่เลย เนื่องจากพอชื่อเสียงของสโมสรที่กลับมาหอมหวลแล้วก็จะดึงดูด ซูเปอร์สตาร์ ในอนาคตให้อยากมาร่วมทีมเองแบบอัตโนมัติทำให้ไม่ยากเลยที่จะหาตัวแทนมาอุดรอยโหว่ที่เกิดขึ้น…อย่าไปสนว่าดีลของ อเล็กซิส ซานเชซ ทีมจะเสียค่าโง่ไปเท่าไหร่? ตราบใดที่มั่นใจว่า “ทีมกูรวย“
ปัจจัยที่ห้า : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา
แฟนบอลยูไนเต็ดหลายคนส่ายหัวกับ เฮียยิ้ม จากผลงานที่ผ่านมาที่ยังไม่เข้าตาสักที แต่ขอบอกไว้เลยว่าส่วนใหญ่ที่คิดแบบนั้นมักจะเป็นพวกเสพติดความสำเร็จทั้งนั้น เลิก คิดซักทีว่าทีมชุดปัจจุบันนั้นจะประสบความสำเร็จเหมือนตอน เฟอร์กี้ คุมทีมเพราะความสำเร็จในตอนนั้นมันจบลงไปแล้ว และกลับมาอยู่กับปัจจุบันเถอะ…โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อาจไม่ใช่ผู้จัดการทีมชื่อดังระดับโลก แต่ในความเป็นจริงโค้ชระดับโลกคนไหนจะกล้ามารับงานคุมทีม ปีศาจแดง ตอนนี้ด้วยค่าจ้างเท่านี้ ดังนั้น โอเล่ ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ย่ำแย่สักเท่าไหร่นัก…แนวทางการทำทีมของเขาอาจต้องใช้เวลาตามที่เคยให้สัมภาษณ์ แต่พลังบวกที่ เฮียยิ้ม พยายามสร้างให้กับทีมมาโดยตลอดนั้นก็เริ่มผลิดอกออกผลตามผลงานช่วงหลังแล้ว โดยการดึงตัว ไอค่อนในอดีต อย่าง ไมเคิ่ล คาร์ริก, ฟิลล์ เนวิลล์ หรือ นิคกี้ บัตต์ มาร่วมงานทำให้นักเตะภายในทีมซึมซับแนวทางที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ และเขาเองก็ยังได่ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมทีมที่เข้าขารู้ใจที่พร้อมก้าวไปด้วยกันเป็นผลพลอยได้…ใครๆ อาจจะเบื่อคำพูดหล่อๆ ของ โอเล่ ในบทสัมภาษณ์ แต่ลองมองอีกมุมดูว่าถ้านักเตะมีโค้ชที่คอยหนุนหลัง และเชื่อมั่นในตัวพวกเขาอยู่ตลอด จะสู้แบบถวายหัว และรักโค้ชขนาดไหน…อย่าลืมว่า เฟอร์กี้ ต้องใช้เวลาสามปีในการคว้าแชมป์ถ้วยแรก ไม่ผิดเลยที่ น้าลูกอม จะใช้เวลามากกว่าในโลกฟุตบอลที่แข่งขันกันสูงกว่าในยุคนั้น อย่าลืมว่าเขาคือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับ ท่านเซอร์ มากที่สุดบนม้านั่งสำรอง และได้เห็นแนวทางการคุมทีมแบบละเอียด…เขาเคยพา โมลด์ คว้าแชมป์ลีกนอร์เวย์ได้ในรอบ 100 ปี แต่ก็เคยพา คาร์ดิฟฟ์ ตกชั้น ทุกอย่างล้วนกลายมาเป็นประสบการณ์ที่สำคัญแน่นอน ซึ่งในตอนนี้การคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นบททดสอบที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาที่หาไม่ได้ง่ายๆ เชื่อได้เลยว่า เขาต้องสู้แบบสุดชีวิตเพื่อพาทีมไปสู่ความสำเร็จแบบสมัยที่เป็นนักเตะแน่นอน และคงไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับตำแหน่ง ฮีโร่ มากกว่า อดีตซูเปอร์ซับ คนนี้อีกแล้ว…