Home บทความฟุตบอล เจสซี่ มาร์ช กุนซืออเมริกันผู้เขย่าวงการลูกหนังยุโรป

เจสซี่ มาร์ช กุนซืออเมริกันผู้เขย่าวงการลูกหนังยุโรป

0
เจสซี่ มาร์ช กุนซืออเมริกันผู้เขย่าวงการลูกหนังยุโรป

ในวัยเด็ก เจสซี่ มาร์ช กุนซือชาวสหรัฐอเมริกา ของ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก สโมสรดังแห่งศึกบุนเดสลีกา ออสเตรีย ไม่เคยใฝ่ฝันที่จะได้คุมทีมลงเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลยแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่กุมบังเหียนในถ้วยใบใหญ่ของยุโรป หรือบางทีในอนาคตเขาอาจเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้รับการบันทึกว่าคว้าถ้วยอันทรงเกียรตินี้ไปครอง

ฤดูกาลนี้ มาร์ช ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพา ซัลซ์บวร์ก คว้าแชมป์บุนเดสลีกา ออสเตรีย และแชมป์ฟุตบอลถ้วย ออสเตรีย คัพ ไปครองได้สำเร็จ พร้อมกับคว้ารางวัลส่วนตัวผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีหลังจากลีกจบฤดูกาลเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอีกด้วย

วันหนึ่ง มาร์ช กำลังไปเที่ยวในประเทศหนึ่งแถบยุโรป และดูถ่ายทอดสดเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในเวลากลางคืนผ่านจอโทรทัศน์ตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา แต่ตอนนี้ในวัย 46 ปี เขาได้รับการยกย่องอย่างสูงในยุโรปหลังพา ซัลซ์บวร์ก ทำผลงานได้อย่างสุดยอดทั้งใน และนอกประเทศ ซึ่งมันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เจ้าตัวหวนนึกถึงอดีต 

ในวัย 15 ปี มาร์ช ได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศอังกฤษ และเขาถูกพาไปที่สนามแอนฟิลด์เพื่อดู ลิเวอร์พูล ลงแข่งขัน ซึ่งหลังจากได้ดูนักเตะอย่าง จอห์น บาร์นส์ และ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ โชว์ฝีเท้ามันทำให้เขาประทับใจอย่างยิ่งจนต้องลงไปในสนามเพื่อเก็บหญ้าจากแอนฟิลด์หลังจบเกมกลับไปเป็นที่ระลึก เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีโอกาสกลับมาที่นี่อีกแล้ว

คุมทีมเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

Photo : dw.com

31 ปีต่อมา ค่ำวันที่ 3 ตุลาคมปี 2019 ที่สนามแอนฟิลด์ มาร์ช กลับมาอีกครั้งแต่ในฐานะผู้จัดการทีม ซัลซ์บวร์ก ที่พาทีมมาเผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล และถึงแม้ในเกมนั้น เขาจะพาทีมพ่ายให้กับ “หงส์แดง” ไปหวุดหวิด 4-3 แต่แฟนบอลหลายคนต่างก็ยกย่องในฝีม้ายลายมือของเขาที่ต่อกรกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอดกุนซือชาวเยอรมันอย่างสนุก  

ระหว่างเกมกับ ลิเวอร์พูล มันมีคลิปที่ มาร์ช กำลังกระตุ้นลูกทีม ซัลซ์บวร์ก อย่างดุเดือด โดยภาพดังกล่าวมันถูกแพร่กระจายไปทั่วโซเชี่ยลมีเดีย และหลายๆคนต่างก็ชื่นชมในอารมณ์ร่วม รวมถึงความกระตือรือร้นของเขาในการปลุกใจนักเตะ

มาร์ช เริ่มอธิบายว่า “คุณไม่สามารถปรับอารมณ์ได้ตลอดเวลาหรอก แต่คุณสามารถแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของคุณได้ นั่นเป็นส่วนสำคัญของความเป็นผู้นำ ซึ่งต้องเป็นแรงบันดาลใจให้กับทีม แต่เราต้องเข้าใจสถานการณ์ในเวลานั้น และเข้าใจวิธีการสื่อสารภายในทีมด้วย”

มาร์ช เป็นคนที่น่าสนใจ เขาเต็มไปด้วยแรงกระตุ้น และความเชื่อมั่น เขาไม่เคยเกรงกลัวที่จะให้ลูกทีมเปิดเกมรุก ซึ่งนั่นคือ ปรัชญาที่เขาใช้ในการดำเนินชีวิต และถ่ายทอดมันมาสู่ทีม ซาลซ์บูร์ก จนประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตัวเอง

มาร์ช เคยชินกับข้อสงสัยที่มีต่อตัวเขา แต่ใครจะไปคิดว่า อดีตผู้เล่นในทีม ดีซี ยูไนเต็ด, ชิคาโก้ ไฟร์ และชีวาส ยูเอสเอ ที่ติดทีมชาติสหรัฐฯเพียง 2 นัดตลอดอาชีพนักฟุตบอลคือในเกมกับ ตรินิแดด และโตเบโก และ จีน จะได้คุมทีมลงเล่นในถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรป

เส้นทางผู้จัดการทีม

Photo : zimbio.com

ในปี 2011 มาร์ช เริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมครั้งแรกกับ มอนทรีออล อิมแพ็ค ในบ้านเกิด ก่อนจะย้ายมาคุม นิวยอร์ก เร้ด บูลล์ส เมื่อปี 2015 จากนั้น ในปี 2018 เขาพบจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตด้วยการถูกดึงตัวไปเป็นผู้ช่วยกุนซือของ ราล์ฟ รังนิก ที่ แอร์เบ ไลป์ซิก ในบุนเดสลีกา เยอรมัน

รังนิก ซึ่งปัจจุบันรั้งตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกีฬา และการพัฒนาฟุตบอลในเครือ เร้ด บูลล์ส นั้น ถือเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตของ มาร์ช นอกจากนี้ รังนิก ยังถือเป็นกุนซือลำดับต้นๆ ที่นำแนวทางการเล่นแบบเกเก้นเพรสซิ่งมาใช้ในเยอรมัน

ขณะเดียวกัน รังนิก ยังนับเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการลูกหนังเมืองเบียร์อย่างแท้จริง เขาเป็นต้นแบบของกุนซือรุ่นใหม่หลายๆคนไม่ว่าจะเป็นตัวของ มาร์ช, อาดี้ ฮุตเตอร์ เฮดโค้ช ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต, ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ เทรนเนอร์ ไลป์ซิก และ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ กุนซือ โวล์ฟสบวร์ก

ก้าวแรกในแผ่นดินยุโรป

Photo : sbisoccer.com

เมื่อ มาร์ช มีโอกาสได้พูดคุยกับ รังนิก เป็นครั้งแรกมันเป็นเหมือนการจุกไฟในตัวเขาให้ลุกโชน โดยเล่าว่า “ในแง่ของปรัชญาแท็คติคทั้งหมดของผมนั้น ผมได้รวบรวมมากจาก รังนิก เมื่อเราพบกันครั้งแรกตอนที่ผมอยู่ในนิวยอร์ก เขาเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับความคิดทางฟุตบอล แนวคิด และรายละเอียดต่างๆ”

“มันจุดประกายจินตนาการของผม ผมชอบที่จะเล่นฟุตบอลที่รวดเร็ว ผมได้เรียนรู้มากขึ้นจากเขาเกี่ยวกับวิธีการเตรียมทีมของคุณว่า คุณจะประสบความสำเร็จในช่วงจังหวะต่างๆหรือในทุกช่วงเวลาของเกมได้อย่างไร”

หลังจบฤดูกาลกับ ไลป์ซิก มาร์ช ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม ซัลซ์บวร์ก เมื่อฤดูร้อนที่แล้ว แม้ว่าตอนนี้ ซัลซ์บวร์ก จะแยกออกจากเครือธุรกิจฟุตบอลของ เร้ด บูลล์ส เนื่องจากกฎของยูฟ่า แต่ มาร์ช ก็ยังคุมทีมของเขาด้วยดีเอ็นเอที่ได้รับมาจาก รังนิก

มาร์ช อธิบายว่า “เราเป็นทีมในเวอร์ชั่นที่แข็งแกร่งมากๆในเครือของ เร้ด บูลล์ส เรามีสไตล์เน้นเกมรุก กดดันสูง เกเก้นเพรสซิ่ง และพร้อมปะทะตลอดเวลา เราไม่เคยเสียใจต่อความพ่ายแพ้ ซึ่งสไตล์แบบนี้นักเตะรับรู้ด้วยตัวพวกเขาเอง”

 “ผมไม่ต้องการเข้ามา และปรับเปลี่ยนแนวทางที่ทีมเคยวางโครงสร้างมา ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ผิด นี่เป็นแนวทางที่ผมชอบทำ และมันเป็นวิธีที่ผมค้นพบว่า สามารถก่อให้เกิดความสำเร็จได้”

แม้ว่า มาร์ชช์ จะปรับตัวให้เข้ากับปรัชญาฟุตบอลของ รังนิก แต่เขาเห็นว่า ในเกมมันประกอบด้วย แท็คติค 25% และ 75% ที่ต้องใช้สติปัญญา โดยอดีตกุนซือทีมชาติสหรัฐฯอย่าง บ็อบ แบรดลีย์ ก็เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาคนสำคัญของเขา และเขาก็จำได้ว่า แบรดลีย์ ต้องเจอกับชีวิตที่ยากลำบากช่วงที่ทำงานกับ สวอนซี ซิตี้ ในอังกฤษ

นายใหญ่ ซาลซ์บูร์ก เล่าต่อว่า “บ็อบ เป็นแรงบันดาลใจให้ผม ผมคิดว่าหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผมคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการย้ายไปทำงานในยุโรปคือ บ็อบ ผมให้ความเคารพเขามาก แต่ผมดูวิธีที่สื่อปฏิบัติต่อเขาที่ สวอนซี มันค่อนข้างแย่ และผมเคยคิดว่า มันง่ายกว่าที่จะไปที่ไหนสักแห่งที่พูดภาษาอื่นเพราะพวกเขาน่าจะให้อภัยเมื่อคุณทำผิดพลาด”

“ผมเข้าใจความล้มเหลวที่เกี่ยวข้องกับการเป็นโค้ชชาวอเมริกันในอังกฤษ ใช่ไหม แน่นอน ผมเข้าใจ แต่แนวทางของผมเป็นการพิจารณาสิ่งต่างๆรอบข้างอยู่เสมอ ผมพยายามปรับตัว แต่คุณจงเป็นตัวของตัวเอง และทำให้แน่ใจว่า ทีมนั้นเป็นตัวแทนของคุณ นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อ”

“ยกตัวอย่าง การพูดภาษาเยอรมัน ผมเคยบอกลูกทีมว่า ผมจะไม่พูดภาษาเยอรมันกับพวกเขา เพราะผมคิดว่า ทุกประโยคในภาษาเยอรมันค่อนข้างดุดัน แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดใหม่ ผมพูดภาษาเยอรมันได้ดีขึ้นมาก และมันช่วยให้ผมเข้าใจผู้คนที่ผมเคยทำงานด้วยทั้งในเยอรมัน และออสเตรีย ผมจะบอกว่ามันเป็นมันเป็นเรื่องยาก แต่มันก็คุ้มค่าอย่างเหลือเชื่อเช่นกัน”

ผู้สร้างแรงบันดาลใจ

Photo : ilmattino.it

มาร์ช เป็นคนหลงใหลในตัวละคร และแรงจูงใจเช่นเดียวกับการแสดงบทบาทสมมติในการฝึกซ้อม ซึ่งในสำนักงานของเขาเขามีโฟลเดอร์รูปภาพที่เต็มไปด้วยวลี และตัวอย่างของเทคนิคการสร้างแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์กีฬา และวรรณกรรม

ขณะเดียวกัน อันเดรส อุลเมอร์ แบ็คซ้ายวัย 34 ปี กัปตันทีม ซาลซ์บูร์ก ที่เคยคว้าแชมป์รายการใหญ่ในประเทศได้ถึง 17 รายการ ระบุว่า มาร์ช สร้างบรรยากาศในทีมได้อย่างยอดเยี่ยม และทำให้ลูกทีมทุกคนจิตใจนักสู้เหมือนกับ มูฮัมหมัด อาลี อดีตยอดนักมวยชาวอเมริกันในเวอร์ชั่นออสเตรีย

มาร์ช อธิบายเรื่องดังกล่าวว่า “ ที่ นิวยอร์ก เร้ดบูลล์ส ผมใช้การเคยพูดคุยเกี่ยวกับกับ อาลี ที่เขาเคยพูดคุยกับสื่อมากมาย และต่อมาเขาบอกว่าเขาทำเช่นนั้นเพราะเขาพยายามโน้มน้าวให้เชื่อว่าตัวเองจะต้องเป็นแชมป์ ดังนั้น ผมจึงใช้ อาลี เป็นต้นแบบ”

“สำหรับ อันเดรส อุลเมอร์ ผมยังเคยถามเขาว่า เขาทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จได้อย่างไร เขาพูดเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนแข่ง และเคล็ดลับต่างๆมากมาย สำหรับผมเขาเป็นผู้เล่นชาวออสเตรียที่ดีที่สุดที่เคยมีมา”

นอกจากนี้ มาร์ช ยังอธิบายแนวคิดในการที่นักเตะจะพัฒนาตัวเองว่า  “ออกไปจากขอบเขตความสะดวกสบายของคุณ และไปเผชิญกับความเสี่ยง สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีเดียวที่จะเติบโต มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ตัวเองดีขึ้น ทำผิดพลาด เรียนรู้จากความผิดพลาด ถ้าผมจะพูดถึงเรื่องนั้น ผมต้องเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน”

คำแนะนำของ มาร์ช ได้ผล ไทเลอร์ อดัมส์ กองกลางทีมชาติสหรัฐฯ ของ ไลป์ซิก ซึ่งเคยเป็นอดีตลูกทีม มาร์ช ที่ นิวยอร์ก เร้ด บูลล์ส ถือเป็นผู้เล่นที่เดินตามคำสอนของ มาร์ช อย่างแท้จริง โดยดาวเตะวัย 21 ปี สามารถเล่นได้แทบทุกตำแหน่งในสนาม, เข้าใจปรัชญาแท็คติคอย่างดี และมีความกระหายในการเรียนรู้อยู่เสมอ  

อดัมส์ กล่าวถึง มาร์ช ว่า “มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ การที่เขาพัฒนาผมในฐานะผู้เล่นนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ในฐานะบุคคลที่มีคุณภาพ และสิ่งที่ผมรู้สึกว่า ผมสามารถพัฒนาได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นมันเกิดมาจากการทำงานภายใต้การดูแลของ เจสซี่”

 “เขามีคุณสมบัติความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง เขาสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดจากตัวคุณออกมาได้ ผมต้องการเป็นผู้นำที่ดีที่สุดที่ผมสามารถเป็นได้ ซึ่งสิ่งนั้นผมได้มันมาจาก เจสซี่ เยอะมาก มันไม่สำคัญว่าคุณเป็นใครเพราะเขาปฏิบัติกับคุณเหมือนกันทุกคน”

สำหรับ มาร์ช ประสบการณ์ชีวิตได้ช่วยสร้างปรัชญาการสอน และอิทธิพลที่หลากหลาย เขามองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่เขาออกจากตำแหน่งกุนซือ มอนทรีออล อิมแพ็ค ในปี 2012 ซึ่งแทนที่จะรีบไปรับงานที่อื่นต่อ แต่เขาพาครอบครัวเดินทางไปท่องเที่ยวทั่วโลก

มาร์ช และภรรยา รวมถึงลูกอีก 3 คน อายุ อายุ 5, 9 และ 11 ปี เดินทางไป 32 ประเทศใน 6 เดือน เดือน และพักในหอพักที่ไม่หรูหราแทนที่จะเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งมันทำให้เขาได้พบกับผู้คนที่แตกต่างกัน, เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมทั้งจุดประกายความอยากรู้อยากเห็นในตัวเขา

“มันเกี่ยวกับการเข้าใจมนุษยชาติ นั่นก็คือ ในวงการฟุตบอลเช่นกัน ถ้าคุณไม่เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม หรือสิ่งที่ผู้คนที่เติบโตแอฟริกา หรือ อเมริกาใต้ หรือที่ไหนก็ตามคุณจะเป็นผู้นำกลุ่ม และเข้าใจพวกเขาได้อย่างไร หรือจะทำให้ดีบรรยากาศในทีมดีขึ้นได้อย่างไร” มาร์ช อธิบาย

ความท้าทาย

Photo : vg.no

หลังใช้เวลาทำงานในบ้านเกิดกับ มอนทรีออล อิมแพ็ค ในปี 2011-2012 และ นิวยอร์ก เร้ด บูลล์ส ในปี 2015-2018 มาร์ช ทำลายกำแพงที่กั้นตัวเองเอาไว้ด้วยการไปทำงานในต่างแดนกับ ไลป์ซิก และปัจจุบันกับ ซาลซ์บูร์ก ซึ่งมันเป็นความท้าท้ายอย่างยิ่งเพราะทีมที่เขาทำงานด้วยนั้น ต้องเสียผู้เล่นตัวหลักแทบทุกปี

หากเอ่ยชื่อศิษย์เก่าของ ซาลซ์บูร์ก เชื่อได้ว่า แฟนบอลทั่วโลกคงคุ้นเคยกับพวกเขาเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น ซาดิโอ มาเน่, นาบี เกอิต้า และ ทาคุมิ มินามิโนะ 3 นักเตะของ ลิเวอร์พูล รวมไปถึง เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ ยอดกองหน้าดาวรุ่งทีมชาตินอร์เวย์ที่ย้ายไป โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังมีนักเตะฝีเท้าดีอย่าง เควิน แคมเปิ้ล มิดฟิลด์ชาวสโลวิเนีย, ปีเตอร์ กูลัคซี่ นายทวารทีมชาติฮังการี และ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ กองหลังดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส ที่ต่างพากันย้ายจาก ซาลซ์บูร์ก ไปเล่นกับ ไลป์ซิก

การสูญเสียผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมนั้น อาจดูไม่คุ้มค่า แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับสโมสรอย่าง ซาลซ์บูร์ก ซึ่งถึงแม้พวกเขาจะโดดเด่นในออสเตรีย แต่ก็ต้องยอมรับว่า พวกเขาไม่ได้อยู่ในลีกระดับเดียวกับบุนเดสลีกา เยอรมัน, กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี, ลา ลีกา สเปน หรือ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ มาร์ช มีความสุขมาโดยตลอดคือ การฝึกสอนผู้เล่นอายุน้อยฝีเท้าดี และปรับปรุงให้พวกเขาเล่นเข้ากับปรัชญาของ ซาลซ์บูร์ก โดยระบุว่า “เรามีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนมันเกี่ยวกับสถาบันเยาวชนในการค้นหาเด็กอายุ 15 หรือ 16 ปี และช่วยให้พวกเขาให้เข้าใจวิธีการเล่นของเรา มันเป็นสไตล์ที่เฉพาะเจาะจง และช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้น และทำให้พวกเขาปรับตัวให้เข้ากับความเร็ว และความเข้มข้นในเกมได้”

ซาลซ์บูร์ก ต้องเจอความยากลำบากเมื่อกลางฤดูกาลที่ผ่านมาหลังจากต้องเสียทั้ง ฮาแลนด์ และ มินามิโนะ แต่พวกเขาพบวิธีในการเล่นแบบใหม่ ซึ่งหลังจากลีกออสเตรียกลับมาเตะใหม่จากการพักเบรกชั่วคราวจากโคโรน่าไวรัส ซาลซ์บูร์ก เก็บชัยได้ถึง 7 เกม เสมอ 2 พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ

มาร์ช กล่าวว่า คุณจะต้องตื่นเต้นกับผู้เล่นเหล่านี้ เมื่อพวกเขาได้รับโอกาส พวกเขาก็พร้อมเดินหน้าต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เราใช้มันเป็นแรงผลักดันเพื่อทำให้ทีมดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้นและพัฒนามากขึ้น ผมคิดว่าเราเตรียมพร้อมเพื่อความสำเร็จไว้แล้ว ตอนนี้เป้าหมายของเราคือ พยายามค้นหาผู้เล่นเยาวชนคนต่อไปที่เหมาะสมที่จะลงทุนในโครงการของเรา และช่วยให้พวกเขาทำตามขั้นตอนต่อไป”

“แน่นนอน แฟนบอลไม่ชอบเมื่อพวกเขาจากไป แต่ในเวลาเดียวกันเรามีการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และคว้าแชมป์ลีก 8 สมัยติดต่อกัน ดังนั้น มันเป็นความสำเร็จของเรา เรากำลังเติบโต มันเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก”

ล่าสุด ฮวาง ฮี-ชาน หัวหอกชาวเกาหลีใต้ ก็ย้ายจาก ซาลซ์บูร์ก ไปร่วมทีม ไลป์ซิก เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ โดมินิค โซบอสลาย กองกลางดาวรุ่งชาวฮังการี ก็ตกเป็นข่าวกับทั้ง เอซี มิลาน และ อาร์เซน่อล ส่วน 2 นักเตะแซมเบียอย่าง แพตสัน ดากา และ อีน็อค เอ็มเวปู ก็ตกเป็นเป้าหมายของทีมในพรีเมียร์ลีก

มาร์ช อธิบายถึงกรณีนี้ว่า “ผมมีความรู้สึกแบบเดียวกับเคสของ ฮาแลนด์ เรามีโอกาสที่จะทำอะไรพิเศษกับพวกเขา ผมมี โดมินิค และนักเตะคนอื่นๆ พวกเขาไม่ใช่นักเตะที่พร้อมใช้งานได้ทันที แต่พวกเขามีศักยภาพที่พัฒนาได้ และเส้นทางการพัฒนาของพวกเขาอาจจะเป็น 6 เดือน หรือ 1-2 ปี มันชัดเจนว่า จะมีทีมที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาในอนาคต”

“ในระดับหนึ่งคุณสามารถโต้แย้งได้ว่า พวกเขาที่จะมีเวลามากขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย แต่ในอีกระดับหากโอกาสที่เหมาะสมมาถึงสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือ การกีดกันพวกเขา ซึ่งการย้ายไปที่ใดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราจะเห็นว่าความคืบหน้าของสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างไร”

เป้าหมายการทำงาน

Photo : explica.co

สำหรับ มาร์ช ความสำเร็จไม่เพียงแต่ตัดสินจากถ้วยรางวัลเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงการมีส่วนร่วมกับทีมให้มากที่สุด โดยระบุว่า “นั่นเป็นหลักการสำคัญในปรัชญาของผม มันเกี่ยวกับนักเตะ และทีมงานที่มีหน้าที่นั้น ๆ ผมปล่อยให้พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองโดยที่ผมเป็นคนควบคุม”

“ผมบอกพวกเขาว่า เรากำลังฝึกซ้อมอยู่ผมจะไปจัดรูปแบบในสนามซ้อม และก่อนซ้อมผมจะให้แผนแท็คติคกับพวกเขา แต่สุดท้ายแล้วผมต้องการที่จะสามารถนั่งบนม้านั่ง และดูพวกเขาซ้อมได้อย่างใกล้ชิด”

มาร์ช มาไกลมากจากที่เขาเคยในฝันกลางวันว่า จะได้คุมทีมเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตอนนี้เขากลายเป็นกุนซือมากพรสวรรค์ของยุโรป ซึ่งเขาก็หวังว่า โค้ชชาวอเมริกันคนอื่นจะมองเขาเป็นตัวอย่าง และเขาอาจมีคำตอบว่า พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จในฐานะผู้บุกเบิกฟุตบอลยุโรปได้อย่างไร

“ตอนนี้ผู้คนอาจเข้าใจผมแตกต่างกันเล็กน้อย และบางทีสิ่งที่ผมพูดมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็น แต่ผมชอบที่จะคิดว่า มันดีหมือนกันเมื่อผมพูดถึงสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ผมเติบโตขึ้นมาในฐานะคนๆหนึ่ง และในฐานะโค้ช แต่ที่สำคัญผมยังคงเป็นคนคนเดียวกันกับที่ผมเติบโตขึ้นมาในรัฐวิสคอนซิน ผมแค่พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมสามารถทำได้”

“บางครั้งเมื่อผมพูดคุยกับโค้ชหนุ่ม และพวกเขาถามผมว่า อะไรคือกุญแจสำคัญในการเป็นผู้จัดการทีมที่ดี และสำหรับผม ผมไม่ได้เป็นโค้ชเพราะคิดว่า รักเกมนี้ และต้องการลองแท็คติคหรืออะไรก็ตาม เพราะสำหรับผมฟุตบอลเป็นส่วนหนึ่ง หรืออาจเป็นก้าวแรกของการเป็นผู้นำทีมที่ดี”

“แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดไม่ว่าคุณจะพูดคุยกับทีมอย่างไร สื่อสารกันอย่างไร วิธีที่คุณปฏิบัติต่อกัน และคุณเชื่อในกัน และกัน หรือความสัมพันธ์แบบไหนที่คุณมี นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าจริง ๆ แล้วกำหนดว่า ทีมคืออะไร”

มาร์ช กำลังมีความสุขที่ ซาลซ์บูร์ก และหวังว่า เขาจะได้อยู่ที่นี่ไปอีกนาน แต่เขาก็รู้ดีว่า ชื่อของตัวเองถูกนำไปเชื่อมโยงกับทีมต่างๆมากมาย อาทิ ดอร์มุนด์ ที่กำลังอาจจะหาโค้ชคนใหม่เข้ามานำทีมสู้กับ บาเยิร์น มิวนิค ในฤดูกาลหน้า

มาร์ช กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าความลับบางอย่างมีผลต่อชีวิต แต่ตอนนี้ผมกำลังมุ้งเน้นไปแต่ละช่วงเวลาเท่านั้น ผมชอบที่ได้เป็นผู้จัดการทีม ซาลซ์บูร์ก มันน่าทึ่งมาก ผมรู้จักผู้คน รู้จักประเทศ รู้ทุกอย่าง ผมรู้ว่าผมจะไม่อยู่ที่นี่ตลอดไป แต่ผมขอโฟกัสกับปัจจุบันดีกว่า”

ในฤดูกาลนี้ มาร์ช พา ซาลซ์บูร์ก คว้าดับเบิ้ลแชมป์ในประเทศได้สำเร็จ และพวกเขาเตรียมเล่นรอบเพลย์ออฟศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า ซึ่ง มาร์ช ก็รอไม่ไหวแล้วที่จะพาลูกทีมลงแข่งขัน รวมถึงหานักเตะดาวรุ่งหน้าใหม่เข้ามาสู่ทีม

แน่นอนว่า วันหนึ่งเมื่อเสร็จสิ้นการผจญภัยในยุโรป มาร์ช จะกลับไปที่วิสคอนซินบ้านเกิด และเหรียญแชมป์ที่เขาเคยคว้ามาได้จะถูกวางไว้ข้างกับถุงพลาสติกที่เก็บหญ้าของสนามแอนฟิลด์ที่เขาเคยไปเก็บไว้เป็นที่ระลึกในวัย 15 ปี

 “ผมจำได้ว่าผมใส่ไว้ในกระเป๋าของผม และเก็บมันไว้ในถุงพลาสติกกลับบ้าน และที่สำคัญหลังวางมือไปผมยังเป็นแฟนฟุตบอลอยู่ใช่ไหม ใช่เลย และตอนนี้ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน” มาร์ช กล่าวทิ้งท้าย

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้