10 ชัยชนะสุดยิ่งใหญ่บนเวทียุโรปของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 1990

ในช่วงยุค 90s แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือสโมสรที่ทุกสโมสรในยุโรปต่างก็อยากเผชิญหน้าด้วย ความแข็งแกร่ง และหัวจิตหัวใจที่ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ใส่ลงไปทำให้ทีมอย่าง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และบาเยิร์น มิวนิค ต้องหนักใจทุกครั้งเมื่อเจอกัน ครั้งนี้จะพาย้อนไปให้ผู้อ่านรำลึกถึง 10 เกมที่ปีศาจแดงออกอาละวาดไปทั่วผืนแผ่นดินยุโรป…


10. ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น 0 – 5 แมนเชสเตอร์, ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม (2013)

นับตั้งแต่ เซอร์ อเล็ก เปอร์กูสัน รีไทน์ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม เกมที่ ยูไนเต็ด ไล่ขยี้คู่แข่งคือของหายากที่จะได้เห็น แต่บนเวทียูฟ่า แชมป์ลีก ในยุคของกุนซือที่แฟนผีแดงไม่รักอย่าง เดวิด มอยส์ ได้สร้างหนึ่งในชัยชนะที่สวยงามด้วยการบุกไปฆาตกรรม ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ถึงเยอรมัน

การไล่ถล่มแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่ ยูไนเต็ด ก็ทำให้เห็น, เกมนี้ เวย์น รูนีย์ ระเบิดฟอร์มสุดโหดทำไป 4 แอสซิสต์ ขณะที่ อันโตนิโอ วาเลนเซีย, จอนนี่ อีแวนส์, คริส สมอลลิ่ง และนานี่ ช่วยกันยิงคนละ 1 ประตู เปิดทางให้ ยูไนเต็ด ผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ นี่ถือเป็นหนึ่งในค่ำคืนที่น่าจดจำของเหล่าสาวก ยูไนเต็ด ในยุคที่ไม่มีเซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน คุมทีมอยู่ข้างสนาม


9.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 – 1 บาเยิร์น มิวนิค, ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ (1999)

เกมนี้คือหนึ่งในเกมประวัติศาสตร์ของนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูไนเต็ด เล่นได้อย่างน่าผิดหวัง หลังจากที่พวกเขาไม่สามารถใช้งาน รอย คีน และพอล สโคล ลงสนามในเกมนัดนี้ได้ และพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้นยังต้องเหนื่อยกันจนถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล

ไรอัน กิ๊กส์, นิกกี้ บัตต์, เดวิด เบ็คแฮม และเจสเปอร์ บรอมควิสต์ ไม่ใช่ชุดกองกลางที่ เฟอร์กูสัน คิดจะส่งลงเกมนี้แน่นอน และยูไนเต็ด ยังต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุดเลวร้ายจากการที่โดนยิงประตูขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม. ก่อนหมดเวลาประตูสู่การสร้างปาฏิหาริย์เกือบจะโดนปิดลงเมื่อ คาร์สเท่น ยานเคอร์ ยิงลูกจักยานอากาศจ่อๆชนิด ปีเตอร์ ชไวเคิ่ล ได้แต่ยืนมองแต่บอลเจ้ากรรมดันพุ่งไปจูบคานสนั่น และแน่นอนว่าเมื่อไม่ได้ประตูหนีห่างออกไป ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของเกมแฟนบอลทุกคนต่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…


8.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 0 บาร์เซโลน่า, ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ (2008)

พอล สโคล พลาดลงเล่นเกมนัดชิงชนะเลิศรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกปี 1999 แต่เกมนี้เขาได้ทำประตูสุดสวยต่อหน้าสาวก เร้ด อาร์มี่ ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด, เกมนี้ ปีศาจแดง เปลี่ยนแผนส่ง 3 ผสานอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เวนย์ รูนี่ย์ และคาลอส เตเวซ ลงสนามพร้อมกันเพื่อใช้สวนกลับ บาร์เซโลน่า โดยเฉพาะ แต่ใครจะไปรู้ว่าการปรับแผนเล็กน้อยครั้งนี้ กลับกลายเป็นการถือกำเนิดของหนึ่งใน 3 ผสาน ที่พาปีศาจแดงประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร

เกมเลกแรกที่ คัมป์ นู, ยูไนเต็ด บุกไปยันเสมอมาได้ 0-0, เกมเรกสอง เริ่มเกมมาเหมือนโชคจะไม่อยู่กับเจ้าบ้านเมื่อ โรนัลโด้ ดันมาพลาดจุดโทษตั้งแต่นาทีที่ 3 ของเกม แต่นาทีที่ 14 พอล สโคล ก็จัดการสังหารระยะไกลกว่า 30 หลา บอลพุ่งเข้าไปเสียบสามเหลี่ยมของตาข่ายอย่างหมดจด ส่งยอดทีมจากประเทศสเปนกลับบ้านไปแบบสะใจแฟนบอล


7.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 – 3 เรอัล มาดริด, ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย (2003)

ชัยชนะในบ้านที่น่าเหลือเชื่อ ต่อหนึ่งในทีมที่โดนยกให้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล เกมนี้เป็นนัดหยุดโลก ที่สองยักษ์ใหญ่แห่งยุคเดินหน้าแลกหมัดใส่กันไม่ยั้ง

เกมในเลกแรก ปีศาจแดง บุกไปพ่ายให้กับ ราชันชุดชาว 3-1 แม้โอกาสที่จะพลิกเข้ารอบจะยากแต่ ยูไนเต็ด ก็ยังไม่ยอมแพ้ ประตูของ รุด ฟาน นิสเตลรอย, เดวิด แบ็คแฮม และการทำเข้าประตูตัวเองของ อิบัน เอลเกรา สร้างความหวังในการพลิกเข้ารอบให้กับ ยูไนเต็ด แต่อย่างไรก็ตามฝันก็โดนดับด้วยฝีเท้าอันยอดเยี่ยมของ โรนัลโด้(R9) แม้จะไม่ได้ไปต่อ แต่ชัยชนะเกมนี้ก็แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของยูไนเต็ด และการพ่ายแพ้เกมนี้ก็ทำให้เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ตัดสินใจเริ่มปรับปรุงทีมใหม่ ก่อนที่จะนำไปสู่การคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกในปี 2008


6.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 – 1 บาร์เซโลน่า, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ รอบชิงชนะเลิศ(1991)

หลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เฮย์เซล ทำให้ทุกสโมสรจากประเทศอังกฤษโดนแบนออกจากการแข่งขันรายการฟุตบอลยุโรปเป็นเวลาถึง 5 ปี นั้นทำให้บรรดานักเตะระดับท็อปของอังกฤษหลายคนตัดสินใจออกเดินทางไปค้าแข้งที่ต่างแดน รวมไปถึง มาร์ค ฮิวจ์ส ที่ย้ายไปร่วมทัพ บาร์เซโลน่า ที่มี เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ เป็นผู้จัดการทีม แต่ ฮิวจ์ส ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ที่สเปน จึงโดนขายกลับมาให้กับต้นสังกัดเก่าอย่าง ยูไนเต็ด, รายการยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ รอบชิงชนะเลิศ ถือเป็นครั้งแรกที่ ฮิวจ์ส ต้องลงเผชิญหน้ากับค้นสังกัดเก่า(บาร์ซ่า)

กองหน้าสัญชาติอังกฤษเบิกประตูแรกให้กับทีมต่อหน้าแฟนที่เข้ามาชมกันแน่นสนามเดอ ไคป์ สเตเดี้ยม ในนาทีที่ 67 ของเกมการแข่งขัน หลังจากนั้นเขาก็มายิงประตูที่ 2 ของตัวด้วยการเตะบอลหลบ การ์เลส บุสเก็ตส์ นายประตูของบาร์ซ่า เข้าไปยิงอย่างเลือดเย็น

ทางยอดทีมจากประเทศสเปนก็ไม่ยอมง่ายๆมาได้ประตูไล่มาจาการซัดฟรีคิกระยะไกลสุดสวยของ โรนัลด์ คูมัน หลังจากนั้น บาร์เซโลน่า พยายามจะเอาประตูตีเสมอ แต่ก็ส่งบอลผ่านเส้นประตูไม่ได้ ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาคว้าแชมป์บอลยุโรปได้อีกครั้ง แม้จะไม่ได้สัมผัสกับเวทียุโรปมานานถึง 5 ปีก็ตาม


5.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 – 0 ปอร์โต้, ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย(1997)

ปอร์โต้ ทำผลงานในรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างไร้เทียมทาน พวกเขาไม่แพ้ใครแม้แต่เกมเดียว เก็บได้ 16 คะแนน จาก 18 คะแนนเต็ม, แต่ยอดทีมจากโปรตุเกส ก็ต้องถูกพิชิตด้วยฝีเท้าอันยอดเยี่ยมของ เอริค เดอะ คิงคันโตน่า

ไลน์อัพเกมรุกของทีมปีศาจแดงในเกมนี้ ด้านข้างทั้งสองฝั่งเป็น เดวิด แบ็คแฮม และ ไรอัน กิ๊ก ตรงกลางบัญชาการเกมโดย เอริค คันโตน่า ส่วนแดนหน้ามี 2 หัวหอก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เล่นร่วมกันกับ แอนดี้ โคล, ทัพปีศาจแดง ได้ประตูออกนำจากจังหวะฟรีคิกที่เปิดเข้ามาในกรอบเขตโทษ บอลมาเข้าทาง เดวิด เมย์ ซัดในระยะเผาขนเข้าไป จากนั้น เอริค คันโตน่า ก็มาเพิ่มสกอร์ให้กับทีมจากจังหวะความผิดพลาดของนักเตะปอร์โต้

ในครึ่งเวลาหลัง บอลเริ่มจากเอริค คันโตน่า ที่ใช้จังหวะโตกลับ จ่ายลูกไซร้ก้อยระดับเวิลด์คลาสทะลุไปถึง แอนดี้ โคล ลากบอลจี้เข้าหากรอบเขตโทษ พร้อมส่งบอลต่อไปให้ ไรอัน กิ๊ก หลุดเข้าไปซัดเข้าไปเป็นประตูที่ 3 ของยูไนเต็ด จากนั้น “เดอะ คิง” ก็จัดการแอสซิสต์ให้กับ แอนดี้ โคล หลุดไปยิงประตูปิดท้าย ปิดจ็อบเกมนัดนี้อย่างหมดจด อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นประตูสุดท้ายของทัพปีศาจแดงในรายการนี้ เพราะเกมเลกที่ 2 พวกเขาไปเสมอที่โปรตุเกส 0-0 ก่อนที่ในรอบรองชนะเลิศจะพ่ายให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 1-0.


4.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 – 0 เอซี มิลาน, ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย(2010)

เดวิด แบ็คแฮม กลับมาถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกครั้งในฐานะศัตรูของยูไนเต็ด แต่ เอซี มิลาน ที่นำทัพมาโดย อันเดรีย ปิร์โล และ โรนัลดินโญ่ ก็ไม่อาจรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ได้

ลูกทีมของ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน บุกไปเอาชัยชนะออกมาจากถิ่น ซาน ซิโร่ ได้ด้วยสกอร์ 3-2 ในเกมเลกแรก, ในเกมนี้ เวย์น รูนี่ย์ ซัดเบิ้ลให้ทัพปีศาจแดงออกนำไปก่อน ตามมาด้วยการหลุดเข้าไปซัดประตูที่ 3 ให้กับทีมของดาวเตะพลังโสมแดง ปาร์ค จีซอง และ ดาร์เรน เฟลทเชอร์ ก็มาโหม่งประตูย้ำชัย พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทยานเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไปได้ ซึ่งหากใครจำกันได้ ยูไนเต็ด ต้องตกรอบด้วยกฎอเวย์โกลอย่างน่าเจ็บใจจากน้ำมือของ บาเยิร์น มิวนิค


3.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7 – 1 โรม่า, ยูฟ่า แขมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย(2007)

อเล็ก เฟอร์กูสัน เอ่ยปากบอกด้วยตัวเองว่านี่คือผลงานที่ดีที่สุดของยูไนเต็ดภายใต้การคุมทัพของเขาในเวทียุโรป ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจซักเท่าไหร่, เกมในเลกแรกสามารถเปิดบ้านเอาชนะมาได้ก่อน 2-1 แต่ในเกมเลกที่สองพวกเขาก็ย่อยยับ

เจ้าถิ่นทำประตูทิ่งขาดได้ตั้งแต่ครึ่งแรก 4-0 ประตูแรกมาจากลูกยิงไกลสุดสวยของไมเคิ่ล คาร์ริก ตั้งแต่นาทีที่ 11 ตามมาด้วยประตูของ อลัน สมิธ, เวย์น รูนี่ย์ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตามลำดับ

ครึ่งหลังผ่านไปเพียงไม่นาน โรนัลโด้ มายิงประตูที่สองให้กับตัวเอง ตามมาด้วยการยิงไกลอีกลูกของ ไมเคิ่ล คาร์ริก เจ้าเก่า ทำให้สกอร์เป็น 6-0, ผู้มาเยือนจากอิตาลี มาได้ประตูปลอบใจจากลูกวอลเล่ย์สุดเฉียบของดานิเอเล่ เด รอสซี่ สุดท้าย ปาทริช เอฟรา มายิงประตูปิดท้ายให้กับปีศาจแดง ถล่มทีมหมาป่าแห่งกรุงโรมดับดิ้น เข้ารอบต่อไปเจอกับ เอซี มิลาน ซึ่งเกมแรก ยูไนเต็ด สามารถเอาชนะได้ 3-2 แต่เมื่อไปเยือนที่อิตาลีผลจบลงด้วยความพ่ายแพ้ 3-0


2.ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 1 – 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย (2019)

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามารับหน้าที่เป็นกุนซืขัดตาทัพให้กับ ยูไนเต็ด ในช่วงเดือนธันวาคม(2018) และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งการแพ้เกมเลกแรกให้กับ เปแอสเช 2-0 ในบ้านตัวเอง เห็นได้ไม่บ่อยนักในขณะนั้น, อย่างไรก็ตาม ปีศาจแดงก็พลิกกลับมาพิชิตทีมยักษ์ใหญ่จากลีกเอิงได้สำเร็จ และทำให้กุนซือชาวนอร์เวย์ ได้เซ็นสัญญาถาวรอยู่ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ทันที

การขาด ปอล ป็อกบา ทำให้ทุกคนต่างคิดว่าเส้นทางรอบต่อไปของ ยูไนเต็ด แทบเป็นไปไม่ได้, ไม่เคยมีทีมไหนพลิกกลับมาเข้ารอบได้เลย หากแพ้ในบ้านเกมแรกด้วยสกอร์ห่างกัน 2 ประตูในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ โรเมลู ลูกากู มาสังหาร 2 ประตูในครึ่งแรก และ มาร์คัส แรชฟอร์ด มากดจุดโทษอีกประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของเกม พาปีศาจแดงพลิกกลับมาเอาเข้ารอบได้ โดยนี่เป็นหนึ่งในการคัมแบ็คระดับประวัติศาสตร์ของสโมสร, “ตอนนี้เราสามารถไปจนสุดเส้นทางได้” โซลชากล่าวด้วยใบหน้าเต็มรอยยิ้มหลังนำทีมเขี่ยยักษ์ใหญ่จากฝรั่งเศสพ้นทางที่กรุงปารีส


1.ยูเวนตุส 2 – 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด,ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ (1999)

เกมเลกแรกของฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ ปี 1999 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้แค่เสมอกับ ยุเวนตุส 1-1 และเกมเลกที่สอง เริ่มมาได้แค่เพียง 11 นาที ก็เป็นฝันร้ายของปีศาจแดง พวกเขาต้องตามหลังยอดทีมจากอิตาลี 2-0

แต่ รอย คีน ก็มาโหม่งประตูปลุกความหวังของปีศาจแดงขึ้นมาได้อีกครั้ง หลังจากนั้น ดไวท์ ยอร์ค และ แอนดี้ โคล ก็โชว์การผสานงานยิงประตูตีเสมอให้กับทีมปีศาจแดง ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาถึงโดนยกให้เป็น คู่หูระดับตำนานของโลกฟุตบอล

ครึ่งหลัง ยูเวนตุส พยายามโหมกระหน่ำบุกเป็นพายุใส่ผู้มาเยือน แต่ในจังหวะสวนกลับ ดไวท์ ยอร์ค โชว์การเลี้ยงหลบ 2 ผู้เล่นกองหลัง และ 1 ผู้รักษาประตูของทีมม้าลาย ก่อนที่บอลจะไหลมาเข้าทาง แอนดี้ โคล ยิงเข้าไปไม่เหลือเป็นประตูย้ำชัยให้กับ ยูไนเต็ด ผ่านเข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศกับ บาร์เยิร์น มิวนิค, แน่นอนสุดท้ายปี 1999 กลายเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


ที่มา fourfourtwo.com

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top