Home บทความฟุตบอล 5 แท็คติคที่กำลังจะกลายเป็นที่นิยมในปี 2020

5 แท็คติคที่กำลังจะกลายเป็นที่นิยมในปี 2020

0
5 แท็คติคที่กำลังจะกลายเป็นที่นิยมในปี 2020

สำหรับวงการฟุตบอล เมื่อกาลเวลาผ่านไปวิวัฒนาการสิ่งต่างๆ ก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป และพัฒนาขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวนักเตะ, กุนซือ, ทีมงานสตาฟฟ์โค้ช และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการเล่น รวมทั้งกลยุทธ์ที่แต่ละทีมต้องหาทางประยุกต์ใช้เพื่อเอาชนะคู่แข่งในแต่ละเกมที่ลงสนาม

ในปัจจุบัน กลยุทธ์ หรือที่เรารู้จักกันว่า “แท็คติค” ถูกคิดค้นโดยผู้จัดการทีมยุคใหม่ ซึ่งพวกเขาปรับปรุงได้อย่างเหมาะสมกับยุคสมัยจนสามารถนำปลูกฝังให้กับลูกทีมกลายเป็นสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว และนี่คือ 5 กลยุทธ์ ที่กำลังจะกลายเป็นที่นิยมมากที่สุดในยุคนี้

ภาพจาก : football365.com

1.สร้างโอกาสทำประตูจากบอลจังหวะ 2

“ไม่มีผู้เพลย์เมคเกอร์คนใดจะทำได้ดีไปกว่าเคาน์เตอร์เพรซซิ่งอีกแล้ว” เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เคยกล่าวเอาไว้ โดยโค้ชชาวเยอรมันพาพลพรรค “หงส์แดง” ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, แชมป์ยูฟ่า ซุเปอร์ คัพ, แชมป์สโมสรโลก ด้วยการปลูกฝังสไตล์ “เกเก้นเพรซซิ่ง” และไม่ได้ใช้นักเตะจอมทัพหมายเลข 10 ในทีมเลย

คล็อปป์ ไม่มีมิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมระดับท็อปอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ หรือ ปอล ป็อกบา แต่เขาใช้กองกลางจอมขยันอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม , เจมส์ มิลเนอร์ และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน คอยสร้างสมดุล และขับเคลื่อนแดนกลาง

นายใหญ่ “หงส์แดง” จะใช้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หัวหอกชาวบราซิล รับบทบาทในฐานะ False9 ทดแทนการขาดหายไปของเพลย์เมคเกอร์ และใช้ปีกความเร็วสูงทั้ง 2 ฝั่งอย่าง ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คอยทะลวงแนวรับคู่แข่ง และจบสกอร์

กลวิธีของ คล็อปป์ ที่เขาใช้คือ ให้ลูกทีมช่วยกันบีบพื้นที่ในแดนคู่แข่งเพื่อรอเก็บตกบอลจังหวะ 2 จากนั้น “หงส์แดง” จะใช้โอกาสที่คู่ต้อสู่ทำผิดพลาดโจมตีทันที ซึ่งหลายทีมในลีกอื่นๆ เริ่มจะใช้แนวทางนี้กันบ้างแล้ว

ภาพจ่าก : randyvazquezmedia.com

2. ใช้เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเป็นตัวเปิดเกมรุกโต้กลับไว  

การยืนแนวรับ 4 คน กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับหลายๆสโมสร ซึ่งมันแตกต่างจากสมัยก่อนที่บางทีมจะยืนด้วยระบบกองหลัง 3 คน โดยอาจมี สต๊อปเปอร์ 2 คน ทำหน้าที่เป็นตัวชน และมี ลิเบอโร่ ยืนห้อยเป็นปราการหลังตัวสุดท้ายคอยตัวอ่านเกม และเก็บบอลจังหวะ 2 รวมถึงพาบอลไปขึ้นเกมรุกด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ คู่หูเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ยืนคู่กัน มักจะมี 1 ราย ที่โดดเด่นในการเปิดเกมรุก การผ่านบอล และครอบครองบอลด้วยเท้า อาทิ กองหลัง อย่าง เคราร์ด ปิเก้, ราฟาเอล วาราน, เวอร์จิล ฟาน ไดจค์, แฮร์รี่ แมคไกวร์, อายเมริค ลาปอร์เต้ ที่สามารถใช้ทักษะของพวกเขาในการเปิดเกมโต้กลับเร็วได้

 บรรดาปราการหลังที่กล่าวมา มักจะใช้ทักษะจากการครอบครองบอลที่แน่นอนของตัวเองเก็บบอลไว้เพื่อรอเวลาให้ผู้เล่นแนวรุกที่มีความรวดเร็วคอยวิ่งหาช่องบริเวณกรอบเขตโทษคู่แข่ง จากนั้น พวกเขาอาจจะพาบอลขึ้นมา หรือฉวยโอกาสเปิดบอลไปยังเป้าหมายเพื่อสร้างจังหวะลุ้นประตูให้กับทีม

ภาพจาก : soccer.nbcsports.com

3. ใช้ฟูลแบ็คทั้ง 2 ฝั่ง เป็นเพลย์เมคเกอร์คอยทำเกม

ในสมัยก่อนฟูลแบ็คเป็นตำแหน่งที่หลายคนคงไม่ให้ความสำคัญมากนัก แต่ในวงการฟุตบอลทุกวันนี้ นักเตะในตำแหน่งดังกล่าวถูกเปลี่ยนแปลงบทบาท และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนกลายมาเป็นส่วนสำคัญของทีม

 อาร์เซน่อล ยุคใหม่ ภายใต้การคุมทีมของ มิเคล อาร์เตต้า เทรนเนอร์ชาวสเปน ได้ปลุกปั้น บูกาโย่ ซาก้า ปีกซ้ายดาวรุ่งชาวอังกฤษให้มาแจ้งเกิดในตำแหน่งแบ็คซ้ายจอมลุยที่มีบทบาทเติมเกมรุกได้อย่างสุดมันส์  และมีส่วนสำคัญทางเกมริมเส้นของ “ไอ้ปืนใหญ่” อย่างมาก

อาร์เตต้า ใช้ 2 กองหน้าอย่าง ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง และ อเล็กซ็องด์ ลากาแซ็ตต์ สลับกันออกมาเล่นริมเส้น และตัดเข้าไปอยู่ด้านในกรอบเขตโทษของคู่ต่อสู่ ซึ่งนั่นจะเป็นเหมือนการเปิดที่ว่างให้กับ ซาก้า เติมเกมรุกได้อย่างอิสระ และมีเวลาที่จะสร้างสรรค์เกมอย่างเต็มที่

ขณะเดียวกัน ในฤดูกาลนี้ บาเยิร์น มิวนิค ก็มี อัลฟอนโซ่ เดวี่ส์ แบ็คซ้ายดาวรุ่งชาวแคนาดา แจ้งเกิดขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ได้อย่างเต็มตัวกับบทบาทฟูลแบ็คที่คอยสร้างสรรค์เกม และในอนาคตอันใกล้วิวัฒนาการของผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คคงจะได้รับการพัฒนาขึ้นกว่านี้อีก

ภาพจ่่าก : liverpoolecho.co.uk

4. ใช้มิดฟิลด์สลับตำแหน่งกับฟูลแบ็คเพิ่มความหลากหลาย

เมื่อใช้ฟูลแบ็คทำหน้าที่เพลย์เมคเกอร์แล้ว มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยผู้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์จะต้องคอยไปคุมพื้นที่ว่างตรงจุดนั้นแทน ในทีม อาร์เซน่อล นั้น กรานิต ชาก้า กองกลางชาวสวิตเซอร์แลนด์ จะคอยทำหน้าที่ดังกล่าว ในขณะที่ ลิเวอร์พูล จะมี ฟาบินโญ่ ห้องเครื่องชาวบราซิลคอยขยับไปปิดพื้นที่ของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

สมัยก่อน เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ จะเป็นผู้เล่นหลักที่คอยปิดพื้นที่ว่างเมื่อเวลาฟูลแบ็คเติมเกมรุก แต่ตอนนี้หลายๆ ทีมใช้กองกลางตัวรับเป็นคนหน้าที่ดังกล่าวแล้ว และมิดฟิลด์ตัวรับยังต้องทำหน้าที่วิ่งหาพื้นที่ว่างรับ-ส่งบอล ควบคุมจังหวะเกม และคอยกระจายบอลไปยังจุดที่ได้เปรียบทุกพื้นที่บนสนาม

ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องปกติที่เราได้เห็น บรรดากองกลางจะสลับไปยืนแทนตำแหน่งของฟูลแบ็ค พวกเขาต่างเข้าใจในเกม สนับสนุนกันและกันเป็นอย่างดี โดยการเปลี่ยนตำแหน่งดังกล่าวยังทำให้ทีมคงโครงสร้างที่แข็งแกร่งเอาไว้ เพิ่มตัวเลือกในเกมรุกมากขึ้น และไม่เสียสมดุล

ภาพจาก : theguardian.com

5. เปลี่ยนบทบาทกองกลางสไตล์จอมทัพหมายเลข 10

ปัจจุบันนักเตะจอมทัพหมายเลข 10  ค่อยๆ หายไปจากโลกฟุตบอลเต็มทีแล้ว เนื่องจากสภาพร่างกาย และความแข็งแกร่งกลายมาเป็นส่วนสำคัญในเกมการแข่งขัน ซึ่ง เพลย์เมคเกอร์ อย่าง เมซุต โอซิล หรือ มาริโอ เกิตเซ่ มักจะถูกแทนที่ด้วยมิดฟิลด์หมายสไตล์หมายเลข 8 ที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง  

ผู้จัดการทีมยุคใหม่หลายต่อหลายคน ค้นพบว่า มิดฟิลด์แบบบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ มีความสามารถเพียงพอในการสร้างสรรค์เกม และหาโอกาสจบสกอร์ได้ด้วยตัวเอง รวมถึงยังมีปีกทั้ง 2 ฝั่งที่คอยสนับสนุนเกมรุกทางริมเส้น และอาจสลับตำแหน่งเข้ามาทำเกมตรงกลางสนามมากขึ้น

ที่ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ อดีตกุนซือชาวอาร์เจนไตน์ จัดการเปลี่ยนบทบาทของ คริสเตียน อิริคเซ่น เพลย์เมคเกอร์ทีมชาติเดนมาร์ก ให้ขยับไปเล่นในตำแหน่งตัวรุกฝั่งขวา โดยมี ซอง ฮึง มิน ดาวยิงชาวเกาหลีใต้ เป็นตัวริมเส้นฝั่งซ้าย และ เดเล่ อัลลี่ เป็นเหมือนตัวฟรีหรือกองหน้าตัวที่ 2 คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง แฮร์รี่ เคน หัวหอกทีมชาติอังกฤษ

ขณะเดียวกัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การนำทัพของ เป็ป กวาร์ดิโอล่า ยอดเทรเนอร์ชาวสเปน ก็เลือกจะปรับบทบาท ดาบิด ซิลบา และ เควิน เดอ บรอยน์ ถอยลงมาเล่นต่ำลงในบทบาทหมายเลข 8 ซึ่งคอยใช้ความคิดสร้างสรรค์บัญชาเกมรุกจากกลางสนาม และดูเหมือนว่า จะได้ผลเนื่องจาก “เรือใบสีฟ้า” มีความหลากหลายในจังหวะเข้าทำแบบที่คู่แข่งคาดไม่ถึงอยู่เสมอ

ที่มา : https://www.fourfourtwo.com/

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้