“เซบาสเตียน ไดส์เลอร์” อัจฉริยะลูกหนังแจ้งดับ!!! ก่อนวัยอันควร…(1)

ลองจินตนาการภาพว่า คุณถูกหมายหัวว่าเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดในรุ่นของทีมชาติเยอรมัน, ต้องเผชิญกับความกดดันที่เป็นคลื่นลูกมโหฬารที่ไม่อาจหลบเลี่ยง แล ะมีแสงสปอร์ตไลท์ตามไปเป็นเงาตามตัวทุกฝีก้าวไม่ว่าจะขยับตัวไปที่ไหน…แถมโดนสื่อยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิดตำหนิฟอร์มการเล่นที่ทำผิดพลาดส่งผลให้ทีมไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการจากการที่ถูกคาดหวังว่าเป็นนักเตะ “ความหวังสูงสุดของชาติ” แค่สักเสี้ยววินาที…พวกคุณจะรับมือไหวรึเปล่า?

ผู้กอบกู้

ในยุคที่เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนสหัสวรรษ เซบาสเตียน ไดส์เลอร์ ถูกผู้คนมากมายคาดหวังว่าจะเป็นนักเตะคนนั้น…เขาเป็นดาวรุ่งที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทานที่ถูกตั้งความหวังไว้ว่าเป็น อนาคตของทีมชาติเยอรมัน หลังจากที่ อินทรีเหล็ก ขาดแคลนดาวโรจน์ฝีเท้าเอกอุในช่วงดังกล่าว

เซบาสเตียน ไดส์เลอร์ ในชุดหมายเลข 10 ภายใต้เครื่องแบบ อินทรีเหล็ก

ทีมชาติ เยอรมัน เข้าสู่ช่วงที่ตกต่ำอย่างมากภายใต้การคุมทัพของ เอริค ริบเบ็ค ที่พาทีมตกรอบแบ่งกลุ่มศึก ยูโร 2000 โดยที่ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้แม้แต่นัดเดียว แถมยังแพ้ในเกมอย่างเป็นทางการให้กับศัตรูตัวฉกาจอย่าง สิงโตคำราม เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1966 ไปด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูชัยของ อลัน เชียเรอร์…หลังจากความล้มเหลวครั้งนั้น รูดี้ โฟลเลอร์ ก็เข้ามารับไม้ต่อในตำแหน่งทีมเชฟ และพาทีมบุกไปล้างแค้นถึงสนาม เวมบลี่ย์ (เดิม) ได้ด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูของ ดีทมาร์ ฮาร์มันน์ ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก แล้วเกมดังกล่าวก็เป็นนัดสุดท้ายของ เควิน คีแกน ในการคุมทีมทัพสิงโตคำราม แต่ไฮไลท์สำคัญของคู่แค้นตลอดกาลนั้นเป็นแมตช์ที่สนาม โอลิมเปียสตาดิโอน ในเกมที่ เยอรมัน รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าบ้านรับการมาเยือนของ อังกฤษ ซึ่งหากทัพ อินทรีเหล็ก ที่นำเป็นจ่าฝูงเก็บชัยชนะได้จะการันตีการผ่านเข้ารอบต่อไปทันที และสื่อต่างๆ ทั่วโลกก็คาดการณ์ว่าจะเป็นงานที่ไม่ยากนัก…โดยเกมในวันนั้นดาวเตะที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดของ เยอรมัน หนีไม่พ้น ไดส์เลอร์ ที่สวมบทจอมทัพหมายเลข 10 แบกความหวังคนทั้งชาติไว้บนบ่า…ผ่านไปแค่ 6 นาทีเท่านั้น ไดส์เลอร์ ก็แสดงให้เห็นจินตนาการที่เหนือชั้นด้วยการตักบอลไปให้ โอลิเวอร์ นอยวิลล์ โขกชงกลับมาให้ คาร์สเท่น ยังเคอร์ ซัดให้เจ้าบ้านออกนำ 1-0 แต่เพียงแค่ 6 นาที ไมเคิ่ล โอเว่น ก็มายิงตีเสมอให้กับทีมเยือนเป็น 1-1 หลังจากนั้นไม่นาน ไดส์เลอร์ ก็พลาดโอกาสยิงขึ้นนำให้กับเจ้าบ้านอย่างไม่น่าเชื่อด้วยการแปบอลโล่งๆ ไม่ถึง 10 หลาออกไปแบบไม่ได้ลุ้น…

ไมเคิ่ล โอเว่น ซัดแฮตทริกให้กับ ทีมชาติอังกฤษ บุกมาถล่ม ทีมชาติเยอรมัน ไปขาดลอย 5-1

หลังเปิดฉากครึ่งหลังมาก็กลายเป็นหนังคนละม้วนเป็นทาง สิงโตคำราม ยิงรัว 4 ประตูรวดใส่ทางเจ้าบ้าน เปรียบเสมือนค่ำคืนแห่งการโชว์ของ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่ซัดแฮตทริกได้ในเกมนั้นพาทีมคว้าชัยไปด้วยชัยชนะมโหฬาร 5-1…แน่นอนว่าหลังจบเกม ไดส์เลอร์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่โชว์ผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่เขาถูกเล็งเป้าเป็นพิเศษจากแฟนบอล และ สื่อใหญ่ๆ ในเมืองเบียร์ในฐานะดาวเตะที่เป็นความหวังสูงสุดของทีมชาติในขณะนั้น ซึ่งหนังสือพิมพ์กีฬาในประเทศเยอรมันถึงขนาดพาดหัวคำโตว่า “ฟุตบอลทีมชาติเยอรมัน : เล่นได้แย่ขนาดไหน?” นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันเกมดังกล่าวเป็นความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์ทัพ อินทรีเหล็ก ต่อขุนพล สิงโตคำราม คู่แค้นตลอดกาล…


จุดเริ่มต้น

ไดส์เลอร์ เริ่มต้นเส้นทางค้าแข้งด้วยการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับสโมสร โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ลงเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกที่เล่นด้วยพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ และต้องแบกภาระที่หนักอึ้งตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะต้องพาทีมหนีการตกชั้นที่ฝ่าฟันกันอย่างดุเดือดในลีก บุนเดสลีกา…คำชื่นชมจากทุกแขนงหลั่งไหลเข้ามาหายอดมิดฟิลด์รายนี้อย่างล้นหลามจากผลงานที่เขาแสดงให้เห็นในสนาม ถึงขนาดที่ ฟร้านซ์ เบคเค่นเบาเออร์ ตำนานนักเตะทีมชาติเยอรมันออกปากชมว่า “ไดส์เลอร์ เป็นนักเตะที่มีเทคนิค และ สภาพร่างกายที่ดีที่สุดในเยอรมัน” ขณะที่ รูดี้ โฟลเลอร์ อดีตเทรนเนอร์ทัพอินทรีเหล็กก็ออกมายกย่องว่า “ไดส์เลอร์ จะเป็นนักเตะต้นแบบให้กับทีมชาติเยอรมันไปอีก 10 ปี” แม้ว่าเขาจะไม่สามารถช่วยให้ สิงห์หนุ่ม รอดจากการตกชั้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรได้ตามที่ตั้งใจไว้แต่สิ่งที่เขาแสดงให้เห็นในสนามนั้นเพียงพอที่จะดึงดูดเหล่ายักษ์ใหญ่มากมายที่ต้องการดึงตัวไปร่วมทีม เชื่อกันว่ามีสโมสรยักษ์ใหญ่ต่างๆ ยื่นข้อเสนอเข้ามากว่า 26 รายที่เสนอทางเลือกให้เขาได้ลงเล่นในศึกฟุตบอลยุโรป…แต่สุดท้ายแล้วเป็น แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ที่คว้าตัว ไดส์เลอร์ ไปครองได้ในบั้นปลาย

ไดส์เลอร์ ผงาดขึ้นมาเป็นจอมทัพให้กับ โบรุสซีย มึนเช่นกลัดบัค ตั้งแต่อายุยังน้อย

การย้ายมาร่วมทีม แฮร์ธ่า เบอร์ลิน เป็นเหมือนบททดสอบครั้งใหม่ให้กับ ไดส์เลอร์ เพราะเขาจะได้มีโอกาสได้ลงเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในอาชีพที่เขาพร้อมจะเจิดจรัสในเวทียุโรป พร้อมเพื่อนร่วมทีมที่มีฝีเท้าฉการฉกรรจ์ในขณะนั้น อาทิ อาลี ดาอี ตำนานกองหน้าทีมชาติอิหร่าน, มิชาเอล พรีตซ์ ศูนย์หน้าร่างโย่งชาวเยอรมัน และ ดาริอุสซ์ วอสซ์ กองกลางจอมขยัน โดยมี เจอร์เก้น โรเบอร์ เป็นผู้รับบทเทรนเนอร์…แน่นอนว่า โรเบอร์ เลือกที่จะใช้งาน ไดส์เลอร์ เป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนเกมรุกในทันทีที่ได้ตัวมาร่วมทัพ ซึ่งเขากลายเป็นความหวังที่จะพาต้นสังกัด หญิงชรา ที่เป็นทีมหน้าใหม่ในการลงชิงชัยระดับทวีปผ่านเข้าไปเล่นรอบต่อไปให้ได้ แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มสุดหินที่ประกอบไปด้วย เชลซี, เอซี มิลาน และ กาลาตาซาราย ก็ตาม…แล้วทาง ไดส์เลอร์ ก็ไม่ทำให้แฟนๆ ต้องผิดหวังเมื่อพาต้นสังกัดผ่านเข้าไปเล่นรอบแบ่งกลุ่ม รอบสอง ได้สำเร็จจากการนำทีมจบในตำแหน่งรองแชมป์กลุ่ม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ หญิงชรา ไปได้ไกลที่สุดแค่รอบนี้เท่านั้น…อย่างไรก็ตามกองกลางจอมเทคนิคยังคงโชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่นให้กับต้นสังกัดอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเขาต้องมาประสบปัญหาบาดเจ็บหนักเป็นครั้งแรกด้วยอาการเอ็นไขว้หน้าฉีกขาดจนต้องพักยาวทิ้งข้อสงสัยให้กับหลายๆ คนว่า เขาจะสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายแล้วกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมได้รึไม่? เพราะอาการบาดเจ็บหนักตั้งแต่อายุยังน้อยมักจะพรากอนคตอันสดใสของนักเตะฝีเท้าดีไปจากโลกฟุตบอลอยู่เสมอ…ท้ายที่สุดแล้ว ไดส์เลอร์ กลับมาลงสนามช่วย แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ได้อีกครั้งแต่ไม่นานนัก…เขาต้องกลับไปเข้าโรงหมออีกครั้งจากอาการบาดเจ็บเยื่อบุข้อเข่าข้างขวาฉีกขาดอย่างรุนแรงในเดือนตุลาคมปี 2001 ทำให้เขาต้อพลาดการลงสนามเกมที่เหลือของฤดูกาลดังกล่าว…ท่ามกลางกระแสข่าวลือจากแท็บลอยด์ชื่อดังอย่าง “บิลด์” ที่ปั่นกระแสขึ้นมาว่า ไดส์เลอร์ เตรียมย้ายไปร่วมทัพ “เสือใต้บาเยิร์น มิวนึค ในช่วงต้นฤดูกาล 2002/2003….โปรดติดตามตอนต่อไป

ไดส์เลอร์ ในวัยกระเตาะพาทีม แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ลุยศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก พบกับ เชลซี

ลิ้งค์บทความ “เซบาสเตียน ไดส์เลอร์” อัจฉริยะลูกหนังแจ้งดับ!!! ก่อนวัยอันควร…(ตอนจบ): https://168kick.com/articles/50920/

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top