เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประกาศยืนยันบรรลุข้อตกลงคว้าตัว ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าทีมชาติเยอรมัน จาก แอร์เบ ไลป์ซิก ทีมดังในศึกบุนเดสลีกา มาล่าตาข่ายเป็นที่เรียบร้อย โดยมีค่าตัวอยู่ที่ 47.5 ล้านปอนด์ พร้อมเซ็นสัญญายาว 5 ปี ทั้งที่ตัวนักเตะมีข่าวกับ ลิเวอร์พูล มาอย่างต่อเนื่อง
แวร์เนอร์ ได้รับค่าเหนื่อยจาก เชลซี เป็นจำนวนเงินมหาศาลถึง 170,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และจะย้ายมายังถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังจากที่ศึกบุนเดสลีกาในฤดูกาลนี้จบลงเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากรวมทั้งค่าเหนื่อยตลอดสัญญา 5 ปี และค่าตัวของ ดาวยิงวัย 24 นั้น จะทำให้ “สิงโตน้ำเงินคราม” ต้องจ่ายเงินรวมแล้วแตะหลัก 100 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน หลายคนตั้งคำถามว่า เชลซี จะได้รับอะไรจากการลงทุนของพวกเขา? ทำไมการย้ายไปยัง ลิเวอร์พูล ถึงไม่เกิดขึ้น ? และ แวร์เนอร์ จะปรับตัวเข้ากับทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีม “สิงห์บลู” ได้หรือไม่?
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา บรรดาสื่อมวลชนทั้งในอังกฤษ และเยอรมันต่างพากันประโคมข่าวว่า แวร์เนอร์ และ เอเย่นต์ของเขากำลังเจรจากับ ลิเวอร์พูล อย่างต่อเนื่อง โดยหัวหอกชาวเยอรมันได้รับการคาดหมายว่า เป็นเป้าหมายอันดับ 1 ในการเสริมทัพของ “หงส์แดง” ในช่วงซัมเมอร์นี้
นอกจากนี้ รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า แวร์เนอร์ ได้ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์พูดคุยกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล มาแล้ว 1 ครั้ง แต่การเจรจาก็เริ่มชะงักลงไปในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะ คล็อปป์ สงสัยในศักยภาพของ แวร์เนอร์ แต่เป็นเพราะทางบอร์ดบริหาร “หงส์แดง” ไม่พร้อมจ่ายค่าตัวของเขาที่ถูกปักป้ายไว้ราว 45 ล้านปอนด์
ลิเวอร์พูล ตั้งใจที่จะเจรจากับ ไลป์ซิก อย่างเป็นทางการเพื่อขอลดค่าตัวของ แวร์เนอร์ ในขณะที่ตัวนักเตะเองเรียกค่าเหนื่อยบวกกับโบนัสต่างๆค่อนข้างสูง และขอการีนตีเวลาลงสนาม ซึ่งดูเหมือนว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะ แวร์เนอร์ คงไม่สามารถสอดแทรก 3 แนวรุกตัวจริงของ “หงส์แดง” อย่าง ซาดิโอ มาเน่, โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ และโรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ได้ในทันที
แผนการของ คล็อปป์ คือ ค่อยๆให้เวลา แวร์เนอร์ ปรับตัวกับ ลิเวอร์พูล และจะมอบโอกาสให้เป็นตัวจริงในช่วงเดือนมกราคมปี 2021 ซึ่งเป็นจังหวะที่ มาเน่ และ ซาล่าห์ ต้องไปรับใช้ทีมชาติเซเนกัล และอิยิปต์ ในศึกแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ
อย่างไรก็ตาม ไลป์ซิก ไม่เต็มใจที่จะพูดคุยกับ ลิเวอร์พูล เกี่ยวกับการลดค่าตัว แวร์เนอร์ ลงมา โดย โอลิเวอร์ มิทซ์สลาฟฟ์ ซีอีโอของ ไลป์ซิก เคยระบุไว้ว่า “ไม่มีทางที่เขาจะค่าตัวถูกกว่านี้ เราจะไม่ขายผู้เล่นต่ำกว่ามูลค่าที่ตั้งเอาไว้หากเขายังอยู่ภายใต้สัญญากับเรามากกว่า 1 ปี”
เมื่อปีที่แล้ว แวร์เนอร์ ตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับการย้ายไปยัง บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งในท้ายที่สุดการย้ายทีมก็ไม่เกิดขึ้นเนื่องจาก “เสือใต้” ไม่พร้อมจ่ายเงิน 22 ล้านปอนด์เพื่อเป็นค่าตัวของเขา ในขณะที่ แอตเลติโก มาดริด ทีมดังในศึกลา ลีกา สเปน ก็ตกเป็นข่าวกับ แวร์เนอร์ เช่นเดียวกัน
ไม่นานก่อนที่จะปิดตลาดนักเตะเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา กองหน้าทีมชาติเยอรมัน ตัดสินใจจรดปากกาต่อสัญญาฉบับใหม่กับ ไลป์ซิก ออกไปอีก 3 ปี โดยสัญญาบับเดิมของเจ้าตัวจะหมดลงในช่วงฤดูร้อนนี้ และมันเป็นการทำให้ ไลป์ซิก ไม่เสียเขาไปแบบฟรีๆ
ขณะที่ เชลซี เดินเครื่องด้วยความรวดเร็วด้วยการประเคนค่าเหนื่อยให้กับ แวร์เนอร์ มากถึง 170,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งมันมากกว่าค่าเหนื่อยปัจจุบันที่เขาได้รับจาก ไลป์ซิก มากถึง 2 เท่า พร้อมกับจ่ายโบนัสให้กับ คาร์ลไฮนซ์ ฟอร์สเตอร์ เอเย่นต์ของ ดาวยิงชาวเยอรมัน ไปถึง 12 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
แวร์เนอร์ และ ฟอร์สเตอร์ ไปที่สำนักงานของ ไลป์ซิก เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมาเพื่อพูดคุยรายละเอียดสั้น ๆ กับเจ้าหน้าที่ของสโมสรเป็นเวลา 20 นาที โดยแจ้งให้ทราบถึงความตั้งใจของพวกเขาที่จะย้ายไปยังลอนดอน
ในที่สุด เชลซี ประกาศคว้าตัว แวร์เนอร์ อย่างเป็นทางการ หลังเจรจากับทั้งตัวนักเตะ และ ไลป์ซิก ลงตัว ซึ่งนั่นหมายความว่า แวร์เนอร์ ก็จะไม่มีส่วนร่วมกับ ไลป์ซิก ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่จะกลับมาเตะกันอีกครั้งในเดือนสิงหาคมนี้
ภายใต้การคุมทีมของ แลมพาร์ด ที่ เชลซี แวร์เนอร์ ได้รับการคาดหมายว่า จะถูกใช้ใน 2 บทบาท นั่นคือ ในระบบ 4-3-3 เขาจะยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าขนาบข้างด้วย คริสเตียน พูลิซิส ปีกทีมชาติสหรัฐอเมริกา และ ฮาคิม ซีเย็ค ตัวรุกชาวโมร็อกโก และหากเป็นระบบ 4-2-2 เขาจะยืนเป็นหัวหอกคู่กับ แทมมี่ อับราฮัม ดาวยิงชาวอังกฤษ
แวร์เนอร์ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับ สตุ๊ตการ์ท ในตำแหน่งปีกซ้ายก่อนจะถูกขยับมายืนเป็นกองหน้าตัวเป้าเป็นการถาวรในเวลาต่อมา ซึ่งมันเป็นตำแหน่งเดียวกับในทีมชาติเยอรมันที่ โจอาคิม เลิฟ เทรนเนอร์ “อินทรีเหล็ก” ใช้งานเขาในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ยูเลี่ยน นาเกิลส์มันน์ กุนซือหนุ่มไฟแรงวัย 32 ปี ที่ย้ายจาก ฮอฟเฟ่นไฮม์ มากุมบังเหียน ไลป์ซิก เมื่อปี 2019 นั้น เห็นศักยภาพของ แวร์เนอร์ พร้อมกับปรับบทบาทให้เขามาเล่นในบทบาท False9 ซึ่งมันเป็นเหมือนการรีดความสามาสารถของอดีตเด็กปั้น สตุ๊ตการ์ท ออกมาได้อย่างเต็มที่
ในช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา นาเกิลส์มันน์ แนะนำให้ แวร์เนอร์ ถอยตัวเองลงมามีส่วนร่วมกับเกมมากขึ้นกว่าที่จะไปยืนคำกับเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่แข่ง และนั่นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ดาวยิงทีมชาติเยอรมัน ระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอดด้วยการซัดไป 26 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ จาก 32 เกมในบุนเดสลีกาฤดูกาลนี้
เวลาจะตอบได้ว่า แวร์เนอร์ จะอยู่ในบทบาทใดกับ เชลซี ภายใต้คุมทัพของ แลมพาร์ด และคุณภาพของเขาจะพาทีมประสบความสำเร็จได้หรือไม่ แต่ตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สาวก “สิงโตน้ำเงินคราม” คงมีความสุขกับการลงทุนครั้งใหญ่ของสโมสรอย่างแน่นอน