Home บทความฟุตบอล 5 ปัจจัยที่ยังพา “หงส์” ลุ้นแชมป์

5 ปัจจัยที่ยังพา “หงส์” ลุ้นแชมป์

0
5 ปัจจัยที่ยังพา “หงส์” ลุ้นแชมป์

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในเวลานี้มันเป็นช่วงวิกฤตของ ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะเสีย เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังคนสำคัญไปตลอดทั้งฤดูกาล และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ – อาร์โนลด์ แบ็คขวาตัวเก่งเจ็บ 1 เดือนนั้น ล่าสุด โจ โกเมซ เซ็นเตอร์แบ็คดาวรุ่ง ก็เจ็บหนักมาจากแคมป์ทีมชาติอังกฤษ และยังไม่มีกำหนดคืนสนาม

ขณะเดียวกัน ข่าวร้ายยังถาโถมเข้าใส่ ลิเวอร์พูล ต่อเนื่อง หลังจาก โมฮเหม็ด ซาล่าห์ ปีกทีมชาติอิยิปต์ ได้รับการยืนยันว่า ตรวจพบเชื้อโควิด ซึ่งทั้งหมดนี้มันเป็นปัญหากองโตที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ “หงส์แดง” ต้องจัดการ

อย่างไรก็ตาม ในหลายเกมที่ผ่านมา คล็อปป์ และทีมงานของเขา รวมถึงนักเตะคนอื่นๆที่เหลือของ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาสามารถรับมือกับวิกฤตได้ และแสดงคาแรคเตอร์ของทีมแชมป์ออกมาอย่างชัดเจน และนี่คือ 5 กุญแจสำคัญที่ยังทำให้ “หงส์แดง” เป็นเต็งแชมป์ในซีซั่นนี้

Photo : squawka.com

1. ความแน่นอนในเกมรับ

นับตั้งแต่ที่ ฟาน ไดจ์ค ได้รับบาดเจ็บจากเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดารบี้ แมตช์ กับ เอฟเวอร์ตัน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  โกเมซ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักในแนวรับ ลิเวอร์พูล ได้อย่างน่าประทับใจ โดยกองหลังวัย 23 ปี ยืนจับคู่กับทั้ง ฟาบินโญ่, แนท ฟิลลิปส์, รีส วิลเลียมส์ และ โจเอล มาติป ได้อย่างแข็งแกร่ง

ตลอด 6 เกมที่ไม่มี ฟาน ไดจ์ค ลงบัญชาการเกมรับ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาสามารถรับมือได้หลังเสียไปเพียง 4 ประตูเท่านั้น แต่ล่าสุดการที่ โกเมซ บาดเจ็บยาวจากการฝึกซ้อมกับทีมชาติอังกฤษก็ทำให้ คล็อปป์ ต้องแก้ไขปัญหาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ มาติป กลับมาฟิตสมบูรณ์แล้ว ส่วน ฟาบินโญ่ ที่ได้รับบาดเจ็บไปก่อนหน้านี้ก็พร้อมกลับสู่ทีมอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าในเกมนัดต่อไปทั้ง 2 คน จะได้ยืนคู่กันโดยมีบรรดาดาวรุ่งอย่าง ฟิลลิปส์, วิลเลียมส์ และ บิลลี คูเมติโอ คอยสแตนบาย

ขณะเดียวกัน ในตลาดนักเตะเดือนมกราคมปีหน้ามันอาจเป็นช่วงที่ คล็อปป์ มองหากองหลังคนใหม่มาเสริมทัพก็เป็นได้ และนักเตะอย่าง ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ ของ แอร์เบ ไลป์ซิก, เบน ไวท์ ของ ไบรท์ตัน รวมถึง โอซาน คาบัค ของ ชาลเก้ ก็อยู่ในข่ายพิจารณาเช่นกัน 

hoto : empireofthekop.com

2. ความยืดหยุ่นทางแท็คติค

หลังจาก ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา เปปิน ลินเดอร์ส ผู้ช่วยของ คล็อปป์ ยอมรับว่า จำเป็นต้องหาวิธีทำให้ “หงส์แดง” กลายเป็นทีมที่มีแนวทางการเล่นคาดเดาได้ยากกว่าเดิม เนื่องจากคู่แข่งหลายทีมรู้แล้วว่า ฟูลแบ็ค 2 ฝั่งอย่าง อเล็กซานเดอร์ – อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เป็นอาวุธลับในการทำเกมรุก

การคว้าตัว ติอาโก้ อัลกันตาร่า มิดฟิลด์ทีมชาติสเปน และ ดิโอโก้ โชต้า ตัวรุกทีมชาติโปรตุเกส เข้ามาเสริมทัพเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาทำให้ ลิเวอร์พูล มีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม ซึ่ง คล็อปป์ สามารถปรับไปใช้ระบบ 4-4-2 หรือ 4-2-4 ได้หลังยึดระบบ 4-3-3 มาแทบตลอด

คล็อปป์ อธิบายว่า “ตอนนี้เราสามารถเล่นได้ 3-4 ระบบ โดยปกติแล้วคู่ต่อสู้รู้เลยว่า เราเล่นระบบไหน แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก” จากคำพูดของโค้ชชาวเยอรมันแสดงให้เห็นว่า มันยังเป็นงานยากของฝ่ายตรงข้ามที่จะเผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล

Photo : skysports.com

3. ติอาโก้ อัลกันตาร่า

ฝีเท้าของ ติอาโก้ เป็นนักเตะระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าเสียดายที่เข้าได้รับบาดเจ็บจากจังหวะปะทะกับ ริชาร์ลิสัน กองหน้าชาวบราซิล ของ เอฟเวอร์ตัน ในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดารบี้ แมตช์ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ ดาวเตะวัย 29 ปี ใกล้พร้อมลงสนามแล้ว

ติอาโก้ จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของ ลิเวอร์พูล หาก คล็อปป์ เลือกใช้ระบบ 4-2-3-1 โดยกองกลางชาวสแปนิช คุ้นเคยกับระบบดังกล่าวเป็นอย่างดีในสมัยที่ค้าแข้งกับพลพรรค “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค

ติอาโก้ มีความสามารถในการผ่านบอลไปได้ทั่วสนาม ซึ่งจะช่วยให้ ลิเวอร์พูล ลดความกดดันจากการถูกคู่แข่งไล่เพรสซิ่งได้ นอกจากนี้ ทักษะในการครองบอล และวิสัยทัศน์ของเขานั้น ยังทำให้ “หงส์แดง” มีคนควบคุมจังหวะเกมอีกด้วย

Photo : football365.com

4. ขุมกำลังเชิงลึก

หลังจากการเซ็นสัญญากับ คอสตาส ซิมิกาส แบ็คซ้ายทีมชาติกรีซ มากจาก โอลิมเปียกอส ด้วยค่าตัว 11.75 ล้านปอนด์ คล็อปป์ ยืนยันว่า ฤดูกาลนี้จะเป็นงานหนักที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในการป้องกันแชมป์ และจำเป็นต้องมีขนาดทีมที่ใหญ่ขึ้นเพื่อหมุนเวียนผู้เล่น

ฟาน ไดจค์, โกเมซ, อเล็กซานเดอร์ – อาร์โนลด์, นาบี เกอิต้า, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และล่าสุด ซาล่าห์ ปีกตัวเก่งชาวอิยิปต์ ที่ตรวจพบเชื้อโควิดทั้งหมดนี้คือรายชื่อนักเตะบาดเจ็บของ ลิเวอร์พูล และยังไม่แน่ใจว่า ผู้เล่นเหล่านี้จะกลับมาลงสนามได้เมื่อใด

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล มีคุณภาพทีมเชิงลึกที่ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก โดยแนวรับพวกเขามี มาติป ที่ฟิตสมบูรณ์แล้ว และยังมีดาวรุ่งอย่าง ฟิลลิปส์, วิลเลียมส์, คูเมติโอ และ เนโก วิลเลี่ยมส์ แบ็คขวาทีมชาติเวลส์ พร้อมลงสนาม

ขณะที่แดนกลางยังมีขุมกำลังอย่าง เคอร์ติส โจนส์ และ เจมส์ มิลเนอร์ แข้งจอมเก๋าสารพัดประโยชน์ให้เลือกใช้งาน ส่วนแนวรุกนักเตะอย่าง ทาคุมิ มินามิโนะ, ดิวอค โอริกี้ และ เซอร์ดาน ชากิรี่ พร้อมคอยโอกาสอยู่เสมอ

การใช้ผู้เล่นเหล่านี้สลับกันเล่นร่วมกับแกนหลักอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ บวกกับแข้งใหม่อย่าง โชต้า และ ติอาโก้ นั้น ทำให้ คล็อปป์ สามารถรับมือกับโปรแกรมอัดแน่นในปีนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา

Photo : football365.com

5. คู่แข่งฟอร์มไม่สม่ำเสมอ

แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล ยังเป็นทีมเต็งในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อยู่ดี ซึ่งมันไม่ใช่แค่ฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวา และคุณภาพทีมที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น แต่ในช่วง 2-3 ซีซั่นที่ผ่านมาดูเหมือนว่า มีเพียง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงทีมเดียวที่ระดับใกล้เคียงกับ “หงส์แดง”

ฤดูกาลนี้ แมนฯ ซิตี้ ฟอร์มตกลงไปพอสมควร ส่วนทีมใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, เชลซี, ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และม้ามืดอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ยังโชว์ฟอร์มได้ไม่สม่ำเสมอมากนัก ขณะที่ “หงส์แดง” แม้นักเตะจะบาดเจ็บไปค่อนทีมแต่ก็ยังอยู่ในอันดับ 3 ห่างจาก เลสเตอร์ จ่าฝูงเพียงแต้มเดียวเท่านั้น และทั้งคู่มีคิวพบกันที่แอนฟิลด์ในเกมต่อไป

การป้องกันแชมป์ของ ลิเวอร์พูล มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จากปัญหาที่พวกเขาเจอตั้งแต่ต้นฤดูกาล และสามารถรับมือกับมันได้นั้น ลูกทีมของ คล็อปป์ ก็สมควรได้รับเครดิตในการลุ้นแชมป์เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้