“เซบาสเตียน ไดส์เลอร์” อัจฉริยะลูกหนังแจ้งดับ!!! ก่อนวัยอันควร…(2)

อ่านตอนแรกก่อนนะครับ

บาเยิร์น มิวนิค

รายงานของสื่อในเยอรมันอ้างว่า ไดส์เลอร์ ได้รับเงินส่วนแบ่งจากค่าย้ายสังกัดราว 20 ล้านมาร์ค หลังตกลงย้ายไปยังรังของ เสือใต้ และนั่นทำให้แฟนบอลของ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ด่าทอ และ โกรธเคือง เป็นอย่างมากถึงขนาดขับไล่ไสส่งออกจากเมืองเลยทีเดียวเพราะว่า ไดส์เลอร์ ไม่เคยออกมาพูดเกี่ยวกับการย้ายสังกัดในครั้งนั้นเลย…อย่างไรก็ตาม ไดส์เลอร์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ในภายหลังว่า เขาถูกสั่งจาก ดีเตอร์ ฮูเนส ผู้จัดการทีม หญิงชรา ให้อุบเรื่องการย้ายทีม และ เงียบเข้าไว้…”เขาแค่ยืนเฉยๆ ข้างผม และ มองดูผมถูกแฟนบอลตะโกนขับไล่ออกจาก เบอร์ลิน มันเหมือนเป็นการเปิดมุมมองให้ผมเห็นเนื้อแท้ของโลกฟุตบอล…คำพูดคั่งค้างอยู่ในลำคอของผม นั่นเลยทำให้ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงควรหยุดเล่น” จากเหตุการณ์นั้น ดีเตอร์ ทำผิดพลาดที่ไม่ออกมาปกป้องนักเตะของเขาอย่างที่ควรจะเป็น…ไดส์เลอร์ ผิดหวังกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาเริ่มมีคำถามเกี่ยวกับความเชื่อมั่นในโลกฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อยหนทางการค้าแข้งยังอีกไกล แต่เขากลับรู้สึกแย่ และ อ้างว้างโดดเดี่ยวเหลือเกิน แล้วนั่นเองทำให้เมล้ดพันธ์แห่งความสงสัยฝังรากลึกลงไปในส่วนลึกของจิตใจ และ ไม่มีทางที่จะทำให้เป็นเหมือนเดิมเพราะว่า ความมุ่งมั่น และ ความกระหาย ของเขานั้นถูกทำให้แปดเปื้อนไปแล้ว…เขาไม่ทราบมาก่อนเลยว่าการย้ายมาเล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิค นั้นเปรียบเสมือนการผลักเขาออกไปยืนที่ระเบียงที่มีแต่ความมืดมิดรออยู่…

ไดส์เลอร์ ภายใต้สีเสื้อของ บาเยิร์น มิวนิค ที่แฟนบอลต่างคาดหวังว่า เขาจะเป็นความหวังใหม่ให้กับทีม…

ไดส์เลอร์ ในวัยแค่ 21 ปี ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อนด้วยการเป็นนักเตะของทีมใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งบนโลกฟุตบอล…เขาถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาเป็นตัวแทนที่สมบูรณ์แบบของ สเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก กัปตันทีมขวัญใจแฟนบอลที่ถูกตั้งฉายาว่า Der Tiger หรือ จอมห้าวหัวเสือ จากบุคลิกส่วนตัวที่มีความเป็นผู้นำ และ การเล่นที่ดุดันทุ่มเทสุดตัวในสนาม ที่ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม โวล์ฟสบวร์ก นอกจากนั้นด้วยความกังวลในเรื่องอาการบาดเจ็บที่เข่าขวาทำให้ อ็อตต์มาร์ ฮิตซ์เฟลด์ เทรนเนอร์ของ เสือใต้ ในเวลานั้น เลือกที่สร้างทีมโดยมี ไดส์เลอร์ เป็นศูนย์กลางด้วยข้อจำกัดในการพยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอาการบาดเจ็บของดาวโรจน์รายนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…อย่างไรก็ตามบุคลิกของ ไดส์เลอร์ แตกต่างกับอดีตกัปตันทีมแบบสิ้นเชิงเนื่องจากมีจุดยืนในการลงเล่นฟุตบอลที่ตรงข้ามกัน เอฟเฟ่นแบร์ก มีความเป็นนักสู้ทั้งใน และนอกสนาม กล้าแสดงความคิดเห็น, กล้าสั่งการเพื่อนร่วมทีม และ กล้าที่ถกเถียงกับผู้จัดการทีม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดถึงขนาดที่ยอมเลิกเล่นทีมชาติ ตรงข้ามกับ ไดส์เลอร์ ที่ดูเหมือนเป็นคนขาดความกระหาย และ ไม่มีแรงผลักดันในการลงเล่น อาจเป็นเพราะว่าเขาเสียศูนย์จากเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาก็เป็นได้…ไม่มีใครเลยที่รู้ความจริงที่อยู่หลังฉากนั้น

แววตาของ ไดส์เลอร์ ช่างดูท้อแท้ และ ว่างเปล่า ทุกครั้งที่ลงสนาม

ความโชคร้ายมาเยือน ไดส์เลอร์ อีกครั้งเมื่อได้รับบาดเจ็บซ้ำที่เข่าขวาในเดือนพฤษภาคมปี 2002 จนต้องพักยาว และเมื่อกลับมาลงสนามได้ไม่นานนักก็เปิดเผยข่าวช็อคต่อวงการฟุตบอลอีกครั้ง!!! จากการยอมรับว่าตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเพราะถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งในปี 2003 ซึ่งเหตุการณ์นี้ส่งผลต่อความมั่นคงต่อวงการฟุตบอลในเยอรมันมากพอสมควร เนื่องจากไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ แยน ซิมัค ดาวเตะของ ฮันโนเวอร์ ก็เพิ่งถูกหามออกจากสนามแบบกระทันหันจากอาการหมดแรง และ มีความดันสูงกว่าปกติ ในตอนนั้นทั้งวงการล้วนเป็นกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของนักฟุตบอล…ไดส์เลอร์ ตัดสินใจลาการลงสนามเพื่อไปพักฟื้นภายใต้การดูแลของสถาบัน MaxPlanck ในกรุงมิวนิค และให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า “มันไม่มีแผนกำหนดการรักษาที่แน่นอนว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่? ผมไม่อยากพาตัวเองไปเล่นอยู่ใต้แรงกดดันอีกแล้วนั่นเป็นบทเรียนที่ผมรับรู้หลังจากผ่านไปสองสามสัปดาห์…การกลับไปเล่นฟุตบอลอีกครั้งเป็นหนทางอีกไกล สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงคือ ผมต้องหายให้ได้ก่อน ผมรู้ตัวดีว่าได้รับผลกระทบจากโรคซึมเศร้า และ อาการป่วย ผมต้องการอยู่อย่างสงบจนกว่าเวลาที่ใช่จะมาถึง” จนกระทั่งเวลาที่เลวร้ายดังกล่าวผ่านพ้นไป…เขากลับมาอยู้ในทีม บาเยิร์น มิวนิค ฤดูกาล 2004/2005 อีกครั้งแต่ไม่เคยรู้สึกสงบยามลงสนามเลยแม้แต่น้อย โดยที่แฟนบอลหลายๆ คน หวังที่จะเห็นการประสานงานของเขาในทีมชาติกับ มิชาเอล บัลลัค ยอดกัปตันในศึกฟุตบอลโลกปี 2006 ที่จัดขึ้นบนแผ่นดินเกิดของทั้งคู่…แต่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งเมื่ออาการบาดเจ็บเยื่อบุข้อเข่าต้องพราก ไดส์เลอร์ ไปจากทัวนาเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกฟุตบอลอีกครั้ง…ในเดือนพฤศจิกายนปี 2006 เขากลับมาลงสนามได้อีกครั้งด้วยแรงใจที่น่ายกย่อง…แต่เพียงไม่นานในปี 2007 ไดส์เลอร์ ก็ตัดสินใจประกาศเลิกเล่นทั้งที่อายุแค่ 27 ปี เนื่องจากคิดว่าชีวิตของเขานั้นไม่เหมาะกับการเล่นฟุตบอล…นอกจากนี้เขายังออกมาเปิดเผยความรู้สึกภายหลังที่เป็นเรื่องน่าเศร้าว่า “ผมพยายามอดกลั้นเสมอมา และ คิดอยู่แค่ว่าสโมสรต้องการให้ผมลงเล่น…มันไม่ควรเป็นแบบนั้นอีกต่อไป…ผมเพิ่งจะอายุ 19 หรือ 20 เท่านั้นตอนที่คนเยอรมันทั้งชาติเชื่อว่าผมจะเป็นผู้กอบกู้ทีมชาติให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

เมื่อทนต่อไปไม่ไหว ไดส์เลอร์ ก็ถึงเวลาต้องบอกลา…

ความจริงที่โหดร้าย

เรื่องราวที่แสนน่าเศร้านี้ควรถูกส่งต่อไปรุ่นสู่รุ่นเพื่อให้นักฟุตบอลรุ่นหลังได้เข้าใจว่า ความท้อแท้ และ สิ้นหวัง ในโลกฟุตบอลที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายมัน่ากลัวมากแค่ไหน…เพื่อหลบเลี่ยงการนำความเครียดต่างๆ ไปเก็บงำไว้ภายในจิตใจจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า…ผู้มีอิทธิพลในวงการฟุตบอลเยอรมันต่างรู้สึกสูญเสียกับอนาคตการเป็นนักเตะของ ไดส์เลอร์ ไม่เว้นแม้แต่ อูลี่ เฮอเนส อดีตผู้บริหารสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ไดส์เลอร์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดที่เยอรมันเคยมีมารวมถึงยากจะรักษาเอาไว้ด้วยเช่นกันเพราะท้ายที่สุดแล้วเราแพ้ในการต่อสู้ดังกล่าว” รวมไปถึงตำนานทีมชาติที่เคยออกมาชื่นชมอย่างเต็มปากอย่าง ฟร้านซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์ ก็ออกมากล่าวเช่นกันว่า “ไดส์เลอร์ มาร่วมทีมของเราเหมือนกับบุคคลที่เป็นความลับสุดยอด…แต่ใครจะไปคาดเดาได้ว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงถึงเพียงนี้

เฮอเนส และ เบ็คเค่นเบาเออร์ สองผู้มีอิทธิพลในวงการลูกหนังเยอรมันต่างเสียดายอนาคตการค้าแข้งของ ไดส์เลอร์

เส้นทางการค้าแข้งของ ไดส์เลอร์ เป็นความล้มเหลวที่ควรนำไปเป็นตัวอย่างของความผิดพลาด…การจัดการความกดดันอันใหญ่หลวงที่ถาโถมเข้ามาในการเป็น “นักฟุตบอล” และการละทิ้ง พรสวรรค์, เงินทอง และ ชื่อเสียง เอาไว้เบื้องหลังเป็นสิ่งที่ควรกระทำ…นักเตะก็เป็นคนแบบเราๆ ที่มีอารมณ์อ่อนไหว และ ความเปราะบางในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป…ไดส์เลอร์ เป็นตัวอย่างของชีวิตนักเตะที่ขาดความราบเรียบ และ เต็มไปด้วยความหวาดผวาต่อกระแสที่ถาโถมเข้ามาหานักเตะพรสวรรค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ท่ามกลางความคาดหวังจากคนทั้งชาติ…ที่สุดท้ายแล้วลงเอยด้วยความ ว่างเปล่า และ เหนื่อยล้า ตามที่เขากล่าวไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติว่า “ผมไม่ต้องการทรมานแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว

ความเหนื่อยล้า และ ความทรมาน นี่คือสิ่งที่เหล่าฮีโร่ของเราสมควรได้รับหรือ? ไม่เลย…มันไม่ควรเป็นแบบนั้นเพราะสิ่งที่เขาควรได้รับ คือ ความปิติยินดี และ ความสุขใจ เหมือนดั่งเช่นที่แฟนบอลด้สัมผัสอยู่เสมอเมื่อทีมได้รับชัยชนะ…มันน่าเศร้าอยู่แล้วที่เหล่านักเตะต้องรู้สึกเจ็บปวดอยู่เสมอ ตามแท้จริงมันควรจะมาจากแค่ความพ่ายแพ้ และ อาการบาดเจ็บเท่านั้นเพื่อที่ความเจ็บปวดเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงเป็นแรงผลักดันไปสู่ชัยชนะต่อไป ส่วนความเจ็บปวดที่นำพาพวกเขาออกจากโลกของฟุตบอลนั้นควรเก็บไว้เป็นภาพตัวอย่างสำหรับสอนใจนักฟุตบอลรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมพรสวรรค์อันล้นหลาม…พวกเขาควรเติบโตมาด้วยความรักในการเล่นฟุตบอล และไม่ควรลงเอยเหมือนโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับ เซบาสเตียน ไดส์เลอร์ ดาวจรัสแสงที่ร่วงลงสู่พื้นดินเร็วเกินไป


ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ : www.thesefootballtimes.co

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top