นับตั้งแต่บุกไปถล่ม คริสตัล พาเลซ 7-0 ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ฟอร์มตกไปดื้อๆหลังไม่ชนะในลีกติดต่อกันถึง 5 เกมรวมถึงล่าสุดแพ้ เบิร์นลีย์ คาถิ่นแอนฟิลด์ แบบสุดช็อก 0-1 ส่งผลให้มีคะแนนตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่าฝูงถึง 6 แต้มไปแล้ว
ในเวลานี้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่มีปัญหาไปทั่วทุกตำแหน่งไม่ว่าจะในแนวรุกหรือแนวรับ โดยเฉพาะในเกมบุกนั้น พลพรรค “หงส์แดง” ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสได้เหมือนปีก่อนๆ และแข้งหลักอย่าง โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ พากันสูญเสียความมั่นใจอย่างไม่น่าเชื่อ
ขณะเดียวกัน คล็อปป์ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับแนวรับตลอดในปีนี้หลังจากกองหลังคันสำคัญอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ และ โจ โกเมซ ได้รับบาดเจ็บยาว ซึ่งทำให้แท็คติค ลิเวอร์พูล ต้องเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร
ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมา มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ลิเวอร์พูล เดินทางมาถึงจุดวิกฤตของพวกเขาแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่ทุกสโมสรบนโลกไปนี้ต้องเจอกับช่วงที่ยากลำบาก และนี่คือ 6 สิ่งที่ “หงส์แดง” ควรทำเพื่อก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปให้ได้
![](https://168kick.com/wp-content/uploads/2021/01/Xherdan-Shaqiri-Alex-Oxlade-Chamberlain-Liverpool-F365.jpg)
1. เปลี่ยนแปลงแท็คติค
ทุกคนรู้ดีว่า 4-3-3 เป็นรูปแบบที่ คล็อปป์ ใช้งานมาตลอดหลายปีแล้วถึงแม้จะมีบางเกมที่เขาจะปรับให้ ลิเวอร์พูล มาเล่นในระบบ 4-2-3-1 เหมือนกับที่เคยใช้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก็ตาม โดยการใช้ ซาล่าห์ ขยับมาเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า
แน่นอนว่า เมื่อ ซาล่าห์ มายืนเป็นหมายเลข 9 ฟิร์มิโน่ จะต้องถอยมาเป็นเพลย์เมคเกอร์คอยสร้างสรรค์เกม ส่วน มาเน่ ยังคงประจำการอยู่ฝั่งซ้าย ซึ่งทำให้นักเตะที่สามารถเล่นในตำแหน่งปีกขวาอย่าง เซอร์ดาน ชากิรี่ และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด – แชมเบอร์แลน เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการเพิ่มมิติเกมรุก
ตลอดอาชีพของ ชากิรี่ เขาเล่นทางริมเส้นฝั่งขวาอยู่เป็นประจำ และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะที่ อ็อกซ์เลด – แชมเบอร์แลน ก็เคยเล่นในบทบาทนี้กับ อาร์เซน่อล มาแล้ว และความเร็วของเขาก็จะมีประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มสปีดริมเส้นให้กับ ลิเวอร์พูล ในการสร้างความกดดันให้แนวรับคู่แข่งได้
![](https://168kick.com/wp-content/uploads/2021/01/skysports-takumi-minamino-everton_4883792-1024x576.jpg)
2. ใช้งาน ทาคูมิ มินามิโนะ
ย้อนกลับไปในเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปถล่ม พาเลซ ถึงถิ่น 7-0 มินามิโนะ ปลดล็อกตัวเองด้วยการยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกให้ “หงส์แดง” ได้สำเร็จหลังย้ายมาจาก เร้ดบลูล์ ซัลบวร์ก เมื่อปีที่ผ่านมา โดยเกมดังกล่าวหัวหอกทีมชาติญี่ปุ่นได้โอกาสลงเป็นตัวจริงแทน ซาล่าห์ และทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจไม่น้อยที่หลังจบเกมกับ พาเลซ มินามิโนะ กลับไม่ได้รับโอกาสลงเล่นในลีกอีกเลยแม้แต่นาทีเดียว และบางที คล็อปป์ ต้องหันกลับมามองเขาได้แล้วหลังจากที่แนวรุกตัวหลักอย่าง ซาล่าห์, มาเน่ และ ฟิร์มิโน่ นัดกันฟอร์มฝืดทั้งหมด ส่วน ดิว็อค โอริกี้ ดาวยิงชาวเบลเยียมที่เคยเป็นทีเด็ดก็พึ่งพาอะไรไม่ได้แล้ว
ความฟิต พลังงาน ความมุ่งมั่น ความขยัน และความทุ่มเทของ มินามิโนะ จะช่วยให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล ดูมีพลัง และกระตือรือร้นมากขึ้น ถึงแม้เจ้าตัวอาจไม่ได้เข้ามาทดแทนบรรดาตัวหลักได้อย่างสมบูรณ์แบบนักก็ตาม
![](https://168kick.com/wp-content/uploads/2021/01/GettyImages-1191337292.jpg)
3. เปลี่ยนผู้เล่นตำแหน่งฟูลแบ็ค
ในช่วงปรีซีซั่นที่ผ่านมา คล็อปป์ ยอมรับแล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะส่ง 2 ฟูลแบ็คตัวจริงอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ลงเป็นตัวจริงตลอดทุกเกมทั้งซีซี่นเนื่องจาก ลิเวอร์พูล มีเกมให้เล่นหลายรายการ
คอสตาส ซิมิกาส แบ็คซ้ายทีมชาติกรีซที่คว้าตัวมาจาก โอลิมเปียกอส ด้วยค่าตัว 11.75 ล้านปอนด์ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา และ เนโก วิลเลี่ยมส์ แบ็คขวาดาวรุ่งควรได้โอกาสลงเป็นตัวจริงได้แล้วในช่วงที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ โรเบิร์ตสัน ฟอร์มตก
นอกจากนี้ เจมส์ มิลเนอร์ กองกลางจอมเก๋าก็ยังเป็นแบ็คอัพชั้นดีในตำแหน่งฟุลแบ็คทั้ง 2 ฝั่งให้ คล็อปป์ เลือกใช้งานในกรณีที่ต้องการคนมีประสบการณ์มาช่วยในเกมสำคัญ
![](https://168kick.com/wp-content/uploads/2021/01/skysports-diogo-jota-liverpool_5156960.jpg)
4. เรียกความฟิตของ ดิโอโก้ โชต้า กลับมาให้เร็วที่สุด
ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า นักเตะที่ดีที่สุด และคงเส้นคงวาที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้คือ โชต้า โดยตัวรุกชาวโปรตุเกส สร้างความประทับใจให้กับ “หงส์แดง” ได้อย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ย้ายมาจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา
ในช่วงต้นฤดูกาล โชต้า ระเบิดฟอร์มสุดยอดด้วยการซัดไปถึง 9 ประตูรวมทุกรายการ และปรับตัวเข้ากับแท็คติคของ ลิเวอร์พูล ได้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากดาวเตะวัย 24 ปี โชคร้ายได้รับบาดเจ็บพักยาว 8 สัปดาห์จากเกมยุโรปกับ มิดทิลแลนด์ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แนวรุก “หงส์แดง” ฝืดอย่างน่าใจหาย
รายงานข่าวระบุว่า โชต้า จะกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้งต้องรอไปถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่บางข่าวระบุว่า ปีกเลือดฝอยทอง อาจกลับมาได้เร็วกว่านั้น ซึ่งนั่นจะเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับ คล็อปป์ ที่จะมีทางเลือกในแนววรุกเพิ่มขึ้น
![](https://168kick.com/wp-content/uploads/2021/01/skysports-joel-matip-liverpool_5238920.jpg)
5. ประคองสภาพร่างกายของ โจเอล มาติป
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับ คล็อปป์ และ แฟน ลิเวอร์พูล เกี่ยวสถิติของ มาติป คือ ในฤดูกาลนี้เขาได้ลงเล่นในเกมลีกติดต่อกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และในซีซั่นนี้ เซ็นเตอร์แบ็คชาวแคเมอรูน เจอปัญหาอาการบาดเจ็บไปแล้วถึง 5 ครั้ง
ในปีนี้ ลิเวอร์พูล แทบไม่มีกองหลังตัวหลักให้เลือกใช้งานเลย ซึ่งทำให้แท็คติคที่ คล็อปป์ วางไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วยการขึ้นบอลจากแดนหลังต้องเปลี่ยนไปพอสมควร และบางทีมันก็ทำให้แทบทุกส่วนของ “หงส์แดง” ต้องรวนไปด้วย
มาติป เป็นกองหลังที่ขึ้นเกมได้อย่างยอดเยี่ยม และจ่ายบอลได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในแนวทางการเล่นของ ลิเวอร์พูล นอกจากนี้ เขายังจับคู่กับ ฟาบินโญ่ ได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้น คล็อปป์ และทีมงานต้องทำทุอย่างเพื่อให้ปราการหลังวัย 29 ปี มีสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์
![](https://168kick.com/wp-content/uploads/2021/01/skysports-henderson-liverpool_5020086.jpg)
6. เลิกใช้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ
เข้าใจได้ว่า การที่ คล็อปป์ ตัดสินใจใช้ เฮนเดอร์สัน ถอยลงมาเป็นกองหลังตัวกลางนั้น เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่บางทีนายใหญ่ “หงส์แดง” ก็ควรให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง นาธาเนียล ฟิลลิปส์ หรือ รีส วิลเลี่ยมส์ ลงทำหน้าที่บ้างในฐานะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟอาชีพ
เฮนเดอร์สัน เป็นผู้เล่นที่ทำให้แดนกลาง ลิเวอร์พูล มีระเบียบ และสมดุลมากที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมา และนั่นหมายความว่า การที่จับเขาไปยืนคุมแนวรับก็ส่งผลให้แผงมิดฟิลด์ “หงส์แดง” สะเปะสะปะไปมากโดยเฉพาะการคุมจังหวะเกมรุก-เกมรับ
คล็อปป์ อาจยังไม่ไว้ใจ ฟิลลิปส์ หรือ วิลเลี่ยมส์ มากนัก แต่การให้โอกาสกองหลังอาชีพลงมายืนในแนวรับก็น่าจะช่วยในเรื่องการอ่านเกม การสกัด และการเล่นลูกกลางอากาศได้ดีกว่า ส่วน เฮนเดอร์สัน ก็จะได้กลับไปยืนตำแหน่งถนัดทำให้แดนกลาง “หงส์แดง” มั่นคงขึ้น