7 นักเตะ!!! ที่หวนกลับไปแขวนสตั๊ดกับทีมแรกที่ลงเล่น

นักฟุตบอล เป็นอาชีพที่หลายๆ คนใฝ่ฝัน และ อยากก้าวไปมีเส้นทางการค้าแข้งเหมือนดาวเตะชื่อก้องโลกหลายๆ คน…หลายคนต้องมีเส้นทางที่ยากลำบากในอาชีพผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ก่อนที่จะเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลก ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของพวกเขาหนีไม่พ้นคำว่า “โอกาส” ที่พาพวกเขาเหล่านั้นเริ่มต้นสู่ก้าวแรกของการเป็นนักเตะอาชีพ แล้วตอนบั้นปลายก็สำคัญไม่แพ้กันเพราะนักเตะดังๆ มีทางเลือกที่จะจบอาชีพได้มากมาย…ในวันนี้ทีมงาน 168Kick จะนำท่านผู้อ่านไปรู้จักกับ 7 นักเตะที่เลือกจบเส้นทางการค้าแข้งของพวกเขากับสโมสรแรกในการเป็นนักเตะอาชีพว่ามีใครกันบ้าง?

ดิเอโก้ มิลิโต้ ไว้ลายยอดดาวยิงด้วยการย้ายกลับไปเล่นให้กับ ราซิ่ง คลับ แล้วก็พาทีมคว้าแชมป์ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรก

ดิเอโก้ มิลิโต้ (Diego Milito) – ราซิ่ง คลับ (Racing Club)

มิลิโต้ เริ่มต้นการค้าแข้งกับทีมในบ้านเกิด ราซิ่ง คลับ ในปี 1999 ซึ่งตลอด 5 ฤดูกาลที่ค้าแข้งให้กับทีม ลงสนามไปทั้งสิ้น 148 นัด ทำไปทั้งหมด 37 ประตู หลังจากนั้นจึงย้ายไปผจญภัยในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี กับสโมสร เจนัว ในปี 2003 แล้วที่นี่เองก็ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น…มิลิโต้ เป็นศูนย์หน้าที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการจบสกอร์ที่เฉียบคม และ การหาตำแหน่งที่ดีสำหรับพังประตู โดยหลังจากนั้นชีพจรก็ลงเท้าไปเล่นในศึก ลาลีกา สเปน กับสโมสร เรอัล ซาราโกซ่า, ย้ายกลับมาเล่นให้กับ เจนัว และไปถึงจุดสูงสุดของอาชีพค้าแข้งกับ อินเตอร์ มิลาน ภายใต้การคุมทัพของ โชเซ่ มูรินโญ๋ ด้วยการคว้า เทรบเบิ้ลแชมป์ ในฤดูกาล 2009/2010 ประกอบไปด้วย แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา, โคปปา อิตาเลีย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เขาเป็นคนเหมายิงสองประตูในนัดชิงชนะเลิศ

รวมทุกประตูของ มิลิโต้ ภายใต้สีเสื้อของ อินเตอร์ มิลาน

ในปี 2014 มิลิโต้ ตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นในบ้านเกิดให้กับ ราซิ่ง คลับ ที่เป็นสโมสรแรกในการเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งของเขา ซึ่งเขายังคงแสดงให้เห็นถึงการเป็นยอดดาวยิงอยู่เช่นเดิมด้วยการกดไปทั้งหมด 21 ประตูจากการลงสนามทั้งหมด 59 นัดตลอดสามฤดูกาล ช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ Transicion ไ้ตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายกลับมา…ต่อมาเขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 37 ปี และกลายเป็นผู้เล่นที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของทีม และเมื่อจบนัดสุดท้ายในอาชีพการค้าแข้ง แฟนบอลต่างลุกขึ้นยืนให้ความเคารพพร้อมปรบมือดังกึกก้องทั้งสนาม ปิดสถิติเส้นทางนักฟุตบอลไว้ที่ 254 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมดทุกรายการ 597 นัดในระดับสโมสร


เดิร์ก เคาท์ หวนกลับมาใส่สตั๊ดช่วยต้นสังกัดแรกอย่าง ควิก บอยส์ ในการลุ้นเลื่อนชั้น

เดิร์ก เคาท์ (Dirk Kuyt) – ควิก บอยส์ (Quick Boys)

เคาท์ เกิดในครอบครัวของชาวประมงที่ทำได้ดีทั้งการจับปลา และเล่นฟุตบอล ซึ่งเขาฝึกฟุตบอล และเริ่มต้นเล่นให้กับทีมสมัครเล่นในท้องถิ่นที่มีชื่อว่า ควิก บอยส์ มาตั้งแต่ 5 ขวบ แล้วพอเขาอายุ 17 ปีก็เป็น อูเทร็คช์ ทีมในศึก เอเรดิวิซี่ ลีก ฮอลแลนด์ ที่อยู่ในลีกสูงสุดเห็นแววจึงดึงตัวเขาไปร่วมทีม…เคาท์ ไม่ใช่นักเตะที่เล่นได้อย่างสวยงาม, ไม่มีทักษะแพรวพราว, ไม่ได้มีความเร็วจัดจ้าน และ ไม่ได้มีพรสวรรค์ที่เหลือล้นเหมือนใครๆ แต่สิ่งเดียวที่เขามีเหนือกว่าคนอื่น คือ ความมุ่งมั่นทุ่มเทที่เกินร้อย…หลังจากทำผลงานได้โดดเด่นก็ถูก เฟเยนูร์ด ร็อตเธอร์ดัม ดึงตัวไปเสริมทัพ แล้วเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการคว้าตำแหน่งดาวซัลโวลีกดัตช์ไปหนึ่งสมัย…ซึ่งฝีเท้าของเขาก็ไปเตะตา ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ที่คว้าตัวเขาไปเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

รวมทุกประตูของ เคาท์ ภายใต้สีเสื้อ หงส์แดง

แม้ว่าตลอด 6 ฤดูกาลกับ หงส์แดง เขาไม่ได้เป็นกองหน้าที่ยิงประตูระเบิดระเบ้ออย่างที่แฟนๆ คาดหวัง แต่ความทุ่มเทของเขาให้กับทีมนับว่าไม่เป็นรองใครหน้าไหน จนถูกทาง เบนิเตซ ยกย่องให้เป็น มิสเตอร์ดูราเซลล์ ที่วิ่งตลอดเกมแบบไม่มีหมด…ต่อมา เคาท์ ย้ายไปเล่นให้กับ เฟเนบาห์เช่ และกลับคืนสู่ถิ่น เดอ ไคป์ ของ เฟเยนูร์ด ที่เขาสร้างชื่ออีกครั้ง ซึ่งเขาก็ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกฮอลแลนด์ได้สำเร็จในฤดูกาล 2016/2017 แถมยังยิงแฮตทริกในการลงสนามนัดสั่งลาได้อีกด้วยหลังจากนั้นก็ประกาศแขวนสตั๊ดในอีกสามวันต่อมา…อย่างไรก็ตาม เคาท์ ในวัย 37 ปี ตัดสินใจกลับมาลงเล่นฟุตบอลอีกครั้งให้กับ ควิก บอยส์ ที่เป็นสโมสรที่จุดประกายอาชีพนักฟุตบอล เพื่อช่วยทีมลุ้นเลื่อนชั้นแบบชั่วคราวแค่ 3 เกม แล้วจึงเลิกเล่นแบบเป็นทางการในที่สุด


ฟาน เพอร์ซี่ กลับมาเล่นให้กับ เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ (Robin Van Persie) – เฟเยนูร์ด ร็อตเธอร์ดัม (Feyenoord Rotterdam)

ฟาน เพอร์ซี่ เป็นผลผลิตจากอะคาเดมี่ของสโมสร เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม ที่เป็นนักฟุตบอลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์, มีการจบสกอร์ที่เฉียบคมอย่างมาก และ มีทักษะการครอบครองบอลที่ยอดเยี่ยม…ปัจจัยทุกอย่างที่กล่าวมาทำให้เขาได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 16 ปีเศษในตำแหน่งปีกซ้าย แล้วตลอด 3 ฤดูกาลที่อยู่กับทีม เป็นหนึ่งในขุนพลที่พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ 1 สมัย ก่อนถูกกุนซือตาเหยี่ยวอย่าง อาร์เซน เวนเกอร์ คว้าตัวไปร่วมทีม อาร์เซน่อล ในปี 2004 แม้ว่าจะถูกอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอด แต่ยามใดที่ ฟาน เพอร์ซี่ ลงสนามก็สามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นอยู่เสมอ แล้วจากการที่ถูก เวนเกอร์ ปรับให้เขาไปยืนในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าก็ทำให้เขากลายเป็นยอดดาวยิงที่หาตัวจับได้ยาก จนสามารถคว้ารางวัลดาวซัลโวได้ในฤดูกาล 2011/2012 จากการยิงไป 30 ประตู แล้วคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ กับ คอมมูนิตี้ ชิลด์ ได้อย่างละ 1 สมัย…

รวมทุกประตูของ ฟาน เพอร์ซี่ ที่ยิงให้ อาร์เซน่อล ในฤดูกาล 2011/2012

ในปี 2012 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจคว้าตัว ฟาน เพอร์ซี่ ไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทำให้เขาสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยแรกสมัยเดียวได้ในปีนั้นควบกับรางวัลดาวซัลโวอีกหนึ่งสมัย หลังจากที่ เฟอร์กี้ วางมืออนาคตของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป…ในปี 2015 เขาก็ย้ายไปร่วมทีม เฟเนบาห์เช่ เป็นเวลา 3 ฤดูกาล ก่อนย้ายกลับไปเล่นให้กับ เฟเยนูร์ด ที่เขาเริ่มต้นอาชีพในปี 2017 แล้วพาทีมเป็นแชมป์ KNVB Cup และ Johan Cruyff Shield ได้อย่างละครั้งก่อนแขวนสตั๊ดในปี 2019 ซึ่งในปัจจุบัน ฟาน เพอร์ซี่ ยังเป็นเจ้าของตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของ ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ด้วยการยิงไปทั้งหมด 50 ประตู


ซานตาครูซ สวมปลอกแขนนำทัพ คลับ โอลิมเปีย ลงสนามในช่วงบั้นปลายการค้าแข้ง

โรเก้ ซานตา ครูซ (Roque Santa Cruz) – คลับ โอลิมเปีย (Club Olimpia)

ซานตา ครูซ เป็นผลผลิตของศูนย์ฝึกเยาวชนของ คลับ โอลิมเปีย ในประเทศปารากวัย ซึ่งเขาเป็นกองหน้าที่มีความโดดเด่นในเรื่องของรูปร่างที่สูงโปร่ง, การครอบครองบอลที่ยอดเยี่ยม และ การจบสกอร์ที่ไว้ใจได้…ด้วยความโดดเด่นเกินวัยทำให้เขาได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 15 ปีเศษเท่านั้น และเป็นขุนพลที่ช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 3 สมัยติดต่อกัน หลังจากนั้น บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน ก็คว้าเขาไปร่วมทีมในปี 1999 แต่ว่าตลอดการค้าแข้งให้กับ เสือใต้ เป็นเวลา 8 ฤดูกาลนั้นถูกอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดจนทำผลงานได้ไม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้ลงเล่นไปแค่ 238 นัด และทำไป 54 ประตูเท่านั้นในทุกรายที่ลงสนาม…อย่างไรก็ตาม ซานตา ครูซ ก็คว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ไปได้ถึง 13 รายการ อาทิ เช่น บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ โพคาล และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นต้น

ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด!!!ซานตา ครูซ ในวัย 38 ปี เหมาคนเดียว 4 ประตูให้กับ คลับ โอลิมเปีย

ในปี 2007 มาร์ค ฮิวจ์ส ผู้จัดการทีม แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คว้าตัว ซานตา ครูซ มาร่วมทีม และก็ทำผลงานในปีแรกได้อย่างน่าประทับใจด้วยการยิงไปถึง 19 ประตู อย่างไรก็ตามเป็นการระเบิดฟอร์มแค่ปีเดียวเท่านั้นก่อนที่ชีพจรลงเท้าพเนจรไปเล่นกับหลายสโมสร อาทิ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, มาลาก้า, เรอัล เบติส และ ครูซ อาซูล แล้วในที่สุดในปี 2016 เขาเดินทางกลับไปยังประเทศปารากวัย แล้วได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแฟนบอลของ คลับ โอลิมเปีย จึงทำให้ ซานตา ครูซ ตัดสินใจเซ็นสัญญากับทีมที่เป็นต้นสังกัดแรกของเขาอีกครั้ง นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันเขาก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการสวมปลอกแขนกัปตันทีมกวาดไปถึง 3 แชมป์…แถมในฤดูกาลนี้ ซานตา ครูซ ในวัยเกือบ 39 ปีก็กดไปแล้วถึง 7 ประตู จากการลงสนาม 8 นัด ยังไม่มีแววจะแขวนสตั๊ดแต่อย่างใด โดยที่เขายังเป็นเจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติปารากวัยที่ 32 ประตูอีกด้วย


มาร์เกซ ยอดกองหลังชาวเม็กซิโก ที่ได้ลงเล่นในศึกฟุตบอลโลก 5 ครั้ง ในปี 2002, 2006, 2010, 2014และ 2018

ราฟาเอล มาร์เกซ (Rafael Marquez) – แอตลาส (Atlas)

มาร์เกซ เริ่มต้นค้าแข้งเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับทีมในบ้านเกิดอย่าง แอตลาส แล้วก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปีเศษ…เขาเป็นนักเตะที่เล่นในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง แต่ด้วยทักษะพื้นฐานที่โดดเด่น, มีวิชั่นในการจ่ายบอล และ อ่านเกมในการตัดบอลได้ยอดเยี่ยม ทำให้สามารถถูกดันไปเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับได้ด้วย หลังจากนั้นในปี 1999 ก็ถูกยักษ์ใหญ่จากแดนน้ำหอมอย่าง อาแอส โมนาโก ดึงตัวไปร่วมทัพ แล้วก็เป็นการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่าเมื่อเขากลายเป็นส่วนสำคัญช่วยทีมคว้าแชมป์ ลีก เอิง ได้สำเร็จ 1 สมัย และบอลถ้วยอีกหนึ่งรายการ รวมไปถึงมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลอีกด้วย

ไฮไลท์การเล่นสวยๆ ของ มาร์เกซ ตลอดอาชีพการค้าแข้ง

ในปี 2003 บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่จากศึก ลาลีกา สเปน ดึงตัว มาร์เกซ ไปร่วมทัพ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะชาวเม็กซิโกคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ซึ่งตลอด 7 ฤดูกาลเขาช่วยทีมกวาดแชมป์เมเจอร์ไปถึง 12 รายการเลยทีเดียว และเป็นนักเตะ เม็กซิกัน คนแรกที่คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ…หลังจากถูกปล่อยตัวในปี 2012 มาร์เกซ ก็เริ่มชีพจรลงเท้าพเนจรไปค้าแข้งกับหลายสโมสร อาทิ เช่น นิวยอร์ค เร้ดบูลส์, คลับ เลออน และ เฮลลาส เวโรน่า แล้วท้ายที่สุดก็มาลงเอยกับ แอตลาส สโมสรตั้งต้นที่กลายเป็นสโมสรสุดท้ายในการค้าแข้งของเขาเช่นกันหลังประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2018


ยอดตำนานทีมชาติยูเครน อังเดร เชฟเชนโก้ กลับมาตายรังที่บ้านเกิด

อังเดร เชฟเชนโก้ (Andriy Shevchenko) – ดินาโม เคียฟ (Dynamo Kyiv)

เชฟเชนโก้ เป็นผลผลิตจากศูนย์ฝีกเยาวชนของ ดินาโม เคียฟ ที่ก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปีเศษเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่แม้แต่จะผ่านการคัดเลือกเข้าไปเล่นในโรงเรียนกีฬาในกรุง เคียฟ ด้วยซ้ำ แต่ทีมงานแมวมองของ ดินาโม เคียฟ ที่ติดตามผลงานในรายการต่างๆ ที่เขาลงแข่งตัดสินใจเซ็นสัญญาเพราะเชื่อมั่นในฝีเท้า แล้วในวัยเพียงแค่ 14 ปีก็สามารถก้าวขึ้นไปเป็นดาวซัลโวในการแข่งขัน Ian Rush Cup ได้สำเร็จ และได้รางวัลเป็นรองเท้าจากดาวยิงหน้าติดหนวด หลังจากขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ตลอด 5 ฤดูกาล เชฟเชนโก้ เป็นส่วนสำคัญของทีมในการคว้าแชมป์ภายในประเทศไปถึง 11 รายการ แล้วจากผลงานในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทำให้ เอซี มิลาน ทุ่มเงินกว่า 25 ล้านดอลล่าร์สสหรัฐฯ คว้าตัวเขาไปร่วมทีมในปี 1999

ไฮไลท์ประตูของ เชฟเชนโก้ ในศึก กัลโช่ เซเรีย อา ที่ว่ากันว่าเป็นช่วงที่พีคที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของเขา

ด้วยการที่ เชฟเชนโก้ เป็นศูนย์หน้าที่โดดเด่นในเรื่องของการจบสกอร์ที่เฉียบคม, มีความเร็ว และ มีสัญชาติญาณของกองหน้าที่ยอดเยี่ยม ทำให้ตลอดการค้าแข้งในอิตาลี 7 ฤดูกาล พาทีมกวาดไปทั้งสิ้น 5 แชมป์ทั้งในประเทศ และ ระดับทวีป แถมยังเป็นดาวซัลโวในศึก กัลโช่ เซเรีย อา 2 สมัย รวมไปถึงคว้ารางวัล บัลลงดอร์ 2004 มาครองได้สำเร็จ…ในปี 2006 เชลซี ทุ่มเงินราว 30.8 ล้านปอนด์ คว้าตัว เชฟเชนโก้ ไปร่วมทีมตามคำสั่งของ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียที่เป็นเจ้าของทีม แต่ตลอดการค้าแข้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นเวลา 4 ปี เชฟเชนโก้ ไม่เคยฉายแววยอดดาวยิงออกมาได้เลย และการย้ายกลับไปเล่นให้กับ ปีศาจแดงดำ ช่วงสั้นๆ ก็ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิม…ท้ายที่สุดในปี 2009 เชฟเชนโก้ กลับไปเล่นให้กับ ดินาโม เคียฟ สโมสรแรกที่เขาสร้างชื่ออีกครั้ง และเล่นให้ทีม 3 ฤดูกาล พาทีมคว้าแชมป์ ยูเครน ซูเปอร์ คัพ ได้หนึ่งถ้วย ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2012 เพื่อไปเล่นการเมือง…ปัจจุบัน เชฟเชนโก้ ยังครองสถิติดาวยิงสูงสุดของทีมชาติ ยูเครน ด้วยการทำไปทั้งสิ้น 48 ประตู


การครองบัลลังก์ สกอตติช พรีเมียร์ลีก ของ เซลติก มีดาวยิงอย่าง ลาร์สสัน เป็นกุญแจสำคัญ

เฮนริค ลาร์สสัน (Henrik Larsson) – โฮกาบอร์กส บีเค (Hogaborgs BK)

ลาร์สสัน เป็นยอดดาวยิงสไตล์มือปืนรับจ้างที่พเนจรไปช่วยสร้างผลงานที่น่าจดจำให้กับหลายทีมทั่วยุโรป ที่มีจุดเด่นในเรื่องของเซ้นส์ฟุตบอลที่หาตัวจับได้ยาก, ฉลาดในการเลือกจังหวะเล่น และ ครบเครื่องในสิ่งที่กองหน้าควรมี…เขาเริ่มต้นฝึกฟุตบอลกับ โฮกาบอร์กส บีเค ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ซึ่งเขากล่าวไว้ว่าที่แห่งนี้ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องการค้าแข้ง และ การใช้ชีวิตจนทุกวันนี้ ลาร์สสัน เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพแบบกึ่งผู้เล่นอาชีพเพราะควบงานแพ็คผลไม้ไปด้วยตั้งแต่อายุ 18 ปีเศษยาวนานไปถึง 4 ฤดูกาล แล้วในปี 1992 ก็กลายเป็นนักเตะอาชีพแบบเต็มตัวด้วยการย้ายไปเล่นให้กับ เฮลซิงบอร์ก แล้วพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จด้วยการยิงไปถึง 51 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 61 นัดตลอดสองฤดูกาล

ไฮไลท์รวมประตูสวยๆ ของ ลารสสัน

ในปี 1993 ลาร์สสัน ย้ายออกนอกประเทศบ้านเกิดไปเล่นให้กับ เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม พาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยได้ 2 สมัย ต่อมาก็เริ่มต้นพเนจรไปทั่วยุโรปด้วยการย้ายไปเล่นให้กับ เซลติก, บาร์เซโลน่า, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เฮลซิงบอร์ก (อีกครั้ง) และคว้าแชมป์ไปทั้งสิ้นถึง 14 รายการ แม้ว่าเขาจะเคยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บหนักจากการขาหัก แต่ ลาร์สสัน กลับมาได้อย่างแข่งแกร่งกว่าเดิมด้วยการคว้ารางวัล รองเท้าทองคำ จากการยิงประตูสูงสุดในหนึ่งฤดูกาลในลีกยุโรปด้วยจำนวนทั้งสิ้น 51 ประตู โดยภาพจำของแฟนฟุตบอลส่วนมาก คือ การเล่นให้กับ ม้าลายเขียวขาว ที่เขายืงไปถึง 242 ประตู จากการลงเล่นทุกรายการ 313 นัด…ในปี 2009 ลาร์สสัน ตัดสินใจแขวนรองเท้าเป็นครั้งแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วก็หวนกลับมาใส่สตั๊ดอีกครั้งในปี 2013 ที่ได้ลงเล่นร่วมกับลูกชายของเขาที่มีชื่อว่า จอร์แดน ให้กับสโมสร โฮกาบอร์กส บีเค อีกครั้ง เนื่องจากทีมมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บเยอะเกินไป…ปัจจุบัน ลาร์สสัน เป็นผู้จัดการทีมของ เฮลซิงบอร์ก


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.dreamteamfc.com

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top