10 ขั้นตอนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล สู่ความยิ่งใหญ่

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ลิเวอร์พูล ซึ่งในเวลานั้นกำลังรั้งอันดับ 10 ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก อังกฤษ พร้อมกับค่อยๆปรับแต่งทัพ “หงส์แดง” จากสโมสรยักษ์ใหญ่ที่ไร้จุดหมายให้กลายเป็นทีมที่เล่นด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา คล็อปป์, นักเตะ และแฟนบอล ลิเวอร์พูล ผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆด้วยกันมามากมายไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวจากการพ่ายแพ้ในนัดชิงฯฟุตบอลถ้วยอย่าง ลีก คัพ, ยูโรป้า ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และการได้เพียงรองแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อซีซั่นที่ผ่านมาทั้งที่เก็บได้ถึง 97 คะแนน

ตอนนี้ คล็อปป์ ทำให้ความฝันของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ ลิเวอร์พูล กลายเป็นจริงแล้ว หลังพาทีมคว้าแชมป์ลีกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ พร้อมกับคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, แชมป์ยูฟ่า ซุเปอร์ คัพ และ แชมป์สโมสรโลก แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ ยอดโค้ชชาวเยอรมัน ต้องทุ่มเททุกส่งทุกอย่างทั้งในและนอกสนามเพื่อพา “หงส์แดง” กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลอีกครั้ง

Photo: bleacherreport.com

1. ฉลองกับการเสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-2

หลายคนหัวเราะเยาะ คล็อปป์ ที่สั่งให้ลูกทีมเดินไปขอบคุณแฟนบอลในเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ เสมอกับ เวสต์บรอมวิช 2-2 เมื่อปี 2015 โดยหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น โค้ชชาวเยอรมัน กล่าวว่า เขารู้สึกโดดเดี่ยวในเกมที่พ่าย คริสตัล พาเลซ คาบ้าน 2-1 ซึ่งแฟนบอล “หงส์แดง” พากันเดินออกจากสนามก่อนเกมจบ

อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ ไม่สนใจคำเย้ยหยัน และคำพูดของเขาทำให้สาวก “เดอะ ค็อป” อยู่เชียร์ทีมจนจบเกมในนัดต่อๆมา นอกจากนี้ ผลที่ได้คือ แอนฟิลด์ กลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งจนถึงทุกวันนี้ โดยปัจจุบัน พลพรรค “หงส์แดง” ไม่แพ้ใครในบ้านในเกมลีกเป็นนัดที่ 56 ติดต่อกันแล้ว

คล็อปป์ อธิบายถึงการฉลองในเกมที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เวสต์บรอมวิช ว่า “ตั้งแต่วันแรกที่ผมมาที่นี่ ผมต้องการทำให้แฟนบอลรู้ว่า พวกเขาสำคัญมากเพียงใด และสำหรับในวงการฟุตบอลผู้คนมักพูดว่า แฟนบอลนั้น สำคัญที่สุด ดังนั้น คุณต้องแน่ใจว่า เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างแท้จริง”

ความสัมพันธ์ระหว่างนักเตะ และแฟนบอล ลิเวอร์พูล นั้น แข็งแกร่งมากจนน่าเหลือเชื่อ ซึ่งมันเป็นสิ่งหายากในวงการฟุตบอลยุคปัจจุบัน และแน่นอนว่า พลังเหล่านี้ช่วยให้ คล็อปป์ และลูกทีมสามารถสร้างผลงานที่น่าทึ่งมาหลายต่อหลายเกมแล้ว

Photo : skysports.com

2. ซื้อตัว เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

คล็อปป์ เป็นคนที่ไม่ชอบการทำธุรกิจในตลาดเดือนมกราคม แต่สำหรับ ฟาน ไดจ์ค มันเป็นกรณีที่แตกต่างออกไป เขายอมทุ่มเงินเป็นสถิติโลกจำนวน 75 ล้านปอนด์ คว้าตัว กองหลังชาวดัตช์ มาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อปี 2018 หลังจากที่ต้องล้มเหลวในช่วงซัมเมอร์ปี 2017

ลิเวอร์พูล มีค่าเฉลี่ยเสีย 1.2 ประตูต่อเกมก่อนที่ ฟาน ไดจค์ จะย้ายเข้ามา แต่หลังจากได้ตัวปราการหลังวัย 28 ปี มาเสริมแรวรับ “หงส์แดง” มีค่าเฉลี่ยเสียเพียง 0.6 ประตูต่อเกมเท่านั้น

คล็อปป์ กล่าวหลังเซ็นสัญญากับ ฟาน ไดจ์ค ว่า “ผมจินตนาการได้เลยว่า ผู้คนคงคิดว่า ว้าว นี่เป็นเงินมหาศาลถึง 75 ล้านปอนด์ แต่สำหรับตัวผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย เพราะมันเป็นเรื่องของราคาในตลาด และสิ่งแรกที่แฟนบอล ลิเวอร์พูล ควรทำคือ ลืมคือราคาของเขาไปซะ”

“เราพูดถึงผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมอย่างเดียวเท่านั้น และสิ่งที่เขาสามารถนำมาสู่ทีมมันเป็นเรื่องของคุณภาพ บุคลิก และจิตใจ ซึ่งทุกอย่างที่ผมกล่าวว่านั่นคือ เหตุผลที่เรานำเขามาร่วมทีม เรามีความสุขจริงๆ”

นับตั้งแต่ย้ายมายังถิ่นแอนฟิลด์ ฟาน ไดจ์ค กลายเป็นผู้บัญชาการแนวรับ ลิเวอร์พูล อย่างเต็มตัว เขาสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับแดนหลังของ “หงส์แดง” ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ พร้อมกับทำให้นักเตะที่เล่นเคียงข้างเขาไม่ว่าจะเป็น โจ โกเมซ, โจเอล มาติป และเดยัน ลอฟเรน พัฒนาฟอร์มขึ้นอย่างมาก

Photo : en.as.com

3. ผู้รักษาประตูมือ 1 ที่ไว้ใจได้

เมื่อ 10 กรกฎาคมปี 2018 ลอริส คาริอุส โกล์ชาวเยอรมัน ทำพลาดจากช็อตธรรมดานำไปสู่การเสียประตูในเกมอุ่นเครื่องกับที่ ลิเวอร์พูล พบกับ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส หลังจากที่ก่อนหน้านั้น 6 สัปดาห์ เขาก่อความผิดพลาดในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงฯ ที่ “หงส์แดง” พ่ายให้กับ เรอัล มาดริด 1-3

9 วันต่อมาหลังจากเกมกับ ทรานเมียร์ คล็อปป์ ทำลายสถิติโลกอีกครั้งด้วยการจ่าย 67 ล้านปอนด์ คว้าตัว อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารทีมชาติบราซิล มาจาก โรม่า ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี

“ถ้าผมรู้ว่า อลิสซอน ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ผมยอมจ่ายค่าตัวเขาเป็น 2 เท่าเลย” คล็อปป์ กล่าวหลังจบเกมที่ มือกาวแซมบ้า โชว์สุดยอดซุเปอร์เซฟในเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ เฉือน นาโปลี 1-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มก่อนที่ “หงส์แดง” จะเข้าไปคว้าแชมป์ได้สำเร็จในท้ายที่สุด

Photo : tribuna.com

4. ปล่อยตัว ฟิลิเป้ คูตินโญ่

ค่าตัวสถิติโลกของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กับ อลิสซอน เบ็คเกอร์ มาจากไหน ? มันก็มาจากการขาย ฟิลิเป้ คูตินโญ่ ให้กับ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 146 ล้านปอนด์ ในเดือนมกราคมปี 2018 ซึ่งมันเป็นการทำธุรกิจที่สุดยอดของ ลิเวอร์พูล

ทั้งหมดทั้งมวลมันมาจากการตัดสินใจของ คล็อปป์ และมันไม่ได้เป็นเพียงการแปรเปลี่ยนเป็นการซื้อตัว ฟาน ไดจ์ค กับ อลิสซอน เท่านั้น แต่กุนซือชาวเยอรมัน ยังจัดการเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของ ลิเวอร์พูล อีกด้วย

ก่อนหน้านี้ บ่อยครั้งที่เกมรุกของ ลิเวอร์พูล ต้องเริ่มต้นจาก คูตินโญ่ แต่ คล็อปป์ เลือกใช้ระบบ 4-3-3 โดยใช้กองกลางจอมขยันอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่ และจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ควบคุมเกม และสนับสนุน 3 แนวรุกอย่าง ซาดิโอ มาเน่, โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ และ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ และมันก็ได้ผลทำให้ “หงส์แดง” มีเกมรุกอันตรายที่สุดในยุโรปเลยก็ว่าได้  

Photo : express.co.uk

5. ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ในฤดูหนาวซีซั่น 2016-2017 มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับ คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง พวกเขาเก็บแต้มในลีกได้เพียงครึ่งเดียวจาก 13 เกม รวมถึงยังแพ้ให้กับทีมอย่าง บอร์นมัธ, สวอนซี ซิตี้, ฮัลล์ ซิตี้, เลสเตอร์ ซิตี้ และเสมอในเกมเอฟเอ คัพ กับ พลีมัธ ในบ้าน แถมยังพ่ายให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในรอบรองฯศึกลีก คัพ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายฤดูกาล คล็อปป์ พาลูกทีมกลับคืนฟอร์มเก่งอีกครั้งด้วยการเก็บชัยได้ถึง 8 จาก 11 เกม รวมทั้งเอาชนะ มิดเดิ้ลสโบรช์ ในเกมนัดสุดท้ายของซีซั่นที่แอนฟิลด์ ส่งผลให้พวกเขาคว้าตั๋วไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ “หงส์แดง”

“ผมคิดว่าเราได้สร้างรากฐานที่ยอดเยี่ยมสำหรับฤดูกาลหน้าแล้ว” คล็อปป์ กล่าวหลังจากพา ลิเวอร์พูล ไปเล่นในฟุตบอลยุโรปได้สำเร็จพร้อมกับพา “หงส์แดง” ทะลุไปถึงรอบชิงฯก่อนพ่ายให้กับ เรอัล มาดริด 1-3 ไปอย่างน่าเสียดาย

Photo : planetfootball.com

6. ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ด

สำหรับตลาดนักเตะส่วนใหญ่การซื้อตัวที่คุ้มค่าเป็นเรื่องยาก แต่ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ด ผู้อำนวยการด้านการกีฬาของ ลิเวอร์พูล แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เขาทำได้

ผู้เล่นอย่าง ลอริส คาริอุส, โจเอล มาติป, โดมินิก โซลันกี้, ซาดิโอ มาเน่, โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์, ฟาบินโญ่, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, เวอร์จิล ฟาน ไดจค์, อลิสสัน เบ็คเกอร์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ต่างเป็นฝีมือของเขาทั้งสิ้น

นอกจากซื้อผู้เล่นแล้ว เอ็ดเวิร์ด ยังทำกำไรให้กับ ลิเวอร์พูล ได้อย่างน่าชื่นชม เขาขาย จอร์แดน ไอป์ ปีกดาวรุ่งที่ยิงไปเพียง 1 ประตู กับทำ 3 แอสซิสต์ จาก 41 เกม ให้กับ บอร์นมัธ ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ ขาย โจ อัลเลน ที่เหลือสัญญาเพียง 1 ปี ให้กับ สโต๊คิ ซิตี้ ได้ 15 ล้านปอนด์ ขาย คริสติยอง เบนเต้เก้ ที่ยิงไปเพียง 3 ประตู จาก 23 เกมสุดท้ายกับ ลิเวอร์พูล ให้กับ คริสตัล พาเลซ ได้ถึง 27 ล้านปอนด์  

ขณะที่ มามาดู ซาโก้ กองหลังเจ้าปัญหาถูกปล่อยให้กับ พาเลซ 26 ล้านปอนด์, โซลันกี้ ที่ยิงไปเพียงลูกเดียวจาก 27 เกม ขายให้ บอร์นมัธ ไป 19 ล้านปอนด์ และ แดนนี่ อิงค์ หัวหอกจอมเจ็บที่เล่นไปไม่ถึง 1,000 นาทีในช่วง 3 ปี กับ ลิเวอร์พูล ถูกปล่อยให้ เซาธ์แฮมป์ตัน 20 ล้านปอนด์

ท้ายที่สุดผลงานชิ้นโบว์แดงคือ ขาย คูตินโญ่ ให้กับ บาร์เซโลน่า ได้ถึง 146 ล้านปอนด์ และในขณะที่ลิเวอร์พูล กำลังเฉลิมฉลองกับแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ เอ็ดเวิร์ด ก็กำลังทำงานนอกสนามอย่างต่อเนื่อง

Photo : theguardian.com

7. ทีมงานเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง

คล็อปป์ เป็นผู้นำ, สร้างแรงจูงใจ และสร้างความฮึกเหิมให้กับทีม ปีเตอร์ คราเวียตซ์ เป็นคนวิเคราะห์เกม ส่วน เปปิน ลินเดอร์ส คุมนักเตะฝึกซ้อม ในขณะที่ เซล์โจ้ บูวัช อดีตมือขวาอำลาทีมไปนั้น หลายคนกังวลว่า ลิเวอร์พูล จะต้องเจอกับปัญหาใหญ่ แต่ คล็อปป์ แสดงให้เห็นว่า เขาสามารถรับมือได้

ลิเวอร์พูล สูญเสีย บูวัช คนที่ คล็อปป์ ยกย่องว่าเป็น “The Brain” ซึ่งเป็นเหมือนมันสมอง และทำงานกับ คล็อปป์ มานานถึง 17 ปี แต่ ลินเดอร์ส วัย 36 ปี เข้ามาสานงานอย่างไร้รอยต่อ พร้อมกับปรับปรุงแนวทางการฝึกซ้อมของ “หงส์แดง” ได้อย่างยอดเยี่ยม

ความละเอียดของ ลินเดอร์ส นั้น เหลือเชื่อมาก โดยก่อนเกมนัดชิงฯยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ส เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เขาจัดให้ทีมอุ่นเครื่องแบบปิดกับ เบนฟิก้า บี ซึ่งมีสไตล์การเล่นคล้ายกับ “ไก่เดือยทอง” ที่มาร์เบย่า ฟุตบอล เซ็นเตอร์ ซึ่ง “หงส์แดง” เอาชนะไปได้ 3-0 พร้อมกับนำจังหวะมาปรับใช้ในเกมกับ สเปอร์ส และมันก็ได้ผล

ไม่ใช่แต่ ลินเดอร์ส เพียงคนเดียวเท่านั้น คล็อปป์ ยังมีทีมงานคนอื่นอย่าง อันเดรียส คอร์นเมเยอร์ โค้ชฟิตเนส และ โมนา เนมเมอร์ โภชนากรระดับท็อปมาช่วยดูแลเรื่องอาหาร รวมถึงยังดึงตัว โธมัส โกรนเนอมาร์ค ผู้เชี่ยวชาญด้านการทุ่มบอลเข้ามาร่วมงานด้วย

Photo : liverpoolfc.com

8. ปรับปรุงเฮฟวี่ เมทัล ให้มีระเบียบมากขึ้น

ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา คล็อปป์ ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นของ ลิเวอร์พูล ให้แตกต่างไปจากเดิม โดยก่อนหน้านี้ “หงส์แดง” เป็นทีมที่ครองบอลได้มากมาย แต่กลับตกม้าตายเมื่อเจอทีมเล่นเกมรับลึก และสวนกลับเร็ว

เกมรับของ ลิเวอร์พูล ค่อยๆถูกปรับปรุงขึ้น ซึ่งใน 4 ปีแรกภายใต้คุมทัพของ คล็อปป์ พวกเขาเสียประตูในลีกไป 50, 42, 38 และ 22 ลูก ตามลำดับ และมันก็เป็นผลสืบเนื่องไปถึงเกมรุกที่ “หงส์แดง” ยิง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป 3 ลูก ในเวลาเพียง 19 นาที ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ในซีซั่น 2017-2018

การเข้ามาของ ฟาบินโญ่ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ปิดพื้นที่ว่างในแดนกลางได้อย่างยอดเยี่ยม และคอยจัดระเบียบเกมที่สับสนวุ่นวาย โดย คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2018 ว่า “คุณไม่สามารถชนะได้ด้วยฟุตบอลบุกแบบบ้าคลั่ง มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะคุณจะเปิดพื้นที่กว้าง และสนามนั้นใหญ่เกินไปที่คุณจะเล่นแบบนั้นตลอดทั้งเกม ดังนั้น คุณต้องจัดระเบียบเกม และสร้างสรรค์เกมไปพร้อมกัน”

หลังจากผิดหวังด้วยการเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ในฤดูกาลนี้ คล็อปป์ สั่งให้ลูกทีมเพรสซิ่งน้อยลง แต่ยังคงเน้นการบีบพื้นที่สนามให้แคบ และใช้แนวรับดันสูงขึ้น โดยที่ไม่ให้ลูกทีมไล่บอลคู่แข่งเป็นกลุ่ม และแนวรุก 3 คน ยังคงรักษาตำแหน่งตัวเองเอาไว้ นอกจากนี้ ยังให้ฟูลแบ็ค 2 ฝั่งอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน มีส่วนร่วมกับเกมรุกมากขึ้น

Photo : givemesport.com

9. บริหารจัดการแบบมืออาชีพ  

“ผมเป็นเพื่อนกับพวกเขา แม้จะไม่ใช่เพื่อนที่ดีที่สุดก็ตาม” คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับลูกทีม โดยเทรนเนอร์ชาวเยอรมันไม่มีกฎระเบียบตายตัวนักในการคุม ลิเวอร์พูล แต่เขาก็คาดให้ลูกทีมมีความรับผิดชอบ และเขาก็พร้อมมอบความไว้วางใจให้กับทุกคน

นายใหญ่ “หงส์แดง” กล่าวต่อว่า “หากผู้เล่นเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ สมาธิ ความพร้อม และความหลงใหล มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำงานกับพวกเขา ผมพร้อมอ้าแขนต้อนรับพวกเขาเสมอเมื่อมีปัญหา”

ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการประกาศรางวัล African Player of the Year ในปี 2017 ซึ่งจัดขึ้นก่อนการแข่งขันศึกเอฟเอ คัพ กับ เอฟเวอร์ตัน เพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น

ขณะที่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังชาวดัตช์ กล่าวว่า “คล็อปป์ รู้วิธีที่จะเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากตัวผมโดยการวิจารณ์ เมื่อสื่อมวลชนชื่นชมผม เขาจะคอยเตือนสติผมเสมอ”

“เมื่อผมคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 ของยูฟ่า และต้องไปร่วมพิธีมอบรางวัล เจอร์เก้น บอกเพื่อนร่วมทีมทุกคนว่า ผมรับรางวัลในนามของทีมทั้งหมด ซึ่งเพื่อนร่วมทีมทุกคนก็รู้ดีว่า ผมคิดแบบนั้นเช่นกัน ผมรู้ดีว่า เจอร์เก้น ต้องการจะสื่ออะไรออกมา เขาให้ความเคารพผมมาก และผมก็เคารพเขามากเช่นกัน”

Photo : beinsports.com

10. ศิลปะในการรับมือกับความพ่ายแพ้

“ความพ่ายแพ้คือ การเติบโต และมันก็ไม่ได้ทำให้โลกพังทลาย มีหลายสิ่งที่ทำให้ผมคิดแบบนั้น ถ้าความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่มันทำให้คุณมีความคิดออกมาว่า ฉันจะไม่ยอมแพ้อีกแล้ว ถึงแม้คุณจะต้องแพ้อีก 1-2 ครั้งก็ตาม ผมคิดว่ามันคือ กระบวนการเรียนรู้”

“เราเคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก และยากลำบากมากๆ เราพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ความพ่ายแพ้ครั้งนั้น มันทำให้เราพร้อมที่จะชนะในครั้งต่อไป” คล็อปป์ เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้

ก่อนหน้านี้นักเตะ ลิเวอร์พูล ลิ้มรสความพ่ายแพ้ในนัดชิงฯมามากมาย แต่แนวคิดที่เรียบง่ายของ คล็อปป์ ปลูกฝังให้ลูกทีมลืมความผิดหวัง และมุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, แชมป์ยูฟ่า ซุเปอร์ คัพ, แชมป์สโมสรโลก และแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนี้

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top