Home บทความฟุตบอล 5 นักเตะระดับโลกที่อดเป็น “One Man Club” อย่างน่าเสียดาย…

5 นักเตะระดับโลกที่อดเป็น “One Man Club” อย่างน่าเสียดาย…

0
5 นักเตะระดับโลกที่อดเป็น “One Man Club” อย่างน่าเสียดาย…

One Man Club” เป็นชื่อเฉพาะที่ใช้ในวงการกีฬาสำหรับผู้เล่นที่จบอาชีพด้วยการสังกัดเพียงแค่สโมสรเดียวตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพจนถึงคราวที่ต้องอำลาวงการ…ถ้ากล่าวถึงวงการฟุตบอลแล้วมีนักเตะระดับตำนานหลายคนที่ได้เป็น “One Man Club” อาทิเช่น ไรอัน กิ๊กส์ ปีกพ่อมดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เปาโล มัลดินี่ หนึ่งในแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้จากเอซี มิลาน และ ฟรานเชสโก้ ต็อตติ เจ้าชายหมาป่ากองหน้าจากโรม่า…ตามธรรมชาติของโลกใบนี้ย่อมมีสองขั้วเสมอทั้งบวกและลบ ทางทีมงาน 168Kick จึงอยากนำเสนอนักเตะที่พลาดการเป็น “One Man Club” อย่างน่าเสียดาย ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่เป็นปัจจัยในการอำลาสโมสรที่พวกเขารักและหวังที่จะฝากอนาคตไว้จนแขวนสตั๊ด…

สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยดดกัปตันของลิเวอร์พูล

อันดับที่ 1 สตีเว่น เจอร์ราร์ด เริ่มต้นค้าแข้ง ลิเวอร์พูล 1998-2015 จบอาชีพ แอลเอ กาแล็กซี่ 2016 : ถ้าจะกล่าวถึงนักเตะที่เป็นระดับตำนานของลิเวอร์พูล สามอันดับแรกที่คนต้องเอ่ยถึงและเป็น Icon ย่อมต้องมีชื่อของชายนามว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด ติดอยู่อย่างแน่นอน…เจอร์ราร์ด เป็นชาวสเกาเซอร์แท้ๆ ที่เกิดและโตในเมืองลิเวอร์พูล และนั่นเป็นสาเหตุที่สโมสรแห่งนี้เป็นอันดับหนึ่งในใจของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ เขาเริ่มต้นเข้ารับการฝึกเป็นนักฟุตบอลเยาวชนตั้งแต่ราว 8-9 ขวบจนสามารถไต่เต้าขึ้นเป็นนักเตะอาชีพในสโมสรแห่งนี้ได้สำเร็จ โดยประเดิมสนามนัดแรกให้กับหงส์แดง ในนาทีสุดท้ายแทนที่ของ เวการ์ด เฮกเกม หลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมนับแต่นั้นเป็นต้นมา จุดเด่นของกองกลางรายนี้อยู่ที่ความทุ่มเทมีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้ง, วิ่งไล่บอลเข้าบอลดุดันราวกับม้าหนุ่ม, จ่ายบอลสั้น-ยาว ได้อย่างแม่นยำ และการยิงไกลที่แม่นยำหนักหน่วงอันเป็นเครื่องหมายการค้า แม้ว่าเขาจะถูกจับไปเล่นตรงไหนในสนามก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขัดเขิน แบ็คขวา, ปีกขวา, กลางรับ, เพลย์เมคเกอร์ และหน้าต่ำ ก็ลงเล่นมาหมดแล้ว สามารถก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งในยุคนั้นนับว่าสร้างความปวดหัวให้กับผู้จัดการทีมชาติเป็นอย่างมาก เพราะมีผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางที่มีฝีเท้าเยี่ยมหลายคน อาทิ เช่น พอล สโคลส์ และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด โดยที่ เจอร์ราร์ด รับหน้าที่สวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมหงส์แดง ครั้งแรกในปี 2003 แทนที่ของ ซามี่ ฮูเปีย นับตั้งแต่นั้นก็กลายเป็นภาพจำให้กับเหล่า เดอะ ค็อปส์ มาตลอด…ไฮไลท์ในการค้าแข้งของเขาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นค่ำคืนในกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ที่เขาเป็นผู้จุดประกายโหม่งประตูตีไข่แตกพาต้นสังกัดที่มีสกอร์ตามหลัง เอซี มิลาน ยักษ์ใหญ่ในยุโรปขณะนั้น 0-3 คัมแบ็คตีเสมอ 3-3 และเอาชนะในการยิงจุดโทษคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2004/2005 ได้สำเร็จนับเป็นแชมป์สมัยที่ 5 …แม้ว่าหลังจบซีซั่นดังกล่าวเขาเกือบจะได้ย้ายไปร่วมทัพ เชลซี เนื่องจากกำลังจะหมดสัญญาแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่กับทีมต่อไปในนาทีสุดท้าย ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เจอร์ราร์ด เป็นหัวใจของทีมที่ขาดไม่ได้ตลอดมา ก่อนการเข้ามาคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่เปลี่ยนปลายทางการค้าแข้งของ เจอร์ราร์ด ที่วาดฝันไว้ตลอดกาล…นายใหญ่ชาวไอร์แลนด์เหนือเข้ามาคุมทีมในปี 2012 และใช้เวลาปรุงแต่งหงส์แดง แค่ฤดูกาลเดียวจนพาทีมขึ้นไปมีลุ้นแชมป์ฤดูกาล 2013/2014 เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี ด้วยขุมกำลังหลักอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ และ เจอร์ราร์ด แต่แล้วในเกมกับ เชลซี ที่แอนฟิลด์เหมือนบทละครร้ายที่เขียนไว้ล่วงหน้า เจอร์ราร์ด พลาดลื่นจนเสียบอลถูก เดมบ้า บา เข้าไปยิงประตูแรกแล้วจบเกมด้วยการแพ้ 0-2 ส่งผลให้ชวดแชมป์ในท้ายที่สุดและเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผงาดครองบัลลังก์แทน…นับแต่นั้นเริ่มมีกระแสข่าวออกมาว่า ร็อดเจอร์ส มองว่า เจอร์ราร์ด มีอิทธิพลภายในสโมสรและห้องแต่งตัวของทีมมากเกินไป และเขาที่เป็นผู้จัดการทีมต้องมีอำนาจการจัดการทีมแบบเบ็ดเสร็จ…เป็นสาเหตุให้เกิดความระหองระแหง มีการเริ่มดร็อปกัปตันขวัญใจแฟนบอลบ่อยครั้ง…กระทั่งเกม “แดงเดือด” ในรัง แอนฟิลด์ ของตัวเองที่พบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกมนั้น เจอร์ราร์ด ต้องทนนั่งดูเพื่อนเล่นด้วยสกอร์ที่ตามหลังอยู่ 0-1 กระทั่งถูกส่งลงมาในนาทีที่ 46 แทนที่ของ อดัม ลัลลาน่า แต่ความกระหายและกดดันของเขาคงมากเกินไป…เพราะเขาอยู่ในสนามได้เพียงแค่ 38 วินาทีเท่านั้นเนื่องจากถูกใบแดงจากการไปย่ำใส่ อันเดร์ เอร์เรร่า จบเกมส์ด้วยการปราชัย 1-2 คาถิ่น แล้วเวลาก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงที่สัญญาของ เจอร์ราร์ด กำลังจะหมดลง…ท้ายที่สุดสโมสรก็ไม่มีการยื่นข้อเสนอใดๆ เข้ามา แม้ว่าดาวเตะรายนี้จะรอจนถึงที่สุด…ท้ายที่สุดแล้ว เจอร์ราร์ด ย้ายไปเล่นให้กับ แอลเอ กาแล็กซี่ ในศึกเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา แบบฟรีๆ เป็นสโมสรสุดท้ายอย่างน่าเสียดาย…เขาปิดตำนานการเล่นให้ดับ ลิเวอร์พูล ไว้ด้วยการลงเล่นทั้งหมด 710 นัดทำไปทั้งสิ้น 186 ประตูกับอีก 114 แอสซิสต์ตลอดการค้าแข้ง 17 ฤดูกาล พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า คัพ 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 3 สมัย และคอมมูนิตี้ ชิลด์ 2 สมัย และรางวัลส่วนตัวอีกนับไม่ถ้วน

รวมการเล่นสวยๆ และประตูของ เจอร์ราร์ด ภายใต้เสื้อของ หงส์แดง
ไฮไลท์เกมพลิกนรกที่ อิสตันบูลเจอร์ราร์ด โหม่งประตูตีไข่แตกมนนาทีที่ 54 ก่อนเรียกลูกจุดโทษให้กับทีมต่อในภายหลัง
ความผิดพลาดของ เจอร์ราร์ด ที่ส่งผลให้ทีมชวดแชมป์ในฤดูกาล 2013/2014 ที่แฟนบอลทั่วโลกจำไม่ลืม
ใบแดงจากอารมณ์ที่เดือดดาลจากการลงสนามแค่ 38 วินาทีเท่านั้น
จอห์น เทอร์รี่ กัปตันกระดูเหล็กของเชลซี

อันดับที่ 2 จอห์น เทอร์รี่ เริ่มต้นค้าแข้ง เชลซี 1998-2017 จบอาชีพ แอสตัน วิลล่า 2018 : ในเกมฟุตบอลตำแหน่งที่แฟนบอลมักจะไม่ค่อยจดจำสักเท่าไหร่นักต้องยอมรับกันตามตรงว่าเป็นกองหลังและผู้รักษาประตู เนื่องจากไม่ค่อยจะมีฉากการทำประตูให้คนจดจำมากเท่าไหร่นัก…แต่ไม่ใช่กับ จอห์น เทอร์รี่ อดีตกัปตันทีมสิงโตน้ำเงินคราม ที่ครองตำแหน่งผู้เล่นที่ทำประตูมากสุดตลอดกาลในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ลงเล่นในตำแหน่งกองหลังแท้ๆ (ปัจจุบันเว็บไซต์ พรีเมียร์ลีก เปลี่ยนให้เป็น แอชลี่ย์ ยัง ครองอันดับที่ 1 แทน…แต่เนื่องจาก ยัง เคยเล่นในแนวรุกมาก่อนผู้เขียนจึงขอยึดตามสถิติเดิม) ด้วยการทำไปถึง 41 ประตู…เทอร์รี่ เป็นเด็กฝึกเยาวชนของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด มาก่อนในขณะนั้นเล่นในตำแหน่งกองกลาง แล้วย้ายมายัง เชลซี เมื่ออายุได้ 14 ปีที่จนเทิร์นโปรเป็นนักฟุตบอลอาชีพและได้ลงเล่นนัดแรกในเกมลีก คัพ ที่พบกับ แอสตัน วิลล่า ในปี 1998 หลังจากนั้นด้วยความสามารถอันโดดเด่นในเรื่องของ การอ่านเกม, การยืนตำแหน่ง, การเข้าบอลแบบเด็ดขาด และความเป็นผู้นำ ส่งผลให้ เทอร์รี่ เริ่มก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักในทีมชุดใหญ่ ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอมากขึ้นเรื่อยๆ เคียงข้างกับกองหลังกัปตันทีมระดับตำนานทีมชาติฝรั่งเศสอย่าง มาร์เซล เดอไซญี่ ทำให้เขาซึมซับประสบการณ์ต่างๆ เพาะบ่มจนได้ที่ แล้วก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมเบอร์หนึ่งได้สำเร็จในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในฤดูกาล 2004/2005 ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็พาทีมเข้าป้ายคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จด้วยสถิติเกมรับที่ยอดเยี่ยมเสียประตูน้อยที่สุด และเป็นแชมป์ที่ทำแต้มได้มากที่สุดในขณะนั้น การจับคู่ระหว่าง เทอร์รี่ กับ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ ในปีดังกล่าว มักจะถูกแฟนบอลนำไปเปรียบเทียบกับคู่ของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ เนมานย่า วิดิช อยู่บ่อยๆ ว่าคู่ไหนดีกว่ากันหรือเป็นคูเซนเตอร์ที่เหนียวสุดในยุค 2000s ในขณะนั้นอนาคตของ เทอร์รี่ ในทีมชาติอังกฤษนั้นยังไม่ค่อยได้รับโอกาสมากนักต้องตกเป็นตัวเลือกรองของ โซล แคมป์เบล และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ อยู่เสมอ…จนมาถึงฟุตบอลโลก 2006 ที่เขาโชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่นจนเป็นักเตะอังกฤษเพียงแค่คนเดียวที่ติดทีมยอดเยี่ยมในการแข่งขันดังกล่าว…ต่อมาในฤดูกาล 2007/2008 เทอร์รี่ พาทีมทะลุเข้าชิงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นคนยิงจุดโทษพลาดส่งผลให้ทีมชวดแชมป์ในบั้นปลาย…นอกจากนั้น เทอร์รี่ เคยถูกริบปลอกแขนกัปตันทีมชาติถึง 2 ครั้งจากกรณีสัมพันธ์ฉาวกับแฟนสาวของ เวย์น บริดจ์ (ตอนหลังพิสูจน์ได้ว่าไม่เป็นความจริง) และกรณีเหยียดผิว แอนทอน เฟอร์ดินานด์ ซึ่งส่งผลให้เราไม่เคยเห็นการจับคู่ของเขากับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ในทีมชาติอังกฤษ…เทอร์รี่ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักเตะแบบคนเหล็กด้วยการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ บางครั้งบาดเจ็บจนศอกหลุดก็ดันกลับเข้าที่แล้วไปโรงพยาบาลต่อ หรือเคยโดนเตะเข้าตรงที่หัวเต็มๆ จนน็อคคาสนามแต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก รวมไปถึงฤดูกาล 2014/2015 เขายังลงเล่นในเกมลีกครบทุกนาทีให้กับ เชลซี ทั้ง 38 นัดอีกด้วย…เทอร์รี่ ตัดสินใจอำลาทีมหลังจบฤดูกาล 2016/2017 ที่พาทีมจบด้วยการคว้าแชมป์ลีกภายใต้การคุมทัพของ อันโตนิโอ คอนเต้ ด้วยเหตุผลว่าต้องการเปิดทางให้กับนักเตะรุ่นใหม่ปิดตำนานกับทีมด้วยการลงเล่นไปทั้งหมด 712 นัด ทำไปทั้งสิ้น 66 ประตูกับ 29 แอสซิสต์ พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก 1 สมัย, พรีเมียร์ลีก 5 สมัย (คนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร), เอฟเอ คัพ 5 สมัย, ลีก คัพ 3 สมัย และ คอมมูนิตี้ ชิลด์ 2 สมัย และรางวัลส่วนตัวอีกมากมาย หลังจากนั้นเขาก็เซ็นสัญญาไปร่วมทีม แอสตัน วิลล่า และพาทีมเข้าสู่รอบเพลย์ ออฟ ได้สำเร็จแต่อกหักในนัดชิง จึงตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดเมื่อจบฤดูกาล…โดยที่ เทอร์รี่ เคยสัมภาษณ์ไว้ว่า วันใดวันหนึ่งเขาจะกลับไปที่ เชลซี อีกครั้ง…ปัจจุบันเขาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้กับ แอสตัน วิลล่า

คลิปวิดีโออย่างเป็นทางการจากเชลซี ที่ทำขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับ เทอร์รี่
รวมทุกประตูของ เทอร์รี่ ในสีเสื้อของเชลซี
รวมการเข้าสกัดสวยๆ ของ เทอร์รี่
เทอร์รี่ พุ่งเข้าหาบอลจนถูก อาบู ดิยาร์บี้ เตะเข้าเต็มๆ ที่ศีรษะจนน็อคคาสนาม
เทอร์รี่ พลาดลื่นในการยิงจุดโทษนัดชิง UCL 2007/2008
ราอูล กอนซาเลซ ดาวยิงซ้ายมหากาฬฉายา “EL Capitan” ของ เรอัล มาดริด

อันดับที่ 3 ราอูล กอนซาเลซ เริ่มต้นค้าแข้ง เรอัล มาดริด 1994-2010 จบอาชีพ นิวยอร์ก คอสมอส 2015 : หากกล่าวถึงสโมสรยักษ์ใหญ่ที่เป็นความใฝ่ฝันของนักฟุตบอลชื่อดังบนโลกใบนี้แล้วนั้น เรอัล มาดริด ย่อมติดอันดับต้นๆ อย่างแน่นอนเพราะความสำเร็จในอดีตจนถึงปัจจุบันยังคงหอมหวนชวนหลงใหลให้ย้ายไปสวมเครื่องแบบของ ราชันชุดขาว ดังนั้นจึงยากที่จะเห็นเด็กจากทีมเยาวชนสักคนก้าวขึ้นมาเป็นขุนพลตัวหลักให้กับทีมได้ แต่ต้องยกเว้นให้กับ ราอูล กอนซาเลซ อดีตเยาวชนจาก แอตเลติโก มาดริด คู่ปรับร่วมเมืองที่ ราชันชุดขาว ฉกตัวมาร่วมทีมได้สำเร็จ หลังจากที่ เฆซุส กิล ประธานสโมสรตราหมี ตัดสินใจปิดศูนย์ฝึกเยาวชนเพื่อลดค่าใช้จ่ายของสโมสร…ราอูล เซ็นสัญญาอาชีพกับ เรอัล มาดริด ได้ลงเล่นในทีมชุด C ระดับดิวิชั่น 4 แล้วโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าเหลือเชื่อด้วยการยิงไป 16 ประตูจากการลงเล่นแค่ 7 นัด ทำให้เขาถูกดันขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ทันทีในฤดูกาล 1994/1995 ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเศษ พร้อมกับประเดิมประตูแรกได้ในนัดที่สองของการลงสนามเท่านั้น โดยเป็นเกม “มาดริด ดาร์บี้” อดีตทีมเก่าตอนเยาวชนของเขานั่นเอง และจบฤดูกาลด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของทีมในการคว้าแชมป์ลีก…ราอูล เป็นกองหน้าที่มีจุดเด่นในเรื่องของ ความฉลาดในการเล่น, หาตำแหน่งจบสกอร์ได้ดี, มีเบสิคบอลที่ยอดเยี่ยม, จบสกอร์ในเกณฑ์ดี และเซ้นส์บอลที่สูงลิบลิ่ว เห็นได้จากตอนที่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรในขณะนั้น เปิดโปรเจ็คท์ “กาลาติกอส” คือ หนึ่งฤดูกาลสโมสรจะทำการทุ่มซื้อสตาร์ที่มีฝีเท้าระดับโลกเข้ามาเสริมทีมปีละคน ซึ่งในยุคนั้นประกอบไปด้วย หลุยส์ ฟิโก้, ซีเนอดีน ซีดาน, โรนัลโด้ (โด้อ้วน หรือ R9), เดวิด เบ็คแฮม และ ไมเคิ่ล โอเว่น (มาพร้อมดีกรี บัลลงดอร์ แต่ก็ไม่สามารถเบียด ราอูล เป็นตัวจริงได้) แต่มีผู้เล่นที่เป็นลูกหม้อของสโมสรเหลือรอดเป็นแกนหลักในยุคนั้นเพียงสองคน คือ ราอูล และ อิเกร์ การ์ซิยาส จนมีการผลัดเปลี่ยนประธานสโมสรเป็น ราม่อน กัลเดร่อน ทีม ราชันชุดขาว ก็เข้าสู่ยุคถอยหลังเพราะโดน บาร์เซโลน่า คู่ปรับตลอดการขึ้นเถลิงอำนาจครองแชมป์แทน…ในที่สุด เปเรซ ก็ได้กลับมาดำรงค์ตำแหน่งอีกครั้งและตรงนี้เองเป็นจุดเปลี่ยนอนาคตของ ราอูล ที่แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของ เรอัล มาดริด ตั้งแค่เขาขึ้นเป็นกัปตันทีมในปี 2003 ไปตลอด…ในปี 2009 เปเรซ รื้อแผนสร้างยุคที่สองของ “กาลาติกอส” อีกครั้งด้วยการนำเข้า กาก้า เพลย์เมคเกอร์หน้าหยกจากเอซี มิลาน และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ ที่ย้ายมาด้วยค่าตัวสถิติโลกในตอนนั้นถึง 80 ล้านปอนด์ ซึ่งในตอนนั้นมีข่าวลืออยู่เนืองๆ ว่า CR7 ที่ย้ายมาแล้วสวมเบอร์ 9 นั้นเตรียมสืบทอดเบอร์ 7 ของ ราอูล ในอีกไม่ช้า…ในปีดังกล่าว มานูเอล เปเยกรินี่ ยังคงส่ง ราอูล ลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่เห็นได้ชัดว่าศูนย์หน้าทีมชาติสเปนประสบปัญหาปืนฝืด ทำได้แค่ 7 ประตูกับ 4 แอสซิสต์เท่านั้นจากการลงสนามถึง 39 นัด และทีมก็ได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ ยิ่งนำจำนวนประตูที่ทำได้ของดาวยิงรายนี้ไปเทียบกับ โรนัลโด้ และ ฮิกวาอิน ยิ่งดูแย่ไปใหญ่…ดังนั้นในปี 2010 ราชันชุดขาว จึงทำการปฏิวัติใหม่อีกครั้งด้วยการใช้บริการของผู้จัดการทีมที่ว่ากันว่าไปไหนก็สามารถบันดาลแชมป์ให้กับทีมนั้นได้อย่าง โชเซ่ มูรินโญ๋ ซึ่งแน่นอนว่าการเป็นคนพูดตรงๆ ของกุนซือชาวโปรตุกีสคนนี้ส่งผลให้ ราอูล ตัดสินใจปิดฉากการค้าแข้งในถิ่น ซานติอาโก เบร์นาเบว ไว้ที่ช่วงซัมเมอร์ก่อนเปิดฤดูกาล เนื่องจากเขาถูกแจ้งว่าจะไม่ได้เป็นตัวหลักในการทำทีมอีกต่อไป แต่อยากให้ค้าแข้งกับทีมต่อไปในบทบาทกองหนุนเท่านั้น…สุดท้าย ราอูล ที่ไม่สามารถทำใจรับข้อเสนอดังกล่าวได้ เพราะเขาเคยเป็นคนสำคัญที่แทบแตะต้องไม่ได้ของสโมสรตลอดมา จึงตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม ชาลเก้ 04 ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าเสนอค่าจ้างให้มากที่สุดเท่านั้นเอง…ตลอดการค้าแข้งกับ ราชันชุดขาว เป็นเวลา 16 ฤดูกาล ราอูล ลงเล่นไปทั้งหมด 741 นัด ทำไปถึง 325 ประตูกับอีก 109 แอสซิสต์ เป็นเจ้าของสถิติมากมาย อาทิ เช่น นักเตะที่ยิงประตูเยอะที่สุดเป็นอันดับที่สองตลอดกาลให้กับ เรอัล มาดริด, ดาวซัลโวอันดับที่ 5 ตลอดกาลของศึกลาลีกา สเปน, ดาวซัลโวอันดับที่ 3 ตลอดกาลในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และเป็นนักเตะสเปนที่ยิงประตูได้เยอะที่สุดในลีกยุโรป…ส่วนเกียรติประวัติการคว้าแชมป์กับ ราชันชุดขาว ประกอบไปด้วยแชมป์ สโมสรโลก 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย, ลาลีกา สเปน 6 สมัย และ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ 4 สมัย และรางวัลส่วนตัวอื่นๆ อีกมากมาย หลังจากที่เขาย้ายไป ชาลเก้ 04 ก็ช่วยทีมคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล และ เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ ถัดจากนั้นก็ย้ายไปเล่นในประเทศกาตาร์ กับ อัล ซาดด์ พาทีมคว้าแชมป์ลีก และบอลถ้วย…ปิดฉากการค้าแข้งที่ นิวยอร์ก คอสมอส ด้วยการพาทีมคว้า เทรเบิ้ล แชมป์ (แชมป์สามรายการในปีเดียว) และประกาศเลิกเล่นหลังจบฤดูกาลเรียกได้ว่าเป็นนักเตะที่คว้าแชมป์ได้ทุกสโมสรที่ไปค้าแข้งด้วย

ประตูสวยๆ และการโชว์ทักษะจาก ราอูล กอนซาเลซ
33 ประตูที่ถูกช่วง Madriddrista ยกให้เป็นประตูระดับตำนาน
บรรยากาศในสนาม ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ในเกมอำลา ราอูล เจ้าชายแห่งมาดริด
ดานิเอเล่ เด รอสซี่ เจ้าของฉายา “Cspitano Futuro” ของ โรม่า

อันดับที่ 4 ดานิเอเล่ เด รอสซี่ เริ่มต้นค้าแข้ง โรม่า 2001-2019 จบอาชีพ โบคา จูเนียร์ 2020 : ปฏิเสธได้ยากว่านักเตะที่เป็นสัญลักษณ์อันดับหนึ่งของ โรม่า คือ “ฟรานเชสโก้ ต็อตติเจ้าชายหมาป่า ตำนานทีมชาติอิตาลีที่กลายเป็น “One Man Club” และอยู่ในสถานะที่แตะต้องไม่ได้ตลอดการค้าแข้งกับสโมสรด้วยการสวมปลอกแขนนำทัพ…หลังจาก ต็อตติ ก้าวขึ้นมาเป็นขวัญใจไม่นานถึง 10 ปี ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ความหวังใหม่ที่เป็นคนโรมแท้ๆ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งลูกหม้อตัวความหวังของทีมได้สำเร็จ เด รอสซี่ เคยเล่นในตำแหน่งกองหน้ามาก่อนที่จะเข้าร่วมทีมเยาวชนของ โรม่า ที่พ่อของเขาเป็นโค้ชอยู่ ณ ขณะนั้น…เขาย้านมาเล่นเป็นกองกลางตัวรับขนานแท้แบบดั้งเดิม มีจุดเด่นอยู่ที่การอ่านเกม, การเข้าบอลแบบถึงลูกถึงคนไม่กลัวเจ็บ, ออกบอลระยะสั้น-ยาวได้อย่างชาญฉลาด, ลูกยิงไกลที่รุนแรงแม่นยำ และที่ขาดไม่ได้เลยคือความเป็นผู้นำ…โดยที่ เด รอสซี่ ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ หมาป่าแห่งกรุงโรม ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พบกับ อันเดอร์เลชท์ ณ ตอนนั้นกุซือของทีมเป็น ฟาบิโอ คาเปลโล่ ยอดโค้ชฝีมือระดับพระกาฬ ซึ่งเชื่อสายตาเทรนเนอร์รายนี้ได้เลยว่าเขามองไม่พลาดในการผลักดันดาวรุ่งรายนี้ขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของทีม เด รอสซี่ ใช้เวลา 2-3 ฤดูกาลเท่านั้นจนกลายเป็นแกนนำในแผงมิดฟิลด์และกลายเป็นที่รักของแฟนบอลจนถูกตั้งฉายาให้ว่า “กาปิตาโน่ ฟูตูโร่” ที่แปลได้ว่ากัปตันทีมในอนาคต เขาเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ติดทีมชาติอิตาลี ชุดลุยฟุตบอลโลก ปี 2006 แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ลงเอยด้วยการคว้าแชมป์ในบั้นปลายนับเป็นแชมป์โลก สมัยที่ 4 ของขุนพลอัซซูรี่ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้เล่นที่ได้รับใบเหลืองบ่อยครั้งจากการเข้าบอลที่ดุดัน แต่ก็เป็นนักเตะที่มีน้ำใจนักกีฬาและซื่อสัตย์คนหนึ่งในวงการฟุตบอลจากเหตุการณ์ที่เขาส่งบอลเข้าไปสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จในเกมกับ เมสซิน่า ขณะที่ทีมตามหลังอยู่ 0-1 แต่เขาเป็นคนยอมรับด้วยตนเองว่าทำแฮนด์บอลกับผู้ตัดสินในเกมนั้นที่มีชื่อว่า เมาโร แบร์กอนซี่ ที่มองไม่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งผู้ตัดสินคนดังกล่าวก็ออกมาชื่นชมสปิริตในเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นอย่างมาก…เด รอสซี่ มีปัญหาส่วนตัวเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องของภรรยาของเขาในตอนนั้นที่มีศักดิ์เป็นลูกสาวมาเฟียยักษ์ใหญ่ที่ว่ากันว่าเป็นผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในกรุงโรม…ในปี 2008 พ่อตาของเขาถูกฆาตกรรมอย่างสยดสยองและถูกเปิดเผยเรื่องราวอันดำมือดในวงการที่เคยทำ ส่งผลให้ เด รอสซี่ ไปเล่นที่ไหนก็มักจะถูกเยาะเย้ยเรื่องดังกล่าวจากแฟนบอลอยู่เสมอๆ…นอกจากนั้นภรรยาของเขาก็เริ่มมีการเข้าไปพัวพันกับวงการมาเฟียมากขึ้นเรื่อยๆ และทั้งคู่ก็เริ่มมีปัญหาระหองระแหงกันถึงขั้นเลิกราแยกทางกัน หลังจากนั้นเขาก็ถูกข่มขู่ว่าจะถูก แบล็คเมล์ หรือ ทำร้ายร่างกายที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของอดีตคนรักอยู่เสมอจนถึงปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังจะหมดสัญญากับ โรม่า แล้วมีสองยักษ์ใหญ่จากเมือง แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ทั้ง ยูไนเต็ด และ ซิตี้ ยื่นข้อเสนอด้วยค่าจ้างแสนงามล่อใจเข้าให้ย้ายไปร่วมทีมจนเขาเกือบที่จะย้ายสังกัด แต่ท้ายที่สุดแล้วเงินไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับ เด รอสซี่ เพราะว่าเขาตัดสินใจอยู่กับทีมด้วยการต่อสัญญาออกไป…แต่แล้วอนาคตในบั้นปลายการค้าแข้งของเขาต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลเพราะการเข้ามาของ กลุ่มทุนจากอเมริกาที่นำโดย เจมส์ ปัลล็อตต้า เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแห่งนี้ในปี 2011 และเริ่มจัดระบบองค์กรใหม่ทั้งหมด โดยมีปณิธานในการบริหาร คือ “สมดุลระหว่างธุรกิจและการแข่งขัน” แม้ว่า เด รอสซี่ และ ต็อตติ จะเป็นแกนหลักของทีมอยู่เช่นเดิม แต่ในปี 2017 ลูกพี่ของเขาก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ดเพราะได้รับข้อเสนออันเย้ายวนจากสโมสรว่าจะให้นั่งแท่นผู้อำนวยการของทีมหลังเลิกเล่นและส่งต่อปลอกแขนให้กับ เด รอสซี่ รับช่วงดูแลทีมต่อไป…อย่างไรก็ตาม ต็อตติ ไม่เคยมีอำนาจใดๆ ในการประชุมและข้อเรียกร้องที่เสนอไปถูกเมินเฉยทั้งหมดเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น แล้วฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความอดทนของเขาหมดลงและจากสโมสรอันเป็นที่รักตลอดการ คือ ทีมไม่ต่อสัญญาฉบับใหม่ให้กับ เด รอสซี่ นั่นเอง…กองกลางรายนี้ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าการแขวนสตั๊ดกับสโมสรที่เขาอยู่มา 18 ปี และไม่ได้เรียกร้องข้อเสนอก้อนโต แต่เนื่องด้วยแนวทางการบริหารยุคใหม่ที่มองว่าเขาไม่จำเป็นอีกต่อไป จึงทำให้เขาพิจารณาตนและเป็นคนออกจากสโมสรด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา…สุดท้ายเขาเลือกที่จะไปค้าแข้งกับ โบคา จูเนียร์ ในประเทศอาร์เจนติน่า เนื่องจากต้องการสัมผัสบรรยากาศที่ดิบเถื่อนไม่เหมือนใครในเกมที่จะพบกับ ริเวอร์เพลท ตามคำชักชวนของอดีตรุ่นพี่ในทีมอย่าง นิโกล่า บูร์ดิสโซ่ ทำให้ เด รอสซี่ ปิดฉากการค้าแข้งกับ โรม่า ไว้ที่การลงเล่นทั้งหมด 616 นัด ทำไป 63 ประตู กับ 55 แอสซิสต์ ตลอด 18 ฤดูกาล…พาสโมสรคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย 2 สมัย และ ซูเปอร์ โคปปา อิตาเลียน่า 1 สมัย…ส่วนผลงานคว้าถ้วยในระดับทีมชาติประกอบด้วยแชมป์ ฟุตบอลโลก 2006 และ ฟุตบอลยูโร ชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี 2004 รวมไปถึง เหรียญทองแดงโอลิมปิกเกมส์ 2004 และรางวัลส่วนตัวอื่นๆ อาทิ เช่น นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมในศึกกัลโช่ เซเรีย อา 2006 และ 2009 เป็นต้น…ปัจจุบันเพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดไปเมื่อเดือนมกราคมปี 2020 ที่ผ่านมา

รวมทุกประตูของ เด รอสซี่ ภายใต้การเล่นให้กับ โรม่า
รวมไฮไลท์การเล่นสวยๆ ของ เด รอสซี่
จังหวะที่ เด รอสซี่ ทำแฮนด์บอลและยอมรับ เห็นได้จากเขาไม่แสดงอาการดีใจใดๆ…
Le Godแม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ยอดกองกลางพรสรรค์จากสโมสร เซาแธมป์ตัน

อันดับที่ 5 แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ เริ่มต้นค้าแข้ง เซาแธมป์ตัน 1986-2002 จบอาชีพ เกิร์นซี่ย์ 2013 : เดินทางมาถึงนักเตะคนสุดท้ายที่หยิบยกมา…ซึ่งสำหรับ แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ นั้นสามารถมองได้อย่างก้ำกึ่งว่าเขาเป็น One Man Club หรือไม่? เพราะการย้ายสังกัดของเขานั้นเป็นการเล่นให้กับทีมระดับนอกลีก และเชื่อกันว่าเขาลงเล่นด้วยความสนุกเท่านั้น โดยทาง แอธเลติก บิลเบา ได้เชิญเขาไปรับรางวัล One Man Club ในปี 2015 เป็นคนแรก ก่อนหน้า เปาโล มัลดินี่ แบ็คซ้ายระดับตำนานอีกต่างหาก…อย่างไรก็ตามหากนับว่าเขาได้รับค่าจ้างในการเล่นก็มองได้ว่าเขายังประกอบอาชีพเป็นนักฟุตบอลอยู่ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอนับสถิติตามประวัติการค้าแข้งในเว็บไซต์ www.transfermarkt.com เป็นหลักเพราะมีการเก็บสถิติ…หากกล่าวถึงคำว่า “ราชาที่ไร้มงกุฏ” ในวงการฟุตบอลสำหรับคนยุค 90s ย่อมต้องมีคนนึกถึง แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ อย่างแน่นอน…ความยอดเยี่ยมในการเล่นของเขานั้นเหนือชั้นจนถึงขนาด ชาบี เอร์นานเดซ กองกลางระดับตำนานดีกรีแชมป์โลกสัญชาติสเปน ยกย่องให้เขาเป็น “ไอดอล” เลยทีเดียวเชียว รวมไปถึงแฟนบอลของทีมนักบุญ ยังตั้งฉายาให้กับเขาว่า “Le God” ที่มีนัยยะถึง “เทพเจ้า หรือ พระเจ้า“…เขาเกิดและโตที่ เกิร์นซี่ย์ ที่เป็นเกาะเล็กๆ มีอาณาเขตเล็กกว่าเกาะสมุยบ้านเราด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่เริ่มเล่นฟุตบอล…ก่อนจะตัดสินใจมาแสวงโชคในเมืองใหญ่และด้วยพรสวรรค์อันเหลือล้น เซาแธมป์ตัน ก็เป็นสโมสรที่หยิบยื่นสัญญาระดับเยาวชนให้เขาด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น หลังจากนั้น เลอ ทิสซิเอร์ ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวก้าวขึ้นไปเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ โดยประเดิมสนามในเกมที่แพ้ให้กับ นอริช ซิตี้ 3-4 ในฤดูกาล 1986/1987 แล้วในฤดูกาลดังกล่าวเขาก็ทำได้ถึง 6 ประตูจากการลงเล่น 24 นัด มีไฮไลท์ที่สำคัญมากๆ คือ การตะบันแฮตทริก ใส่สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้เลอ ทิสซิเอร์ เป็นนักเตะในตำแหน่งกองกลางตัวสร้างสรรค์เกม มีจุดเด่นอยู่ที่ทักษะที่ยอดเยี่ยมเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์, เลี้ยงหลบคู่ต่อสู่ได้เก่ง, ยิงประตูได้ดีในทุกระยะ, มีความกล้าเล่นลูกที่เหนือชั้น และสายตาที่เฉียบคมในการจ่ายแอสซิสต์ เรียกได้ว่าทำทุกอย่างได้หมดยกเว้นอย่างเดียว คือการ “วิ่ง” เขาไม่ใช่นักบอลที่มีสปีดจัดจ้าน, มีความหิวกระหายในการเล่น หรือมุ่มมั่นทุ่มเทในการไล่บอล…เขาเชื่อมั่นว่าสิ่งอื่นๆ ที่เขาสามารถทำให้กับทีมได้นั้น มันยอดเยี่ยมมากกว่าไปวิ่งไล่ให้เสียพลังงานซะอีก เลอ ทิสซิเอร์ ไม่ใช่นักเตะที่มีวินัยเข้มงวดเพราะเขาใช้ชีวิตได้อย่างตามใจ อยากกินก็กินทุกอย่าง อยากเที่ยวก็เที่ยวได้ตามใจ ตราบใดที่เขายังคงทำผลงานให้กับ เดอะ เซ้นต์ ได้อย่างไม่มีที่ตินั่นคือข้อยกเว้นสำหรับโค้ชที่มาคุมทีมนี้…เขาเป็นเหมือนศิลปินที่ทำอะไรตามจินตนาการเพราะเขาเคยบอกว่าไม่เคยกลัวที่จะเล่นทริกฟุตบอลสวยๆ หรือทำอะไรที่เหนือความคาดหมายเลยสักครั้ง แถมเขาก็ไม่อายอีกด้วยถ้าเกิดพลาดแต่เขาจะเสียใจมากกว่าที่ไม่ได้ลองทำหรือกลัว ทำให้การเล่นของเขาดูเพลินตาและเปี่ยมไปด้วยลีลาที่น่าชื่นชม…เลอ ทิสซิเอร์ เคยเกือบที่จะย้ายทีมแค่ครั้งเดียวในปี 1990 เมื่อ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ ผู้จัดการทีมของท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ติดต่อเข้ามา…สาหตุที่เขาเกือบจะย้ายเพราะว่า สเปอร์ส เป็นสโมสรที่เขาตามเชียร์มาตั้งแต่เด็กเรียกว่าเป็นสโมสรในฝันก็ว่าได้ แต่เขาเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายเพราะว่า เซาแธมป์ตัน ยื่นสัญญาที่ค่าเหนื่อยเทียบเท่ากันมาให้ และตัว เลอ ทิสซิเอร์ มองว่าเขายังติดหนี้บุญคุณสโมสรแห่งนี้ที่ให้โอกาสเขา, แฟนบอลที่นี่ต่างรักเขา, อิสระที่เขาได้รับในการเล่น และเงินไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดนั่นเอง…อย่างไรก็ตาม เลอ ทิสซิเอร์ ไม่เป็นที่โปรดปรานสำหรับทีมชาติอังกฤษเพราะสไตล์ที่ดูขี้เกียจของเขานั่นเอง…ขนาดนัดอุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลก 1998 กับ รัสเซีย เขาอุตส่าห์ยิงแฮตทริก ได้สำเร็จแต่กลับไม่มีชื่อติดทีมแม้แต่เป็นตัวสำรองเลย ซึ่งเขาเคยพูดติดตลกไว้ว่า อาจเป็นเพราะเขาปฏิเสธ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ กับ เกล็น ฮอดเดิ้ล ที่อยากได้ตัวเขาตอนคุมสโมสรและเป็นเรื่องโชคร้ายที่สุดท้ายทั้งคู่ได้คุมบังเหียนทีมชาติ สรุปแล้วตลอดการค้าแข้งเขาติดธงไปแค่ 8 นัดเท่านั้นและยิงไม่ได้เลย (นับจากเกมอย่างเป็นทางการ)…เลอ ทิสซิเอร์ ลาจากกับสโมสรอันเป็นที่รักของเขาด้วยดีในปี 2002 จบสถิติการค้าแข้งตลอด 16 ฤดูกาลไว้ที่การลงเล่นทั้งหมด 540 นัด ทำไปทั้งสิ้น 209 ประตู (นับรวมทุกรายการ) กับ 143 แอสซิสต์ (นับเฉพาะในเกมลีกเท่านั้น)…ไม่เคยคว้าแชมป์ใดๆ กับสโมสร มีแต่รางวัลและสถิติส่วนตัว อาทิ เช่น รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมจาก PFA ปี 1989/1990 และ ประตูยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 1994/1995 หลังจากนั้น เลอ ทิสซิเอร์ ก็ย้ายไปผจญภัยครั้งใหม่กับ อีสต์เล่ห์ ทีมนอกลีกเป็นเวลาของเขากับอดีตเพื่อนร่วมทีมเก่าอย่าง เดวิด ฮิวจ์ส แล้วล่าสุดในปี 2013 ก็แอบหวนมาสวมสตั๊ดอีกครั้งเป็นตัวสำรองให้กับสโมสร เกิร์นซีย์ ที่เขาเป็นประธานอยู่ เพราะว่าทีมมีจำนวนนัดที่ต้องลงเล่นถึง17 เกมในหนึ่งเดือน

รวมประตูสวยๆ ของ แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์
ประตูที่น่าเหลือเชื่อๆ ของ แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์
ลูกยิงระดับตำนานที่ทำให้ แฟนปีศาจแดง จดจำชื่อ “มัสซิโม่ ตาอิบี้” ไปตลอดกาล
ประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2004/2005

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้