รวมทีม “จอมเจ็บ” ดีกรีทีมชาติอังกฤษ (ตามตำแหน่ง)

ฟุตบอล เป็นกีฬาที่เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บอย่างสูง ซึ่งปัจจัยนี้ย่อมส่งผลถึงอนาคตของการค้าแข้งในฐานะนักเตะอาชีพเป็นอย่างยิ่ง…นักเตะหลายคนตอนเป็นดาวรุ่งผงาดขึ้นมาด้วยฝีเท้าที่โดดเด่น จนกลายเป็นความคาดหวังให้กับทั้งสโมสร และ ทีมชาติ…วันนี้ทีมงาน 168Kick จะจัดทีมนักเตะดีกรีทีมชาติอังกฤษที่อาการบาดเจ็บ ทำให้อนาคตในการค้าแข้งของพวกเขาไม่เป็นดังที่หวัง…


ขอเลือกจัดทีมในระบบการเล่น 4-4-2 ที่นิยมใช้ในทัพ สิงโตคำราม มาอย่างยาวนาน


แจ็ค บัตแลนด์ นายทวารที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่

ผู้รักษาประตู (GK) แจ็ค บัตแลนด์ (๋Jack Butland) : มือกาวรายนี้สร้างชื่อตั้งแต่สมัยเป็นดาวรุ่งก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และ ได้ลงเล่นตอนอายุแค่ 19 ปีเศษเท่านั้น นับว่าเป็นผู้รักษาประตูอายุน่อยที่สุดที่ได้ลงสนามให้กับทีมชาติชุดใหญ่ในเกมที่พบกับ อิตาลี…เขาเริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่เล่นในระดับ เดอะ แชมปี้ยนชิพ ให้กับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ก่อนถูก สโต๊ค ซิตี้ ทุ่มเงินราว 3.5 ล้านปอนด์ดึงตัวไปร่วมทัพ จุดเด่นของเขา คือ รูปร่างที่สูงใหญ่, ปฏิกิริยาการตอบสนองที่รวดเร็ว และ ยืนตำแหน่งได้ดี…ตลอดการเป็นนักฟุตบอลอาชีพตั้งแต่ปี 2010 จนถึงปัจจุบัน บัตแลนด์ ได้ลงสนามไปทุกรายการแค่ 269 นัดเท่านั้น เนื่องมากจากปัญหาอาการบาดเจ็บโดยเฉพาะที่ข้อเท้า…ด้านอนาคตในทีมชาติก็เริ่มมืดมน เพราะมือกาวรุ่นน้องอย่าง จอร์แดน พิคฟอร์ด, ดีน เฮนเดอร์สัน หรือ นิค โป๊ป ต่างทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ปัจจุบันเขายังคงเฝ้าเสาให้กับ สโต๊ค ซิตี้ ในลีกรองแต่ยังแอบมีหวังลึกๆ ในการกลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งเนื่องจากอายุยังน้อยแค่ 27 ปีเท่านั้นเอง

รวมช็อตเซฟประตูสวยๆ ของ บัตแลนด์

ไมก้าห์ ริชาร์ดส เป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในตำแหน่งกองหลังที่ติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 18 ปี

แบ็คขวา (RB) ไมก้าห์ ริชาร์ดส (๋Micah Richards) : นี่คือหนึ่งในกองหลังที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมมากที่สุดคนหนึ่งในลีกอังกฤษ ไมก้าห์ ริชาร์ดส เป็นลูกหม้อของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ถูกดันขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 18 ปีเศษเท่านั้น แล้วหลังจากลงสนามไปเพียง 28 นัดก็ก้าวไปติดทีมชาติชุดใหญ่ทันที…เขาเปี่ยมไปด้วยความเร็ว, ร่างกายที่แข็งแกร่ง, การอ่านเกมที่เฉียบคม, เข้าปะทะได้อย่างดุดัน และ เล่นลูกกลางอากาศได้ดี จากคุณสมบัติข้างต้นอนาคตการค้าแข้งของเขาน่าจะไปได้ไกล แถมยังเล่นได้ทั้งในตำแหน่งแบ็คขวา และ กองหลังตัวกลาง (บางนัดถูกดันขึ้นไปเป็นกองกลาง) รวมไปถึงมีวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำด้วยการก้าวขึ้นไปเป็นกัปตันทีมตั้งแต่อายุแค่ 21 ปี…อย่างไรก็ตามอาการบาดเจ็บหลากหลายที่ทั้ง น่อง, เข่า และ ข้อเท้า ประกอบกับการขาดวินัยในการใช้ชีวิตนอกสนาม ส่งผลให้ ริชาร์ดส ไม่สามารถก้าวไปเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างที่ฟ้าประทานพรสวรรค์มาให้…ตลอดการเป็นนักเตะอาชีพ 15 ปี ริชาร์ดส เขาได้ลงเล่นไปเพียงแค่ 295 นัดเท่านั้น และ ติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ไปเพียง 13 นัดอย่างน่าเสียดาย โดยล่าสุดเขาเพิ่งแขวนสตั๊ดไปเมื่อปีที่ผ่านมาด้วยวัยเพียง 31 ปีเท่านั้น

ไฮไลท์การเล่นของ ไมก้า์ ริชาร์ดส ช่วงที่ฟอร์มกำลังรุ่งสุดขีด

เลดลี่ย์ คิง กองหลังตัวกลางที่ แฮร์รี่ เร้ดแนปป์ ชื่นชมในฝีเท้าเป็นอย่างมาก

กองหลังตัวกลาง (CB) เลดลี่ย์ คิง (๋Ledley King) : อีกหนึ่ง One Club Man ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร…เลดลี่ย์ คิง เป็นลูกหม้อของสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก้าวขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ตั้งแต่วัยย่างเข้า 20 ปี เขาเป็นกองหลังที่โดดเด่นในเรื่องของ เซ้นส์บอล, ทักษะฟุตบอลเชิงสูง, การอ่านเกมที่ยอดเยี่ยม และ เข้าสกัดได้อย่างดุดันแต่ขาวสะอาด…ปัญหาใหญ่ของกองหลังรายนี้ คือ สภาพร่างกายที่เปราะบาง เนื่องจากประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่หาสาเหตุไม่ได้ที่เข่า และ ตัวนักเตะเองก็เพิกเฉยต่อการเตือนของแพทย์ที่ทำการรักษา ทำให้กลายเป็นอาการเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม แฮร์รี่ เร้ดแนปป์ ชื่นชอบฝีเท้าของ คิง เป็นอย่างมาก แล้วเคยกล่าวเอาไว้ว่า คิง เปรียบเสมือนตัวประหลาด เพราะขนาดไม่ได้ลงซ้อมกับทีมยังสามารถเล่นในระดับ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้แบบสบายๆ เนื่องมาจากสภาพร่างกายที่เปราะบาง คิง ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้ฝึกซ้อมส่วนตัวที่ยิมเพื่อเรียกความฟิตในการลงสนามสุดสัปดาห์โดยไม่ต้องซ้อมกับเพื่อนร่วมทีม…น่าเสียดายที่อนาคตในทีมชาติของเขาไม่สดใสมากนักต้องแข่งขันกับยอดเซนเตอร์หลายรายเพื่อแย่งตำแหน่ง อาทิ เช่น จอห์น เทอร์รี่, โซล แคมป์เบล และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยเขาติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ไปเพียงแค่ 21 นัด…อย่างไรก็ตามตลอด 14 ฤดูกาลกับ ไก่เดือยทอง นั้น คิง ลงเล่นให้กับต้นสังกัดรยมทุกรายการไปเพียงแค่ 323 นัดเท่านั้นเอง

ไฮไลท์ช็อตการเล่นสวยๆ ของ เลดลี่ย์ คิง ในการรับใช้ต้นสังกัด

กองหลังตัวกลาง (CB) โจนาธาน วู้ดเกต (Jonathan Woodgate) : อีกหนึ่งปราการหลังที่ว่ากันว่ามีพรสววรค์สูงที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลอังกฤษ วู้ดเกต เป็นนักเตะเยาวชนของ มิดเดิลสโบรห์ แต่ไม่สามารถตกลงสัญญาระดับอาชีพได้ จึงย้ายมาค้าแข้งกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในวัย 16 ปี และ ก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ให้กับ ยูงทอง ตั้งแต่อายุ 18 ปี ซึ่งคู่แข่งในการลงสนามของเขาล้วนเป็นยอดกองหลังในขณะนั้น อาทิ เช่น ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ ลูคัส ราเดเบ้ โดยที่ วู้ดเกต เป็นกองหลังที่โดดเด่นอย่างมากในเรื่องของการอ่านเกม แต่ติดปัญหาเดียว คือ สภาพร่างกายของเขามักจะไม่ค่อยฟิตสมบูรณ์เท่าใดนัก เนื่องจากอาการบาดเจ็บหลายจุดในร่างกาย แม้จะเป็นเช่นนั้นแฟนบอลยังขนานนามเขาให้เป็น “ยอดของมงกุฏเพชร” เลยทีเดียว…เขาติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ไปเพียง 8 นัดเท่านั้น เพราะสภาพร่างกายมีปัญหาอยู่ตลอด และ ไม่ค่อยลงสนามให้กับสโมสรได้อย่างต่อเนื่องมากนัก…ตลอดการเล่นฟุตบอลอาชีพ 18 ฤดูกาลนั้น วู้ดเกต ลงสนามทุกรายการไปเพียงแค่ 383 นัดเท่าน้้นเอง

ไฮไลท์ช่วงปลายการค้าแข้งของ วู้ดเกต ที่ทรงบอลยังดีแต่สภาพร่ากายไม่ไหวแล้ว

คีแรน กิ๊บส์ เคยก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่มาแล้ว

แบ็คซ้าย (LB) คีแรน กิ๊บส์ (Kieran Gibbs) : คีแรน กิ๊บส์ เป็นนักเตะเยาวชนของ วิมเบิลดัน ก่อนที่จะตัดสินใจเซ็นสัญญาในระดับอาชีพกับ อาร์เซน่อล ในปี 2004 เขาเริ่มเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ละ ถูกปรับมาเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้ายภายหลัง…กิ๊บส์ ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ อาร์เซน่อล ตั้งแต่อายุ 18 ปีเศษ และ กลายเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมมาโดยตลอด เขามีจุดเด่นอยู่ที่ความเร็วที่จัดจ้าน และ การเติมขึ้นไปเล่นเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ จนก้าวขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่ในยุคของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ในปี 2010 จวบจนปัจจุบันสถิติของเขาหยุดอยู่ที่ 10 นัดเท่านั้น…กิ๊บส์ มีปัญหาในเรื่องของสภาพความฟิตมาโดยตลอด นับว่าเป็นหนึ่งในแบ็คกระดูกยุงคนหนึ่ง จากสถิติการลงเล่นไปแค่ 230 นัดให้กับทีม ปืนโต เท่านั้นกว่า 10 ฤดูกาลที่อยู่กับทีม…ปัจจุบัน กิ๊บส์ ลงสนามทุกรายการในนามสโมสรทั้งหมดไปเพียงแค่ 316 นัดเท่านั้นในวัย 30 ปีเข้าให้แล้ว

ไฮไลท์ผลงานการเล่นของ กิ๊บส์ ภายใต้สีเสื้อของ อาร์เซน่อล

คีรอน ดายเออร์ ยามสวมยูนิฟอร์ม สิงโตคำราม

ปีกขวา (RM) คีรอน ดายเออร์ (Kieron Dyer) : รุด กุลลิท กุนซือชื่อดังชาวฮอลแลนด์ เบิกงบประมาณของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด สูงถึง 6 ล้านปอนด์ในปี 1999 เพื่อซื้อตัวมิดฟิลด์ดาวรุ่งสัญชาติอังกฤษจาก อิปสวิช ทาวน์ ซึ่งกลายเป็นสถิติสโมสรม้าขาว ในขณะนั้นอย่าง คีรอน ดายเออร์…เขาเป็นนักเตะที่มีจุดเด่นอยู่ที่ความเร็ว, การเลี้ยงบอลที่ติดเท้า และ สอดขึ้นไปยิงประตูได้ดี โดยที่ ดายเออร์ สามารถเล่นริมเส้น หรือ ตรงกลางก็ได้แล้วแต่แผนของทีม…ต่อมาในยุคของ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน เขากลายเป็นกำลังหลักในการพาทีมจบในอันดับ 4, 3 และ 5 ในศึก พรีเมียร์ลีก แม้ว่าสภาพร่างกายของเขาจะไม่เคยสมบูรณ์ดีเลยซักซีซั่นเดียว…ดายเออร์ ติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ไปทั้งสิ่น 33 ซึ่งเป็นขุมกำลังสำรองคอยเปลี่ยนเกมมากกว่า…ตลอดการเป็นนักเตะอาชีพทั้งมด 17 ฤดูกาล ดายเออร์ ลงสนามทุกรายการไปเพียง 419 นัดเท่านั้น

ไฮไลท์รวมการเล่นสวยๆ ของ คีรอน ดายเออร์ ตอนที่ค้าแข้งให้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ซึ่งนับว่าเป็นจุดพีคที่สุดแล้ว

โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ กองกลางตัวรับในแบบฉบับที่ทีมชาติอังกฤษตามหาได้ยาก

กองกลางตัวกลาง (CM) โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ (Owen Hargreaves) : หนึ่งในกองกลางที่ขึ้นชื่อเรื่องอาการบาดเจ็บตลอดอาชีพการค้าแข้ง ฮาร์กรีฟส์ ย้ายจากแคนาดามาร่วมทีม บาเยิร์น มิวนิค ในประเทศเยอรมันในวัย 16 ปี และได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มรูปแบบในสไตล์แบบแผนที่ อินทรีเหล็ก สร้างยอดนักเตะขึ้นมาจากระบบเยาวชน เขาได้รับการถ่ายทอดวิชาจากยอดนักเตะอย่าง เมห์เหม็ต โชลล์ ในเรื่องการยิงฟรีคิก และ สเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก เรื่องความห้าวในแดนกลางเป็นต้น เขาเป็นนักเตะที่โดดเด่นในเรื่องของความทุ่มเท, วิ่งขึ้นลงแบบไม่มีหมด, ทักษะพื้นานยอดเยี่ยมเล่นบอลง่าย และ มีทีเด็ดในลูกตั้งเตะต่างๆ แถมยังสารพัดประโยชน์เล่นได้หลายตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นแบ็ค หรือ ปีก ก็ผ่านมาหมด…ด้วยวัยเพียง 19 ปีก็ก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของ เสือใต้ ได้แล้ว แล้วถัดมาอีกแค่ปีเดียวก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงแทนที่ของ เอฟเฟ่นแบร์ก ปะทะกับยอดแข้งจาก เรอัล มาดริด ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกด้วย…ในปี 2001 เขาก็ถูก สเวน โกรัน อีริคส์สัน เรียกตัวไปติดทีมชาติ และ กลายเป็นหนึ่งในขุนพล สิงโตคำราม ไปสู้ศึก ฟุตบอลโลก 2002 หลังจากนั้น ฮาร์กรีฟส์ มีการให้สัมภาษณ์เป็นนัยว่าอยากไปเล่นในประเทศอังกฤษ ซึ่งเขาต้องรอจนถึงปี 2007 เลยทีเดียว เพราะว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ใช้เวลาในการตกลงข้อเสนอคว้าตัวเขามาที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กว่า 1 ปี หลังจากประทับใจฟอร์มการเล่นของ ฮาร์กรีฟส์ ในศึก ฟุตบอลโลก 2006…แม้ว่า ฮาร์กรีฟส์ จะได้ย้ายมาเล่นในอังกฤษสมใจ แต่อนาคตเขาไม่เป็นดังคาดส่วนมากจะใช้เวลาอยู่ในโรงหมอ และ ดูเพื่อนจากอัฒจันทร์เป็นส่วนใหญ่…ตลอดอาชีพการค้าแข้งของเขาถูกปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนหลายที่ทั้ง เข่า, น่อง, ต้นขา และ ข้อเท้า ส่งผลงานขาดความต่อเนื่องเห็นได้จากสถิติการค้าแข้งตลอด 12 ฤดูกาลทุกสโมสร ฮาร์กรีฟส์ ลงสนามทุกรายการไปเพียง 261 นัดเท่านั้น และ ติดทีมชาติอังกฤษทั้งสิ้น 42 นัด

ฟอร์มของ ฮาร์กรีฟ ในเกมฟุตบอลโลก 2006 ที่พบกับ ทีมชาติโปรตุเกส

วิลเชียร์ เป็นกำลังสำคัญในเการเล่นฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 2018 ให้กับ สิงโตคำราม

กองกลางตัวกลาง (CM) แจ็ค วิลเชียร์ (Jack Wilshere) : วิลเชียร์ เป็นหนึ่งในกองกลางพรสวรรค์สูงที่สุดคนหนึ่งในอังกฤษ มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะเยาวชนของ อาร์เซน่อล ด้วยการลงเล่นแบบแบกรุ่นอายุมาตลอดลงเล่นกับทีมชุดอายุต่ำกว่า 18 ปีด้วยวัยเพียง 15 ปีเศษจากการที่มีฝีเท้าที่เหนือกว่านักเตะในรุ่นเดียวกันอย่างมาก…วิลเชียร์ เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงสนามให้กับ อาร์เซน่อล ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยอายุ 16 ปี 256 วันเท่านั้น วิลเชียร์ เป็นกองกลางธรรมชาติที่โดดเด่นในเรื่องของ ทักษะที่ยอดเยี่ยม, การเลี้ยงบอล, การจ่ายบอล และ กล้าเล่น แม้ว่าจะมีรูปร่างที่เล็กกว่าคู่แข่งค่อนข้างมากแต่ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเขาเลยในการต้องลงเล่นในแดนกลาง แถมเขายังสามารถเล่นในตำแหน่งริมเส้น และ เพลย์เมคเกอร์หลังกองหน้าได้อีกด้วย…วิลเชียร์ ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปีเศษเท่านั้นในปี 2010 แต่ถัดมาเพียงแค่ปีเดียวเขาก็เริ่มประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าซ้ายจนต้องพักทั้งฤดูกาลเนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัด แถมเขาก็ยังใช้ชีวิตนอกสนามอย่างสุดเหวี่ยงทั้งปาร์ตี้ และ ถูกจับภาพได้ว่าสูบบุหรี่ ทำให้พัฒนาการของเขาค่อยๆ ลดถอยลง หลังจากบาดเจ็บยาวครั้งแรกร่างกายของเขาก็เปราะบางอย่างเห็นได้ชัดจากการถูกอาการบาดเจ็บคุกคามบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ หลากหลายจุดจวบจนปัจจุบันที่ย้ายสังกัดมาเล่นให้กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ตลอดการค้าแข้ง 12 ฤดูกาลทุกรายการ วิลเชียร์ ลงเล่นไปเพียง 254 นัดเท่านั้น และ ติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ไปทั้งสิ้น 34 นัด…อย่างไรก็ตามในวัย 28 ปีเขายังมีโอกาสสร้างสถิติ่อไปเพราะอายุแค่ 28 ปีเท่านั้น โดยปัจจุบันเขาสังกัดทีม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

การลงสนามในสีเสื้อ อาร์เซน่อล ที่ว่ากันว่า วิลเชียร์ โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมที่สุดนัดกนึ่งในการค้าแข้ง

ปีกซ้าย (LM) โจ โคล (Joe Cole) : จากนักเตะที่คัดเลือกมาทั้งหมด โจ โคล เป็นนักเตะที่มีสถิติการลงเล่นเยอะที่สุด โคล เป็นนักเตะที่มีจุดเด่นอยู่ที่ ความน่าตื่นตาตื่นใจในการเล่นประเภทจิ๋วแต่แจ๋ว, ทักษะฟุตบอลยอดเยี่ยม และ สอดขึ้นไปยิงประตูได้ดี รวมไปถึงเล่นได้หลากหลายตำแหน่งในแนวรุกไม่ว่าจะเป็นริมเส้น หรือ หลังกองหน้า…เขาผลผลิตจากทีมเยาวชนของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด สามารถก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้ตั้งแต่อายุ 17 ปีเศษ เป็นดาวรุ่งพรสวรรค์ที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ พอล แกสคอยน์ เลยทีเดียว และ มีข่าวลือถึงขนาดว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พร้อมที่จะทุ่มเงินสูงถึง 10 ล้านปอนด์เพื่อดึงตัวเขามาร่วมทีมตอนที่อายุแค่ 16 ปี…หลังจาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ตกชั้น เชลซี ก็จัดการคว้าตัว โคล มาร่วมทีมด้วยสนนราคา 6.6 ล้านปอนด์ แล้วก็ถือว่าคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่จ่ายไป เพราะว่าเขากลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการช่วยทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จแม้ว่าจะมีอาการบาดเจ็บออดๆ แอดๆ รบกวนมาโดยตลอดก็ตาม…ด้านผลงานระดับชาติ โคล ติดทีมชาติทั้งหมด 56 นัด ทำไปทั้งหมด 10 ประตู ซึ่งความจริงแล้วควรจะมีตัวเลขที่สูงกว่านี้ ตลอดการลงเล่นฟุตบอลอาชีพทั้งหมด 20 ฤดูกาล โคล ลงเล่นไปทั้งหมด 677 นัด แต่เมื่อเฉลี่ยออกมาแล้วค่าเฉลี่ยของเขาตกอยู่ที่ราว 22 นัดต่อปีเท่านั้น

รวม 10 ประตูสุดสวยของ โจ โคล ในสีเสื้อของ เชลซี

อลัน สมิธ กองหน้าเลือดเดือดยามลงเล่นให้กับ พลพรรคสิงโตคำราม

กองหน้า (ST) อลัน สมิธ (Alan Smith) : เด็กหนุ่มจากย่าน ยอร์คเชียร์ ที่เป็นผลผลิตเยาวชนของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ทะลุขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายเพียง 18 ปีเศษเท่านั้น เขาเป็นกองหน้าสไตล์อังกฤษโบราณแบบตัวเป้าที่มีหน้าที่จบสกอร์แท้ๆ โดดเด่นในเรื่องของ ความทุ่มเท, การจบสกอร์ที่เฉียบคม และ มีอารมณ์ร่วมในเกมสูง…หลังจาก ยูงทอง ตกชั้นในฤดูกาล 2003/2004 ก็ถูกบอร์ดบริหารที่ต้องจัดการเรื่องการเงินของทีมบีบอย่างอ้อมๆ ให้ย้ายทีม เนื่องจากทีมคงไม่สามารถจ่ายค่าเหนื่อยของเขาได้ไหว แต่เป็นเหมือนตลกร้ายเพราะว่า คู่อริตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่พร้อมจ่ายค่าตัวเขาสูงที่สุด ดังนั้นเขาจึงจำใจต้องย้ายไปร่วมทัพ ปีศาจแดง ที่เขาเคยเอ่ยคำสัญญากับแฟนบอลว่าจะไม่มีวันย้ายไปร่วมทีมอย่างเด็ดขาดด้วยค่าตัวราว 7 ล้านปอนด์ โดยที่ สมิธ เปิดเผยในภายหลังว่า “เขาไม่รับส่วนแบ่งเงินค่าตัวในตอนนั้นเพราะว่าต้องการช่วย ลีดส์ ที่กำลังล้มละลาย”…เหล่า เร้ด อาร์มี่ ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นจากความทุ่มเทให้กับทีมยามลงสนาม แต่ในปี 2006 สมิธ ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากจังหวะบล็อคลูงยิงของ ยอห์น อาร์เน่ ริเซ่ จนข้อเท้าหักจนต้องพักยาว หลังจากกลับมาฟิตสมบูรณ์เขาถูก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จับเขาไปเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ หวังนำมาแทนที่ของ รอย คีน นับตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยกลับสู่จุดสูงสุดในการค้าแข้งได้อีกเลย…สมิธ ติดทีมชาติอังกฤษไปเพียงแค่ 19 นัดเท่านั้น ส่วนการลงสนามทุกรายกาลทั้งหมด 20 ฤดูกาล สมิธ ลงเล่นไป 605 นัด เฉลี่ยแล้วตกเพียงฤดูกาลละ 30 นัด

รวมไฮไลท์ของ อลัน สมิธ ในการเล่นให้กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด

แอนดี้ แคร์โรลล์ เคยรุ่งเรืองในอาชีพการค้าแข้งจนก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษมาแล้ว

กองหน้า (ST) แอนดี้ แคร์โรลล์ (Andy Carroll) : นี่คือผลผลิตจากทีมเยาวชนของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่เคยก้าวขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ของทีม หลังจากกลับขึ้นมาเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้อีกครั้ง…แคร์โรลล์ เป็นกองหน้าตัวเป้าแท้ๆ แบบฉบับอังกฤษโบราณที่มีจุดเด่นอยู่ที่ รูปร่างที่สูงใหญ่, แข็งแกร่งยามเล่นลูกกลางอากาศ และ จบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม แถมยังมีประโยชน์ในแดนหน้ายามทีมต้องการตัวพักบอลเพื่อให้เพื่อนเล่นต่อได้ง่ายยามทำเกมรุก…ในปี 2011 แคร์โรลล์ ถูกทาง ลิเวอร์พูล ดึงตัวไปร่วมทีมในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะเดือนมกราคมเพื่อแทนที่ของ เฟร์นานโด ตอร์เรส และกลายเป็นนักเตะอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดในตอนนั้น แต่กลายเป็นหนึ่งการเซ็นสัญญาที่ล้มเหลวของ หงส์แดง เพราะเขาไม่เคยทำผลงานได้ใกล้เคียงกับที่ เอล นินโญ่ เคยทำไว้เลยแม้แต่น้อย…ปัจจุบันเขาย้ายกลับมาเล่นให้กับทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่เขาเคยสร้างชื่ออีกครั้งในวัย 31 ปี แคร์โรลล์ ควรจะไปได้ไกลในการค้าแข้งมากกว่านี้ แต่เนื่องด้วยพฤติกรรมนอกสนามที่เป็นนักดื่มตัวยง และ มีประวัติการทะเลาะวิวาทหลายต่อหลายครั้ง ประกอบกับอาการบาดเจ็บทำให้สภาพร่างกายของเขาเต็มไปด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บหลายจุด แม้ว่าจะมีการยืนยันว่าเขาเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เมื่อย้ายมาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล แล้วก็ตาม…ในนามทีมชาติ แคร์โรลล์ ติดธงไปทั้งสิ้น 9 นัด ด้านสถิติการลงเล่นระดับสโมสรตลอด 14 ฤดูกาล แคร์โรลล์ ลงเล่นไปเพียง 313 นัด

รวมผลงาน แอนดี้ แคร์โรลล์ ยามลงเล่นภายใต้เสื้อ สาลิกาดง

ยากที่จะจินตนาการได้ว่าหากพวกเขาทั้ง 11 คนเหล่านี้ มีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ในชีวิตการค้าแข้ง แต่ละคนจะก้าวไปสร้างความสำเร็จในอาชีพ และ พาทีมชาติอังกฤษ ไปได้ไกลขนาดไหน เพราะแต่ละรายชื่อตอนก้าวขึ้นมาเป็นดาวรุ่งใหม่ๆ ล้วนมีฝีเท้าที่ฉกาจฉกรรจ์ทั้งสิ้น…

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top