Home บทความฟุตบอล มาร์เซลโล่ บิเอลซ่า กุนซืออัจฉริยะจอมบ้า

มาร์เซลโล่ บิเอลซ่า กุนซืออัจฉริยะจอมบ้า

0
มาร์เซลโล่ บิเอลซ่า กุนซืออัจฉริยะจอมบ้า

แฟนบอลหลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องที่ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ ขู่แฟนบอลทีมตัวเองด้วยระเบิดมือ หรือวิธีที่เขาเคยพาพลพรรค “ฟ้าขาว” ไปเล่นศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ด้วยการศึกษาวิดีโอการเล่นของคู่ต่อสู้มากกว่า 2,000 ครั้ง

นอกจากนี้ ในบางเกม บิเอลซ่า ยังเคยบอกให้ผู้รักษาประตูของเขาสาดบอลยาวขึ้นมาทุกครั้งที่เตะจากเส้นประตูเพราะคิดว่า คู่แข่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียประตูได้หากบอลออกข้าง และต้องทุ่มในแดนตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นรายละเอียดเล็กน้อยที่เขาใส่ใจเป็นพิเศษ และทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในโค้ชที่น่าสนใจที่สุดของวงการฟุตบอลฟุตบอล

ณ เวลานี้ บิเอลซ่า พา ลีดส์ ยูไนเต็ด กลับมาเล่นในศึกพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ของสโมสร และในเกมแรกของฤดูกาลเขาได้รับการชื่นชมอย่างมากที่พา “ยูงทอง” บุกไปพ่าย ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า ที่แอนฟิลด์ แบบสุดมันส์ 4-3

เส้นทางของปรมาจารย์ฟุตบอล

Photo : planetanewells.com

เส้นทางอาชีพที่น่าสนใจของ เทรนเนอร์วัย 65 ปี ผู้เป็นอาจารย์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ อดีตโค้ช ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เริ่มจากบ้านเกิดอาร์เจนติน่า, เม็กซิโก, สเปน, ชิลี, ฝรั่งเศส, อิตาลี และปัจจุบันที่ ยอร์คเชียร์ ประเทศอังกฤษ

บิเอลซ่า เกิดวันที่ 21 กรกฎคมปี 1955 ที่โรซาริโอ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดซานตาเฟ่ ในประเทศ อาร์เจนตินา เขาเป็นลูกคนกลางในครอบครัวที่มีฐานะดีโดยคุณพ่อเป็นนักการเมือง และทนายความ ส่วนคุณแม่เป็นนักการทูตที่มีผลงานมากมาย

ในขณะที่พี่ชาย และน้องสาวของเขาปฏิบัติตามประเพณีของครอบครัวด้วยการประกอบอาชีพด้านกฎหมาย และการเมือง แต่ บิเอลซ่า กลับเลือกที่จะเอาดีด้านฟุตบอล โดยคุณแม่ของเขาส่งเขาไปที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งเกือบทุกวันเพื่อรวบรวมเอกสาร และนิตยสารกีฬาทั้งหมด

แม้จะมีโอกาสเล่นฟุตบอลอาชีพกับ นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆในระหว่างปี 1975-1977 เนื่องจาก บิเอลซ่า รู้ดีว่า เขาปัญหาเรื่องสภาพร่างกาย และในที่สุดเจ้าตัวก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 25 ปี เท่านั้น

หลังเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพในปี 1980 บิเอลซ่า ใช้เวลาไปศึกษางานโค้ชกับทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัยบัวโนสไอเรส จากนั้น เขาก็รับงานคุมทีมเยาวชนของ นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ อดีตต้นสังกัดเก่า และเป็นคนปั้นดาวรุ่งชื่อดังแจ้งเกิดมากมาย

“ในอาร์เจนตินาทีมฟุตบอลมักจะมองหาดาวรุ่งในสลัมทุกแห่ง ในสวนสาธารณะ หรือสนามเด็กเล่น โดยหวังว่าจะได้พบกับ เมสซี่, มาราโดน่า หรือ บาติสตูต้า คนต่อไป แต่สิ่งที่ บิเอลซ่า ทำในแบบฉบับของตัวเองคือ การพิถีพิถันอย่างไม่น่าเชื่อ และจัดระเบียบเกี่ยวกับมัน”

“ดังนั้นเขา และเพื่อนร่วมงานในทีมโค้ชทีมเยาวชนของ นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ อย่าง จอร์จ กริฟฟา จะแบ่งประเทศออกเป็น 70 เขต โดยขับรถเฟียตคันเล็กๆของ บิเอลซ่า ไปไกลหลายพันไมล์ใน เพื่อหาเพชรเม็ดงาม ถ้าพวกเขาชอบนักเตะคนใกด พวกเขาก็จะไปดูพวกเขาไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม”

“ตอน โปเชตติโน่ อายุ 12 ปี บิเอลซ่า ไปที่บ้านของเขาตอนตี 2 และบอกกับแม่เขาว่า สนใจที่จะเซ็นสัญญากับเขามาก จากนั้น แม่ก็พา บิเอลซ่า ไปที่ห้องนอนของ โปเชตติโน่ แต่เขาหลับอยู่ และ บิเอลซ่า ก็บอกว่า ผมไม่จำเป็นต้องคุยกับหรอก ผมแค่ต้องดูต้นขาของเขาอย่างเดียว” มาร์เซล่า อาเราโฆ่ นักข่าวฟุตบอลชาวอาร์เจนไตน์ กล่าว

ในเวลาต่อมา โปเช็ตติโน่ กลายเป็นเสาหลักสำคัญของ นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ ชุดแชมป์ลีกอาร์เจนติน่า 2 สมัย ภายใต้การคุมทัพของ บิเอลซ่า โดยหนึ่งในเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง ริคาร์โด ลูนารี่ ก็จำได้ว่า บิเอลซ่า เข้าไปดูฟอร์มของเขาเกมที่ซัดแฮตทริคให้กับทีมท้องถิ่นในปี 1985

ลูนารี่ เล่าว่า “หลังจบเกมนั้น มาร์เซโล่ ก็เข้ามาหาพ่อของผม และขอให้เขาพาผมไปเล่นกับ นีเวลล์ เขาดึงดูดความสนใจของผมได้จริงๆ ผมประหลาดใจกับความจริงจัง และวิธีการพูดคุยเกี่ยวกับฟุตบอลที่ดุดันของเขา เขาไม่เพียงแค่พูดด้วยปากเท่านั้น แต่เขาแสดงออกด้วยท่าทาง ผมเริ่มคิดว่า ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน”

ไม่นานหลังจากนั้น ลูนารี่ ก็กลายเป็นลูกทีมของ บิเอลซ่า และนั่นทำให้เขาเจอการฝึกซ้อมสุดโหดแบบไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน โดยเล่าว่า “มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับพวกเราที่อายุ 15 หรือ 16 ปี ซึ่งคุ้นเคยกับการเล่นฟุตบอลเพื่อความสนุกสนานเป็นส่วนใหญ่”

“เราเคยชินกับการฝึกซ้อมเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง แต่กับ มาร์เซโล่ เราฝึกฝนเป็นเวลา 3 ชั่วโมงด้วยระดับความเข้มข้น และความเข้มข้นทางกายภาพที่เราไม่คุ้นเคย มันยากมากสำหรับเราที่จะทำตามความคิดอันลึกซึ้งของ มาร์เซโล่”

ผลักดันลูกทีมเกินขีดจำกัด

Photo : theathletic.co.uk

การผลักดันผู้เล่นอายุน้อยไปสู่ขีดจำกัดทางร่างกาย และจิตใจเป็นเรื่องสำคัญตลอดอาชีพการงานของ บิเอลซ่า ที่ ลีดส์ ผู้เล่นจะแข่งขันกันในระบบ “Murderball” ซึ่งเป็นการแข่งขันทีมละ 11 คน ที่มีความเข้มข้นสูงมาก ซึ่งพวกเขาจะไม่หยุดวิ่งงจนกว่าเกมจะจบ

พาเวล พาร์โด้ อดีตกองกลางทีมชาติเม็กซิโกที่ติดทีมชาติไป 146 เกม ซึ่งเคยเป็นอดีตลูกทีมของ บิเอลซ่า ในสมัยที่คุมทัพ แอตลาส เอฟซี ในปี 1993 ก็ยังจำได้ดีถึงความสุขของ บิเอลซ่า ที่ชอบเห็นลูกทีมฝึกซ้อมหนัก

“เขามีหนังสือเกี่ยวกับการฝึกซ้อมอยู่เล่มหนึ่ง และตลอดเวลาที่เราอยู่กับเขา เราฝึกซ้อมซ้ำไปมาหลายครั้ง หลังจากการฝึกซ้อมเสร็จเราจะรวมตัวกันที่กลางสนาม และเราก็แทบหายใจไม่ออกเลย เขาดูมีความสุขจริงๆที่เห็นเราเป็นแบบนั้น” พาร์โด้ เล่าความหลัง

การทำงานกับ บิเอลซ่า มันไม่จบแค่สนามซ้อม ซึ่งทั้ง ลูนารี่ และ พาร์โด้ ต่างก็ต้องกลับบ้านพร้อมวิดีโอคู่แข่ง และพวกเขาจะต้องมานำเสนอแนวทางที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ โดยทั้งหมดมันเป็นรายละเอียดที่ บิเอลซ่า ทำอยู่เสมอ

ที่มาของฉายา “El Loco”

Photo : mirror.co.uk

ขณะเดียวกัน ในระหว่างงานแต่งงานของ ดาริโอ ฟรังโก อดีตกองหลังของ นีเวลล์ นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ บิเอลซ่า กลับพาลูกทีมไปที่ห้องหนึ่งในโรงแรมเพื่อดูเทปการวิเคราะห์คู่แข่งในเกมต่อไป และมันก็ไม่ยากเลยว่าทำไมเขาถึงได้ฉายาว่า “El Loco” หรือคนบ้า

“วันหนึ่งพวกเรามาฝึกซ้อมกัน และก็ไม่เห็น บิเอลซ่า ในสนาม แต่หลังจากนั้นไม่นาน เราก็ได้ยินเสียงเขาตะโกนออกมา แต่เราก็ยังไม่เห็นเขาอยู่ดี และสักพักมีคนเห็นว่า เขาไปอยู่บนต้นไม้ เขาไปอยู่บนนั้นเพื่อหามุมมองที่ดีที่สุดในการฝึกซ้อมของเรา” รูนารี่ เล่า

ตลอดระยะเวลา 30 ปีในการเป็นผู้จัดการทีมนั้น วิธีการของ บิเอลซ่า ช่วยให้ลูกทีมของเขาพัฒนาขึ้นมาหลายต่อหลายคน และ ลีดส์ ก็มีนักเตะดาวรุ่งลูกหม้อของสโมสรอย่าง คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษเรียบร้อยแล้ว

อาริตซ์ อาดูริซ กองหน้าชาวสเปน ที่ใช้เวลาหนึ่งฤดูกาลภายใต้กาคุมทีมของ บิเอลซ่า ที่ แอธเลติก บิลเบา ก็ให้เครดิตการฝึกสอนของโค้ชชาวอาร์เจนติน่า ซึ่งช่วยให้เขาผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมแม้ในเวลานั้นจะเข้าสู่ช่วงปลายอาชีพแล้วก็ตาม

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันเป็นปีที่ผมพัฒนาขึ้นมากที่สุดในฐานะนักฟุตบอล เพราะความต้องการในระดับสูงของ บิเอลซ่า มันทำให้คุณเล่นได้ในระดับสูงสุด”

“ในฐานะคนๆหนึ่งเขามีความกระหายมาก เขาต้องการฟอร์มที่ยอดเยี่ยมจากลูกทีมเสมอ ดังนั้น คุณต้องตื่นตัวทุกวินาที และทุกช่วงเวลามันมีความสำคัญเสมอในทุกการฝึกซ้อม ทุกครั้งที่สัมผัสบอลแรก หรือทุกสิ่งที่กองหน้าต้องทำ เขาจะวิเคราะห์มันอย่างละเอียด และจะมาแนะนำคุณ”

“เขาชอบให้เราฝึกซ้อมกับบอลอยู่ตลอดเวลา มันจะทำให้คุณมั่นใจ และทำให้คุณปรับปรุงวิธีการเล่นกับบอลได้ดีขึ้น เขามีวิธีการดูรายละเอียดแต่ละอย่างในแบบของตัวเอง และมีความสามารถในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวที่ในทุกเกมการแข่งขัน เขาจะไตร่ตรองมัน หลังจากนั้น เขาก็จะทำให้คุณเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้นมาก” อาดูริซ กล่าว

ประสบความสำเร็จในแนวทางของตัวเอง

Photo : leedsunited.com

แนวทางของ บิเอลซ่า มันเห็นผลไชัดเจนในระยะสั้น แต่มันก็เกิดข้อถกเถียงกันว่า ในระยะยาวทีมของเขาจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ โดยปีแรกที่คุม บิลเบา เขาพาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูโรป้า ลีก กับ โคปา เดล เรย์ แต่ได้เพียงแค่รองแชมป์ทั้ง 2 รายการ และในปี 2014-2015 ที่คุม โอลิมปิก มาร์กเซย เขาพาทีมรั้งจ่าฝูงมาจนถึงคริสมาสต์ แต่จบฤดูกาลด้วยอันดับ 4

รอด ฟานนี่ อดีตกองหลัง มาร์กเซย กล่าวว่า “เราเหนื่อยมาก ในทางจิตใจมันยากมากที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำๆทุกวัน คุณต้องเข้มแข็งไว้ เพราะมันเหมือนการทำงานในโรงงาน คุณไปที่สนามซ้อม และต้องทำในสิ่งเดิมๆ และก็กลับบ้าน มันเป็นแบบนั้นทุกวันๆ เชื่อเถอะว่ามันไม่ง่ายเลย”

ฉายาของ บิเอลซ่า ที่ มาร์กเซย คือ “Le professeur” ซึ่งบ่งบอกถึงสถานะของเขาในฐานะปรมาจารย์ได้เป็นอย่างดี และเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์ ก็ยังคงจัดการทีมแบบมีระยะห่างระหว่างโค้ชกับลูกทีม

“คุณแทบไม่ได้กล่าว สวัสดี หรือ ทักมายเขามากนักหรอก ผมคิดว่า ผมเคยทักทายเขาก่อนแค่ 2 ครั้งในชีวิต และนั่นทำให้ผู้คนตกใจ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า เขาเป็นคนแปลกประหลาด แต่มันไม่ใช่เลย เพราะนั่นคือ ตัวตนจองเขา” ฟานนี่ อธิบาย

ขณะเดียวกัน ลานูรี่ เคยย้ายจาก ยูนิเวอร์ซิดัด คาโตลิกา ในชิลี ไปเล่นกับ แอตลาส เอฟซี ในช่วงที่ บิเอลซ่า คุมทีม โดยสิ่งแรกที่ บิเอลซ่า บอกกับเขาในวันเซ็นสัญญาคือ เขาไม่คุ้มค่ากับเงิน 1 ล้านดอลลาร์ที่สโมสรจ่ายไป ส่วน อาดูริซ ก็เล่าเรื่องคล้ายๆ กันเกี่ยวกับช่วงที่ บิเอลซ่า ไปคุม บิลเบา

อาดูริซ กล่าวว่า “วันแรกที่ผมได้พบกับ บิเอลซ่า นั้น เขาก็เป็นคนพูดแบบตรงๆ เขาบอกว่า เขาไม่ได้ขอซื้อกองหน้าเพิ่ม เพราะสโมสรตัดสินใจต่อสัญญากับผมไปแล้ว ผมเชื่อว่ามันเป็นวิธีตรวจสอบว่า ผมมีความมุ่งมั่นต่อทีมแค่ไหนอย่างน้อยผมก็เห็นว่า เขาไม่เคยโกหกผม เขาเป็นคนที่ตรงไปตรงมามาก”

พาร์โด้ เชื่อว่า แม้ บิเอลซ่า จะรักษาระยะห่างกับลูกทีม แต่เขาก็ประสบความสำเร็จได้ในแบบของตัวเอง โดยเทรนเนอร์วัย 65 ปี เคยคว้าแชมป์ลีกอาร์เจนติน่า 3 สมัย, เหรียญทองโอลิมปิกหนึ่งเหรียญ และพา ลีดส์ คว้าแชมป์เดอะ แชมเปี้ยนชิพ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

“ในความคิดของผม คล็อปป์, กวาร์ดิโอล่า และซีดาน น่าจะเป็นมิตรกับผู้เล่นมากกว่า บิเอลซ่า แต่เขาก็มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกทีมในเรื่องของแท็คติค และแนวทางการเล่นต่างๆในสนาม เขาชอบคิดว่า นักเตะเป็นเครื่องจักร แต่เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” พาร์โด้ กล่าว

หายใจเข้า-ออกเป็นฟุตบอล

Photo : marca.com

ลานูรี่ ซึ่งเป็นผู้ช่วยของ บิเอลซ่า ระหว่างคุมทีมชาติชิลีในช่วงปี 2007-2011 กล่าวว่า เขาพร้อมที่จะทำงานร่วมกับอดีตเจ้านายอีกครั้งแล้ว โดยระบุว่า “ผมไม่มีความหมกมุ่นมากพอที่จะอยู่กับเขาได้ ผมหลงใหลในฟุตบอล แต่ผมไม่ได้คิดถึงมันตลอด 24 ชั่วโมง”

“ผมเชื่อว่าการได้ทำงานเคียงข้างเขา เราต้องมีความทุ่มเทแบบพิเศษกว่าคนอื่นๆ ผมไม่เต็มใจที่จะทำมัน ผมคิดว่ามันจะไม่ดีต่อสุขภาพทั้งสำหรับเขา และสำหรับผมเองที่จะทำงานร่วมกัน แต่ผมชอบที่จะดู และชื่นชมฟุตบอลของเขาต่อไป”

มีอะไรให้ชื่นชม และประทับใจมากมายในระหว่างทำงานของ บิเอลซ่า ที่ ลีดส์ โดยหลังจากพลาดการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกในช่วงฤดูกาลแรกนั้น เขายังตกเป็นข่าวอื้อฉาวเรื่อง “Spygate” แต่เทรนเนอร์อาร์เจนไตน์ ก็รับมือกับมันได้อย่างไม่มีปัญหา

“มันเป็นความแข็งแกร่งของ บิเอลซ่า ที่จะต่อสู้กับปัญหา และหลังจากซีซั่นแรกที่ไม่ประสบความสำเร็จ เราทุกคนก็คิดว่า บิเอลซ่า จะต้องกลับมาอีกครั้ง และตอนนี้เขาทำสำเร็จแล้ว ผมคิดว่านั่นเป็นการทำงานที่น่าเหลือเชื่อสำหรับตัวเขาเอง และสโมสร” อาเราโฆ่ กล่าว

ในเวลานี้ บิเอลซ่า กลายเป็นเทพเจ้าของ ลีดส์ อย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยแฟนบอลรักเขา และมักจะขอถ่ายรูปด้วยเสมอ ซึ่งกุนซือเจ้าของฉายา El Loco” หรือคนบ้า ได้สร้างตำนานบทใหม่ของเขากับ “ยูงทอง” เรียบร้อยแล้ว

“ผมคิดว่า เขารู้สึกได้รับพลังจากความรักอันเหลือเชื่อที่เขาสร้างขึ้นที่ ลีดส์ ผมคิดว่า ความกดดันของการเล่นในพรีเมียร์ลีกไม่ว่าจะด้วยเงินทุน และอำนาจของสโมสรอื่นๆนั้น ค่อนข้างไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาเคยเผชิญมา แต่เชื่อเถอะสำหรับเขาอะไรก็เกิดขึ้นได้” อาเราโฆ่ กล่าวปิดท้าย

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้