7 ปีก เรือเกลือ!!!…เหลือเชื่อ “โคตรเก่ง”

ตำแหน่ง “ปีก” ในกีฬาฟุตบอล แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นักเตะที่เล่นในตำแหน่งนี้ได้ต้องมีความเร็วเป็นจุดเด่นแบบเลี่ยงไม่ได้ เพราะภาพติดตาของ “ปีก” สมัยนี้คือการฉีกกองหลังเป็นชิ้นๆ ด้วยความไวที่เหนือกว่าเข้าไปยิงประตูกันจนชินตายกตัวอย่างเช่น ซาลาห์มาเน่ สองตัวริมเส้นของ ลิเวอร์พูล ที่มีพลังทำลายล้างสูงที่สุดคู่นึงในปัจจุบันต่างก็มีจุดเด่นอยู่ที่ “สปีด” และ “การยิงประตู” แต่เมื่อย้อนกลับไปในยุคก่อนมีนักเตะที่เล่นในตำแหน่งนี้หลายคนที่มีข้อบกพร่องในเรื่องของ “ความเร็ว” กลับก้าวไปสู่เวที “ระดับโลก” ได้ในฟุตบอลยุคก่อน…ซึ่งแต่ละคนก็มีทีเด็ดมาทดแทน “จุดด้อย” ที่แตกต่างกันออกไป…บทความนี้ทีมงาน 168Kick จะพาย้อนกลับไปแนะนำ “7 ปีกสายช้า” ว่ามีใครติดโผกันบ้าง? โดยรายชื่อที่ยกมาในคอลัมน์นี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนทั้งสิ้น อาจมีบางส่วนที่ผู้อ่านอาจไม่เห็นด้วยก็เป็นไปได้ และ สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ตามสะดวกครับ…


สตีฟ แม็คมานามาน ปีกตัวพริ้วที่เริ่มสร้างชื่อกับ ลิเวอร์พูล ร่วมกับแก๊งค์ “สไปซ์ บอยส์” ในยุคนั้น

สตีฟ แม็คมานามาน (Steve McManaman) : อดีตปีกทีมชาติอังกฤษรายนี้แทบจะเป็นทุกอย่างของ ลิเวอร์พูล ในยุค 90s เขาก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัวในยุคของ แกรม ซูเนสส์ เป็นนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์, ควบคุมบอลได้ยอดเยี่ยม, เล่นบอลได้ทั้งสองเท้า และ มีการเลี้ยงบอลที่น่าตื่นตะลึง…ขนาดที่ ไบรอัน ร็อบสัน หนึ่งในตำนานนักเตะของ ปีศาจแดง ยกย่องว่า “ทุกคนรู้วิธีในการหยุด ลิเวอร์พูล ในตอนนั้น คือ ต้องหยุด แม็คมานามาน ให้ได้” ผลงานชิ้น มาสเตอร์พีซ ของเขา หงส์แดง เกิดขึ้นในฤดูกาล 1995/1996 ที่กลายเป็นนักเตะที่ทำสถิติแอสซิสต์สูงสุดจำนวน 25 ครั้ง แม็คมานามาน เป็นนักเตะที่ไม่ได้มีความเร็วจัดจ้านแต่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพในการเล่น นอกจากจะเล่นปีกได้ทั้งสองฝั่งแล้วยังสามารถหุบเข้าไปเล่นตรงกลางแบบ “ตัวอิสระ” ได้อีกด้วยซึ่งในยุคนั้นเรียกตำแหน่งดังกล่าวว่า “Talisman” คอยสร้างสรรค์โอกาสอยู่หลังคู่กองหน้า โดยตลอด 9 ฤดูกาลในการเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เขาพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ ได้อย่างละหนึ่งสมัย…

รวมผลงานของ แม็คก้า สมัยที่เล่นให้กับ ราชันชุดขาว

ในปี 1999 เขาย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ด้วยกฏบอสแมนหลังหมดสัญญา และ สามารถต่อยอดความสำเร็จในการค้าแข้งท่ามกลางยอดนักเตะ อาทิ เช่น อิเกร์ กาซิยาส และ ราอูล เขาเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกที่คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ไม่ได้สังกัดทีมจากอังกฤษ แล้วการย้ายทีมแบบฟรีๆ ของเขาถือว่าเป็นดีลที่คุ้มค่ามากที่สุดในยุคนั้น เป็นสมาชิกคนสำคัญที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 2 สมัย รวมไปถึงแชมป์ยุโรปอีก 2 สมัย…ท้ายที่สุดแล้วเขาย้ายกลับมาเล่นในประเทศอังกฤษกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2003 แล้วตัดสินใจเลิกเล่นในอีกสองปีต่อมา


ดาวิด ชิโนล่า ดาวเตะคนสำคัญของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ติดมีชื่ออยู่ใน “หอเกียรติยศ” ของสโมสร

ดาวิด ชิโนล่าฺ (David Ginola) : นี่คือหนึ่งในปีกสายเทคนิคที่มีจุดเด่นอยู่ที่การเลี้ยงบอลที่พริ้วไหว และ การยิงประตูด้วยที่เฉียบคมทั้งสองเท้า…ดาวิด ชิโนล่าฺ โด่งดังจากการเล่นให้กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส ก่อนถูก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่มี เควิน คีแกน คุมทัพอยู่ในขณะนั้นทุ่มเงินซื้อตัวมาด้วยค่าตัวสูงถึง 2.5 ล้านปอนด์ แล้วกลายเป็นกำลังสำคัญช่วย สาลิกาดง จบในตำแหน่งรองแชมป์สองปีติดต่อกัน…สื่อในอังกฤษยกย่องว่า ชิโนล่า มีการเล่นที่สวยงามดุจการร่ายเวทย์มนต์ในสนาม หลังจาก คีแกน อำลาทีมไป เขาถูก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ขายทิ้งแบบไม่เต็มใจให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ด้วยค่าตัวเท่าที่ซื้อมา…

รวมช้อตการเล่นสวยๆ ของ ชิโนล่า ตลอดการค้าแข้ง

เมื่อมาร่วมทีม ไก่เดือยทอง แล้วผนึกกำลังเข้ากับกองหน้าที่มีการจบสกอร์ที่เฉียบคมอย่าง เลส เฟอร์ดินานด์ ได้อย่างเข้าขารู้ใจ ชิโนล่า ทำให้ สเปอร์ส ในยุคนั้นเป็นทีมที่มีเกมรุกที่จัดจ้านน่ากลัวทีมหนึ่งในอังกฤษเลยทีเดียว โดยในปี 1999 ชิโนล่า เป็นกำลังสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้สำเร็จด้วยชัยชนะเหนือ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ที่สนาม เวมบลี่ย์ หลังจากนั้นเพียงแค่ปีเดียวเขาก็ถูกขายทิ้งให้กับ แอสตัน วิลล่า ด้วยราคาถึง 3 ล้านปอนด์ ในวัย 33 ปีเข้าให้แล้ว ซึ่งเส้นทางการค้าแข้งของเขาก็เริ่มดร็อปลงตามอายุอานามแล้วท้ายที่สุดก็เล่นให้กับ เอฟเวอร์ตัน เป็นสโมสรสุดท้าย และ แขวนรองเท้าในปี 2002…ซึ่งเขาได้รับเกียรตืจาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ บรรจุชื่อเข้า “หอเกียรติยศ” ในปี 2008 อีกด้วย


หลุยส์ ฟิโก้ ดาวเตะยุคบุกเบิกโปรเจ็คท์ “กาลาติกอส” ของประธานจอมเจ้าเล่ห์ “ฟลอเรนติโน่ เปเรซ

หลุยส์ ฟิโก้ (Luis Figo) : เขาคือหนึ่งในยุคทองของนักเตะ โปรตุเกส ร่วมกับ รุย คอสต้า และ เจา ปินโต้ ที่พาทีม ฝอยทอง ผงาดคว้า แชมป์โลกชุดอายุต่ำกว่า 20 ปี และ แชมป์ยูโรชุดอายุต่ำกว่า 16 ปี…เรียกได้ว่าดีกรีไม่ธรรมดาตั้งแต่เดินสายเป็นนักเตะอาชีพ…ฟิโก้ เริ่มต้นค้าแข้งกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน พาทีมเป็น แชปม์โปรตุกีส คัพ 1 สมัย แล้วย้ายไปร่วมทีม บาร์เซโลน่า ในปี 1995 ด้วยค่าตัวสูงถึง 2.25 ล้านปอนด์ แต่ถูกปล่อยให้ต้นสังกัดเดิมยืมตัวต่อจนจบฤดูกาล ก่อนหน้านั้นเขาเกือบจะได้ย้ายไปเล่นในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แต่ดันไปเซ็นสัญญาซ้อนกันสองทีมระหว่าง ปาร์ม่า และ ยูเวนตุส ส่งผลให้ลีกอิตาลีแบนถึง 2 ปี…เขาเป็นปีกสาย คลาสสิค ชอบเลี้ยงบอลเอาชนะคู่แข่งด้วยการแหวกผ่านไปด้วยเทคนิคต่างๆ อาทิ เช่น การสับขาหลอก หรือ ล็อคหลบจนหัวหมุน การแย่งบอลจากการครอบครองของเขานั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับกองหลังถ้าดวลกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งตลอด 5 ปีในการค้าแข้งให้กับ เจ้าบุญทุ่ม ช่วยทีมกวาดแชมป์ไปมากถึง 7 รายการเลยทีเดียวทั้งการแข่งขันระดับประเทศรวมกับระดับทวีป พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมชื่อดังอย่าง โรนัลโด้, ริวัลโด้ และ พาทริค ไคลเวิร์ต

ลีลาการเลี้ยงบอลของ ฟิโก้ นั้นดูสวยงามราวกับเต้นรำบนฟลอร์หญ้าเลยทีเดียว

ในปี 2000 ฟิโก้ เป็นนักเตะคนแรกที่ย้ายไปในโปรเจ็คท์ “กาลาติกอส” จากฝีมือของ “ฟลอเรนติโน่ เปเรซ” ที่จะกว้านซื้อนักเตะระดับโลกไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ปีละหนึ่งคนเป็นอย่างน้อย ซึ่งชื่อของ ฟิโก้ ถูกทาง เปเรซ นำไปใช้หาเสียงจนได้ตำแหน่งประธานมาครอง แล้วก็จัดการทุ่มเงินเป็นสถิติโลกในขณะนั้นราว 62 ล้านยูโรค้วตัว ฟิโก้ มาจากคู่อริตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลน่า อย่างเจ็บแสบ…ซึ่งปีนั้นสตาร์ทีมชาติโปรตุเกส ก็คว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาครองได้สำเร็จ ส่วนปีถัดมาก็ได้รับเลือกให้เป็น นักเตะยอดเยี่ยมของ Fifa ตลอดการค้าแข้งให้กับ ราชันชุดขาว เป็นเวลา 5 ฤดูกาล ช่วยทีมกวาดแชมป์ไปอีก 7 รายการทั้งภายในประเทศ และ ระดับทวีป หลังจากนั้น ฟิโก้ ย้ายไปร่วมทัพ อินเตอร์ มิลาน แบบไม่มีค่าตัวในปี 2005 และ พาต้นสังกัดกวาดแชมป์ในประเทศไปถึง 7 รายการ แล้วประกาศยุติเส้นทางการค้าแข้งในปี 2009


หนึ่งใน “ตำนานหมายเลข 7” ในถิ่น “โอลด์ แทรฟฟอร์ด

เดวิด เบ็คแฮม (David Beckham) : เบ็คแฮม เป็นหนึ่งในผลผลิตเยาชนของ ปีศาจแดง ชุด Class of 92 เช่นเดียวกับ พอล สโคลส์ และ แกรี่ เนวิลล์ ซึ่งเขาแจ้งเกิดในตำแหน่ง ปีกขวา มีท่าไม้ตายที่แฟนบอลต่างจำได้ดี คือ ลูกฟรีคิก และ การเปิดบอลจากด้านข้าง ในยุคที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครองความยิ่งใหญ่ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การคุมทัพของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน การโจมตีที่น่ากลัวจากปีกทั้งสองข้างเป็นทีเด็ดที่หลายทีมต่างขยาดหวาดกลัว ไรอัน กิ๊กส์ ใช้ความเร็วกระชากลากเลื้อยทางฝั่งซ้าย และ เดวิด เบ็คแฮม ครอสบอลเข้าไปจุดอันตรายให้กองหน้าเข้าทำจากฝั่งขวา เบ็คแฮม เป็นนักเตะที่มีเบสิคฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม ทั้งการ จับบอล, การจ่ายบอล และ การยิงประตู แม้ว่าเขาจะเป็นปีกที่ไม่มีความเร็วในการเอาชนะคู่แข่งในการกระชากลากเลื้อยแต่สิ่งอื่นๆ ต่างทดแทนให้เขาได้อย่างหมดจด…ตลอด 12 ฤดูกาลที่ เบ็คแฮม ขายวิญญาณให้กับ ปีศาจแดง กวาดแชมป์ไปทั้งหมดถึง 13 รายการเลยทีเดียว หลังจากเหตุการณ์ที่ เฟอร์กี้ เตะสตั๊ดไปโดนคิ้วของเขาจนเป็นแผลแตกทำให้อนาคตของเขากับสโมสรจบลงด้วยการย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ในปี 2003

รวมประตูทั้งหมดของ เบ็คแฮม ในสีเสื้อ ปีสาจแดง

นอกจากนั้น เบ็คแฮม เป็นนักเตะคนสุดท้ายของ กาลาติกอส ยุคแรก ซึ่งย้ายมาด้วยค่าตัวราว 37 ล้านยูโร มาผนึกกำลังร่วมกับเหล่าซูเปอร์สตาร์ในตอนนั้นอย่าง ราอูล, ซีดาน, โรนัลโด้, คาร์ลอส และ กาซิยาส เป็นต้น โดยตลอด 4 ฤดูกาลที่เขาอยู่กับ ราชันชุดขาว ก็ช่วยทีมคว้าแชมป์ไป 2 รายการ…โดยหลังจากนั้น เบ็คแฮม ก็พเนจรไปร่วมทีมอื่นๆ เช่น เอซี มิลาน, แอลเอ กาแล็กซี่ และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่เขาสามารถคว้าแชมป์ ลีก เอิง เป็นรายการสุดท้ายในอาชีพการค้าแข้งก่อนประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2013…ปัจจุบัน เบ็คแฮม เป็นเจ้าของสโสร อินเตอร์ ไมอามี่ ที่แข่งขันในศึก เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา


พาเวล เนดเวด อีกหนึ่งนักเตะจอมมุ่มมั่นที่คว้ารางวัล บัลลงดอร์ ในปี 2003

พาเวล เนดเวด (Pavel Nedved) : อดีตปีกทีมชาติสธารณรัฐเช็กรายนี้เริ่มต้นค้าแข้งในบ้านเกิดก่อนเป็นเวลาถึง 5 ฤดูกาลก่อนจะมาประสบความสำเร็จในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลีพาเวล เนดเวด เป็นปีกที่มีสไตล์การเล่นไม่เหมือนใคร มีจุดเด่นอยู่ที่ความมุ่งมั่นทุ่มเทที่เกินร้อย, วิ่งไม่มีหมด, เข้าปะทะหนักหน่วง และ ยิงบอลได้รุนแรงเฉียบคมทั้งสองเท้าที่นับว่าหาได้ยากยิ่ง รวมไปถึงเบสิคฟุตบอลที่แน่นปึ้กทั้งเรื่อง จับบอล, เลี้ยงบอล และ จ่ายบอลสั้นยาว ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอดเยี่ยม เนดเวด เริ่มเป็นที่รู้จักในการค้าแข้งให้กับ ลาซิโอ เป็นเวลาถึง 5 ฤดูกาล ช่วยทีมคว้าแชมป์ทุกรายการรวมทั้งหมดถึง 7 รายการทั้งระดับประเทศ และระดับทวีป แล้วถูกขายไปให้กับ ยูเวนตุส ไปด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 38.7 ล้านยูโรเลยทีเดียว ซึ่งทราบกันดีว่า เนดเวด ต้องเจอกับภาระอันใหญ่หลวงเพราะว่าตัวเขาต้องไปทดแทนการจากไปของยอดนักเตะอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน ที่ย้ายไป เรอัล มาดริด

ไฮไลท์การเล่นของ เนดเวด ตลอดการค้าแข้งทั้งหมด

อย่างไรก็ตามความมุ่มมั่นทุ่มเทของ เนดเวด ก็ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจแฟนบอล ม้าลาย ได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก หลังพาทีมคว้า สคูเด็ตโต้ ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ย้ายมาร่วมทีม โดยตลอด 8 ฤดูกาลที่ เนดเวด ใช้ชีวิตในเมือง ตูริน พาทีมกวาดแชมป์ไปทั้งหมดถึง 5 รายการด้วยกันเฉพาะในประเทศ…แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า ยูเวนตุส ถูกริบแชมป์ลีกฤดูกาล 2005/2006 จากคดี กัลโช่โปลี และถูกปรับตกชั้นไปเล่นในศึก กัลโช่ เซเรีย บี โดยที่ เนดเวด แสดงความจงรักภักดีกับสโมสรด้วยการไม่ย้ายทีมเหมือนสตาร์คนอื่นๆ อย่าง ลิลิยง ตูราม และ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เป็นต้น…เขาเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์แล้วได้กัลบมาเล่นลีกสูงสุดอีกครั้ง และเล่นให้กับทีมอีกสองฤดูกาลก่อนแขวนรองเท้าในปี 2009 ซึ่งเชื่อกันว่า เนดเวด ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรัง…ส่วนรางวัลส่วนตัวของเขาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ บัลลงดอร์ ปี 2003


โรแบร์ ปิแรส หนึ่งในกุญแจสำคัญที่พา อาร์เซน่อล เป็นแชมป์แบบไร้พ่าย

โรแบร์ ปิแรส (Robert Pires) : หนึ่งในนักเตะที่มีเบสิคฟุตบอลที่ดีที่สุดคนหนึ่ง โรแบร์ ปิแรส แม้จะเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย แต่ไม่ได้มีจุดเด่นอยู่ที่ความเร็ว หรือ การกระชากลากเลื้อยแบบทะลุทะลวง แต่เขาเป็นปีกในแบบที่ไม่เหมือนใครชอบหุบเข้าในมายิงประตูสำคัญๆ ได้เสมอ จนแฟนบอล เดอะ กันเนอร์ คุ้นตาเป็นอย่างดี…ปิแรส เป็นเด็กฝึกของ เม็ตซ์ ที่เกิดในประเทศฝรั่งเศสแต่มีพ่อเป็นคน โปรตุเกส และ แม่เป็นคน สเปน หลังจากช่วยต้นสังกัดคว้ามแชมป์บอลถ้วยได้หนึ่งรายการ ก็ถูก โอลิมปิก มาร์กเซย ยักษ์ใหญ่ในตอนนั้นดึงตัวไปร่วมทีม แม้ว่า ปิแรส จะโชวืฟอร์มได้อย่างโดดเด่นแต่กลับไม่มีแชมป์ติดมือเลยตลอดการค้าแข้งสามฤดูกาล แต่เขาก็เป็นหนึ่งในขุนพลที่พา ตราไก่ ผงาดเป็น แชมป์ฟุตบอลโลก 1998 ที่บ้านเกิด…ในที่สุด อาร์เซน เวนเกอร์ ก็ตัดสินใจทุ่มเงินราว 6 ล้านปอนด์ดึงตัวไปร่วมทีม อาร์เซน่อล ในปี 2000

รวมจังหวะการเล่นสวยๆ ของ ปิแรส ในช่วงที่ค้าแข้งกับ อาร์เซน่อล

การมาของ ปิแรส นั้นเป็นการเข้ามาทดแทนการจากไปของ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ปีกจรวดชาวฮอลแลนด์ที่ย้ายไปค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัวสถิติการขายผู้เล่นที่แพงที่สุดของทีม ปืนใหญ่ ในตอนนั้นด้วยราคา 25 ล้านปอนด์…อย่างไรก็ตาม ปิแรส นั้นต้องใช้เวลาปรับตัวกับศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หนึ่งฤดูกาลเต็ม หลังเคยออกมาให้ภาษณ์ว่า “ฟุตบอลอังกฤษเน้นเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกาย และ การเข้าปะทะที่หนักหน่วงมากเกินไป” จนถูกแฟนบอลบางส่วนตำหนิ…แต่เมื่อเริ่มคืนฟอร์มเก่ง ปิแรส ก็กลายเป็นหนึ่งใจกุญแจสำคัญในชุด “แชมป์ไร้พ่าย” ที่มีคนนิยามการประสานงานที่เข้าขารู้ใจว่า “French Connection” ซึ่งมีนักเตะแกนหลักเป็นชาวฝรั่งเศสทั้ง “ปิแรส, วิเอร่า และ อองรี” รูปแบบการบุกของ อาร์เซน่อล ยุคนั้นเล่นบอลได้อย่างสวยงาม และ เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ…ไม้ตายคือความเข้าขารู้ใจของแนวรุกที่เคลื่อนที่กันอย่างอิสระทุกคนสามารถสอดขึ้นไปเป็นตัวจบสกอร์ได้ทั้งหมดตั้งแต่แผงกลางยันกองหน้า มีการต่อบอลทำชิ่งกันไปมาอย่างรวดเร็วจนยากที่จะต้านทานได้…ตลอดการค้าแข้งในกรุงลอนดอน ปิแรส พาทีมเป็นแชมป์ลีก และ เอฟเอ คัพ อย่างละสองสมัย หลังจากนั้นก็พเนจรไปค้าแข้งกับ บียาร์เรอัล, แอสตัน วิลล่า และ เอฟซี โกอา (ประเทศอินเดีย) นิยามของปีกรายนี้ คือ “Simply is the best.


เจย์-เจย์ โอโคชา เป็นแกนหลักให้กับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ในช่วงที่ยังเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

เจย์เจย์ โอโคชา (JayJay Okocha) : นี่คือนักฟุตบอลที่เริ่มต้นมาจากการเล่น “Street Football” หรือ “บอลข้างถนน” มาก่อนในบ้านเกิด…จนได้ย้ายมาเล่นในประเทศเยอรมันในปี 1990 ช่วงที่ทีมชาติ เยอรมันตะวันตก ครองบัลลังก์ แชมป์โลกโอโคชา เป็นนักฟุตบอลที่มีทักษะอันเหลือล้น, มีการควบคุมบอลที่น่าทึ่ง และ ลูกเล่นที่แสนแพรวพราวหาตัวจับได้ยาก จนถูกตั้งฉายาให้ว่า “The Wizard” หรือว่า “พ่อมด“…ตลอดการเล่นแดน อินทรีเหล็ก ตลอด 7 ปีให้กับ Borussia Neunkirchen และ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต เขาประสบความสำเร็จแค่แชมป์ลีกดิวิชั่นล่าง 1 สมัย กับ บอลถ้วยเล็ก 2 สมัยเท่านั้น หลังจากที่ อินทรีแดงดำ ต้องตกชั้นเขาก็ย้ายไปเล่นกับ เฟเนบาห์เช่ ในประเทศ ตุรกี และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ตามลำดับเก็บถ้วยมาได้อีก 4 รายการ…ในที่สุดเขาก็ได้ย้ายมาเล่นให้กับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส แบบไม่มีค่าตัวหลังจบศึก ฟุตบอลโลก 2002ิ จนทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น

รวมไฮไลท์ที่น่าตื่นตาตื่นใจของ โอโคชา ในการเล่นให้กับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส

การย้ายมาเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกหลากหลายประเทศ ทำให้ชื่อของ โอโคชา เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง เพราะว่า ลีลาการเล่นของเขาในสนามที่เอนเตอร์เทนแฟนบอลอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้ชมนั้นรู้สึกตื่นตะลึง และ รอคอยว่า โอโคชา จะโชว์การเล่นสวยๆ แบบไหนต่อไป แม้ว่าเขาจะไม่มีความเร็วที่จัดจ้านแต่ยากที่จะหาคนมาแย่งบอลไปจากเท้าของเขาได้…เขามักจะหลอกคู่แข่งจนหัวปั่น และ เลี้ยงผ่านไปแบบดื้อๆ บ่อยครั้ง แต่ด้วยความที่ โบลตัน ไม่ใช่ทีมที่มีลุ้นแชมป์รายการต่างๆ ทำให้ โอโคชา พาทีมไปได้ไกลสุดแค่ตำแหน่งรองแชมป์ ลีก คัพ เท่านั้น โดยหลังจากอยู่กับทีมเป็นเวลา 4 ฤดูกาล โอโคชาฺ ก็ย้ายไปเล่นให้กับ กาตาร์ เอสซี และ ฮัลล์ ซิตี้ ตามลำดับ และ แขวนสตั๊ดเมื่อจบฤดูกาล 2008

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top