Home คลิปฟุตบอล จริงหรือไม่? ลิเวอร์พูล พลาดแชมป์เพราะเจอร์ราร์ดลื่น

จริงหรือไม่? ลิเวอร์พูล พลาดแชมป์เพราะเจอร์ราร์ดลื่น

จริงหรือไม่? ลิเวอร์พูล พลาดแชมป์เพราะเจอร์ราร์ดลื่น

ภาพที่กัปตันทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนนึงเท่าที่สโมสรแห่งนี้เคยมีมา ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ในเกมพรีเมียร์ลีกวันที่ 27 เมษายน ปี 2014 ณ สนามแอนฟิลด์ จนเป็นเหตุให้ลิเวอร์พูลเสียประตูและแพ้ไปในเกมนั้น จนสุดท้ายต้องพลาดแชมป์ที่รอคอยมากว่า 24 ปี กลายเป็นเหตุการณ์ที่ยังติดตราตรึงในหัวใจใครบางคนมาถึงปัจจุบัน แต่หากมีคนเห็นต่าง ว่าเจอร์ราร์ดไม่ได้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลพลาดแชมป์ในฤดูกาลนั้น พวกท่านจะเชื่อหรือไม่ หากพวกท่านไม่เชื่อ ลองมารับฟังดูกันครับ

อย่างแรก ต้องบอกว่าลิเวอร์พูลในฤดูกาลนั้นแม้จะดูเหมือนมาดีมาก จนทำประตูได้เกิน 100 ลูกได้เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรก็จริง แต่อย่าลืมว่าเกมรับของลิเวอร์พูลก็เสียประตูไปถึง 50 ลูก ซึ่งตั้งแต่มีการเปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็นพรีเมียร์ลีก ไม่เคยมีทีมใดเสียประตูถึงเลข 5 แล้วได้แชมป์มาก่อน หากมองดูผู้เล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ค คนที่เป็นตัวคือมาร์ติน สเคอร์เทล คนเดียว ส่วนคู่ของเขาต้องสลับหมุนเปลี่ยนเวียนวนโดย ซาโก้, แอกเกอร์ และ โคโล่ ตูเร่ เทียบไม่ได้กับกองหลังของทีมระดับแชมป์พรีเมียร์ลีกของทีมอื่นๆอย่างแมนยูยุค ริโอวิดิช หรือเชลซียุค เทอร์รี่คาวัลโญ่ รวมถึงแมนซิตี้ที่มี แวงซองต์ กอมปานี คอยบัญชาการ

4 แนวรุกหงส์แดง ยุคยิงมายิงกลับไม่โกง (จากซ้ายไปขวา ราฮีม สเตอร์ลิง, แดเนียล สเตอร์ริดจ์, หลุยส์ ซัวเรซ และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่)

สิ่งต่อมาคือ หากย้อนไปในช่วงก่อนเตะเกมในวันนั้น ลิเวอร์พูลแข่ง 35 นัดมี 80 คะแนนนำเป็นจ่าฝูง นำเชลซีที่แข่งเท่ากันอยู่ 5 คะแนน นำแมนซิที่แข่งน้อยกว่า 1 นัด อยู่ 6 คะแนน เท่ากับในตอนนั้นลิเวอร์พูลต้องการอีกเพียง 7 คะแนนจาก 3 เกม ก็จะคว้าแชมป์แบบไม่ต้องแคร์ใคร ดังนั้นจึงน่าจะเห็นว่าจริงๆแล้วในเกมที่ 36 กับเชลซี ทางหงส์แดงต้องการเพียงแค่ผลเสมอเท่านั้น แล้วค่อยไปเก็บ 6 คะแนนในสองเกมสุดท้าย กับคริสตัล พาเลซและนิวคาสเซิ่ลซึ่งดูแล้วเป็นงานง่ายกว่าการสู้กับทางสิงโตน้ำเงินครามแน่นอน แต่ไม่รู้ด้วยความไร้ประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์ของกุนซืออย่างแบรนเดน ร็อดเจอร์สในเวลานั้น รวมถึงเหล่าผู้เล่นตัวหลัก คนที่เคยได้แชมป์ฟุตบอลลีกแทบจะนับนิ้วได้ ทำให้เกมนั้น ลิเวอร์พูลพับสนามบุกเชลซีที่ใช้ผู้เล่น 11 คนมาอุด แบบงงๆ จนทำให้ลิเวอร์พูลต้องถ่างผู้เล่นออกให้กว้างมากที่สุด จนเป็นหนึ่งในที่มาของการเสียประตูในลูกนั้น

แต่หากมองกันแบบแฟร์ๆ การแพ้ในเกมกับเชลซีทำให้ลิเวอร์พูลเสียแต้มที่ควรจะได้ไปเพียง 1 คะแนนเท่านั้น ถ้าเทียบกับเกมวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ในนัดที่บุกไปเยือนเวสต์บรอมวิช โดยในนาทีที่ 67 โคโล่ ตูเร่ จ่ายบอลพลาดไปเข้าเท้า วิคเตอร์ อนิเซเบ้ ยิงเข้าไปนิ่มๆ ทำให้เกมนั้นลิเวอร์พูลที่ควรจะเก็บได้ 3 แต้ม กลับเหลือเพียง 1 แต้ม หายไป 2 แต้มแบบน่าปวดใจ นั่นเท่ากับน่าเสียดายมากกว่าเกมที่แพ้เชลซีอีกไม่ใช่หรือ

โคโล่ ตูเร่ จ่ายถวายพานให้กับ วิคเตอร์ อนิเซเบ้ กองหน้า(ฝั่งตรงข้าม) ยิงเข้าไปแบบสุดสวย

สิ่งที่ตามมาในเกมที่ 37 กับคริสตัล พาเลซ ทางลิเวอร์พูลไม่มีทางเลือก เพราะกลายเป็นต้องวัดลูกได้เสียกับแมนซิตี้แทน และในตอนนั้นทางหงส์แดงตั้งเป้าจะยิงให้ได้ 9 ประตู เหมือนที่เคยชนะ 9-0 ในปี 1989 แม้ในช่วง 60 นาทีแรกทางลิเวอร์พูลจะขึ้นนำไป 3-0 แต่ด้วยความที่ยังห่างจากจำนวนที่ต้องการอยู่พอสมควร ลิเวอร์พูลที่ไม่มีทางเลือก ต้องบุกต่อจนสุดท้ายหมดแรงและโดนสวนกลับ จนสกอร์กลับมาเสมอกันที่ 3-3 ภาพที่หลุยส์ ซัวเรซร้องไห้ จนสตีเว่น เจอร์ราร์ดต้องเดินเข้าไปปลอบ น่าจะสะเทือนใจแฟนบอลลิเวอร์พูลหลายคน

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่แฟนบอลหลายคนอาจจะมองข้ามไป คือการขาดหายไปของจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ขอท้าวความอีกนิด คือลิเวอร์พูลในช่วงที่ฟอร์มฮอตจนชนะติดๆกันในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล ทางทีมมีการใช้แท็คติก 4-2-2-2 โดยมีกองหน้าเป็น หลุยส์ ซัวเรซ จับคู่กับ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ มีปีกสองข้างเป็น ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ ราฮีม สเตอร์ลิง ส่วน เจอร์ราร์ด กับ เฮนเดอร์สัน ยืนกลางสนาม โดยเจอร์ราร์ดในปีนั้น ทำหน้าที่คล้าย อันเดรีย ปีร์โล่ ที่คอยออกบอลยาวให้กับ 4 แนวรุกได้สร้างสรร และมีเฮนเดอร์สันคอยเป็นลูกหาบ วิ่งไล่ตัดบอล และเติมเกมแดนกลาง คล้ายกับ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ และ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ คอยทำหน้าที่นี้สมัยเอซี มิลานในยุคที่ครองโลก และในช่วงท้ายของเกมพบแมนเชสเตอร์ ซิตี้นั้น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่แตะบอลยาว ดันไปเปิดปุ่มใส่ ซาเมียร์ นาสรี่ จนโดนใบแดงไล่ออก แถมยังถูกแบนถึงสามนัดในเกมกับ นอริช, เชลซี และ คริสตัล พาเลซ

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน โดนใบแดงแบบน่าเขกกะโหลก ในจังหวะเปิดปุ่มใส่ ซาเมียร์ นาสรี่ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในช่วงท้ายฤดูกาล

ซึ่งในสามนัดนี้ลิเวอร์พูลต้องใช้ โจ อัลเลน กับ ลูคัส เลว่า ถึงสองคนมาอุดรอยรั่วจากการหายไปของเฮนเดอร์สันเพียงคนเดียว แถมยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่า เพราะสามเกมนั้นลิเวอร์พูลไม่สามารถเอาชนะในแดนกลางได้เลย เหตุผลก็เพราะปีนั้น น่าจะเป็นปีที่เฮนโด้มีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล จากการปรับไปเล่นในตำแหน่ง box-to-box จนฤดูกาลต่อมาถูกแต่งตั้งเป็นรองกัปตีนทีม แทนที่แดเนียล แอกเกอร์ที่ย้ายกลับบรอนด์บี้ และนั่นยังเป็นเพียงแค่ 3 เกมที่จอร์แดน เฮนเดอร์สันพลาดช่วยลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้นอีกด้วย

จากเหตุผลที่กล่าวมา เป็นเพียงส่วนหนึ่งในสาเหตุเท่านั้น เหมือนกับการที่เจอร์ราร์ดลื่นล้มจนถูก เดมบ้า บา เลี้ยงเข้าไปยิงนั้นไม่ใช่ทุกอย่างที่ทำให้ลิเวอร์พูลต้องพลาดแชมป์ไปอย่างน่าเจ็บใจ หากจะโทษ ก็ต้องทางหงส์แดงเองที่ยังดีไม่พอมากกว่า ทั้งคุณภาพของตัวผู้เล่น ความอ่อนประสบการณ์ของทั้งผู้บริหาร และตัวผู้จัดการทีม แต่สิ่งสำคัญคือการที่หงส์แดงได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และนำไปสู่กาวพัฒนาแบบก้าวกระโดด ตั้งแต่การดึงยอดโค้ชชาวเยอรมันนามว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้พาโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ล้มยักษ์อย่าง บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน รวมถึงการซื้อผู้เล่นแบบเจ็บแต่จบ เน้นการซื้อเข้าเป้า จึงทำให้ผู้เล่นเกือบทุกคนที่ทีมดึงเข้ามาในระยะหลังตอบแทนสโมสรแบบคุ้มทุกปอนด์

การดึงตัว เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม อาจจะเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พูล

จนปัจจุบัน ลิเวอร์พูลกำลังเข้าใกล้กับคำว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุดเท่าที่เคย นั่นก็เพราะตอนนี้ ลิเวอร์พูล “คู่ควร” กับการเป็นแชมป์ มากกว่าในฤดูกาล 2013-2014 ที่หากจะพูดว่าลิเวอร์พูลโชคดี เพราะมีหลุยส์ ซัวเรซ ก็คงจะไม่ผิดเท่าไหร่ และยังต้องยกนิ้วให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่สวมหัวใจพยัคฆ์ พิสูจน์ตัวเองให้โลกเห็นว่าเรือใบสีฟ้านั้นไม่ได้มีดีแค่เรื่องเงิน ไล่ตามจนสามารถแซงคว้าแชมป์ไปได้แบบสะใจ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2013-2014 ไม่ได้พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกเพียงเพราะความผิดพลาดของชายที่ชื่อว่า

สตีเว่น เจอร์ราร์ด“…

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้