วิเคราะห์บอล ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่ระหว่าง ลิเวอร์พูล พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

วิเคราะห์ก่อนเกม ฟุตบอลนัดแห่งฤดูกาล ในนัดนี้เป็นการพบกันระหว่าง สองทีมที่น่าจับตามองที่สุดในโลกวินาทีนี้ รองแชมป์เก่าและแชมป์ยุโรปฤดูกาลล่าสุด “หงส์แดงลิเวอร์พูล ที่นำโดยยอดโค้ชชาวเยอรมันอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ เปิดบ้านต้อนรับมาเยือนของแชมป์เก่าและรองจ่าฝูงฤดูกาลปัจจุบันอย่าง “เรือใบสีฟ้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่นำทีมมาโดยยอดโค้ชที่อาจจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลคนนึงอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งบิ๊กแมตช์แห่งฤดูกาลนี้ที่เสมอเหมือนเป็นการชิงแชมป์ไปในตัว จะลงทำการแข่งขันกันในคืนวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน เวลา 23.30 น. ที่สนาม แอนฟิลด์ เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ แฟนบอลทุกคนห้ามพลาด

หลังจากอกหัก พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกไปแค่คะแนนเดียว ลิเวอร์พูลภายใต้การนำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็คว้าแชมป์แรกได้สำเร็จ แถมยังเป็นรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยส์ลีก ถ้วยใหญ่ที่สุดของทวีปอีกด้วย โดยฤดูกาลก่อน ทำได้เพียงแค่รองแชมป์เท่านั้น

เริ่มจากทางเจ้าบ้าน “หงส์แดงลิเวอร์พูล กันก่อน หลังจากอกหักพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกไปอย่างน่าเจ็บใจในฤดูกาลที่แล้ว โดยมีแต้มห่างแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่คะแนนเดียว กลายเป็นทีมรองแชมป์ที่มีแต้มมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึงแม้ได้แชมป์ยุโรปถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2018-2019 มาครองได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกให้เดอะค็อปทั่วโลก ในฤดูกาลนี้ไม่ได้เสริมทีมชัดเจนเท่าใดนัก มีเพียงดาวรุ่งกับผู้รักษาประตูมือรองเท่านั้น โดยผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นชุดเดิมจากฤดูกาลที่แล้ว ที่หลายๆคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดี

ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างน่าประทับใจ ลงเล่น 11 เกมแรกชนะได้ถึง 10 นัด เสมอเพียงนัดเดียวในเกมแดงเดือดกับ “ปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 แบบน่าเจ็บใจ หากไม่มีจังหวะเจ้าปัญหาอาจจะชนะแล้วกลายเป็นทีมที่ออกสตาร์ทได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเกมนัดล่าสุดเฉือนเอาชนะ “สิงห์ผงาดแอสตัน วิลล่า 2-1 โดยโดนนำไปก่อนในครึ่งแรก 0-1 ก่อนที่จะสวมหัวใจพยัคฆ์ พับสนามจนนักเตะแอสตัน วิลล่า แทบจะร้องขอชีวิต แซงนำเอาชนะไปได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย จากลูกโหม่งของ ซาดิโอ มาเน่ ทำให้ช่องว่างระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนซิตี้ ยังคงอยู่ที่ 6 คะแนนก่อนเกมที่จะเจอกันในนัดนี้

ซาดิโอ มาเน่ โหม่งพังประตูชัย ให้ลิเวอร์พูลแซงเอาชนะแอสตัน วิลล่าได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เก็บสามแต้มสำคัญก่อนทำศึกใหญ่แห่งฤดูกาลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ด้านผลงานใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดล่าสุดใช้ชุดผสมเปิดบ้านเฉือนชนะเกงค์ไปแบบอึดอัด 2-1 แซงขึ้นนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มแทนที่นาโปลีที่ทำได้แค่เสมอกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก 1-1 ซึ่งถือว่าเราได้เห็นเป้าหมายของทีมชัดเจนขึ้นในฤดูกาลนี้ หลังจากมีการพักนักเตะตัวหลักหลายต่อหลายคนเพื่อเอาไว้ทำศึกสำคัญกับเรือใบสีฟ้าในเกมพรีเมียร์ลีก ส่วนความพร้อมในทีมจะไม่มี โจเอล มาติป กองหลังที่สถาปนาตัวเองกลายเป็นตัวหลักที่ขาดไม่ได้ไปแล้วของเจ้ายุโรปทีมล่าสุด ส่วนนักเตะที่ยังเจ็บอยู่ก่อนหน้าอย่าง นาธาเนียล ไคลน์ กับ เซอร์ดาน ชากิรี่ ก็คงยังไม่พร้อมกับเกมนี้เช่นกัน แต่จะได้ ฟาบินโญ่ คืนทีมหลังจาก JK กุนซือนอร์มอล วัน เลือกที่จะพักในเกมกับ แอสตัน วิลล่า เนื่องจากมีใบเหลือง 4 ใบสุ่มเสี่ยงกับการโดนแบนแล้วจะพลาดเกมนัดนี้

มาถึงทีมเยือน “เรือใบสีฟ้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าที่เจอกับปัญหาเดิมๆเหมือนกันทุกปี คือการขาดนักเตะตัวหลักหลายคนจากอาการบาดเจ็บ ปีนี้ก็เช่นกัน เริ่มจาก เลรอย ซาเน่ ที่เจ็บหัวเข่าต้องผ่าตัดพักยาวร่วมปี ในเกม เอฟเอ คอมมิวนิตี้ชิลด์ 2019 ที่ชนะในการดวลจุดโทษกับลิเวอร์พูล คว้าแชมป์แรกประเดิมฤดูกาลอย่างสวยงาม ตามกันมาด้วย อายเมริค ลาป๊อร์กต์ กองหลังคนสำคัญ ที่เจ็บเข่าในเกมกับ ไบรท์ตัน เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และอีกสองกำลังสำคัญในฤดูกาลนี้อย่าง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ นักเตะสารพัดประโยชน์สัญชาติยูเครน และ โรดรี้ กองกลางตัวเทพป้ายแดงชาวสแปนิชที่เพิ่งย้ายมาจาก “ตราหมีแอตเลติโก มาดริด แล้วสถาปนาตัวเองกลายเป็นตัวหลักของทีมแมนซิตี้ได้อย่างรวดเร็ว ดาบิด ซิลบา มิดฟิลด์คนสำคัญที่น่าจะหายไม่ทันจากอาการเจ็บกล้ามเนื้อ ยังดีที่ได้ จอห์น สโตนส์ กองหลังอีกคน หายกลับมาจากอาการบาดเจ็บแล้ว ไม่งั้นแนวรับคงดูไม่จืดยิ่งกว่านี้

เหล่านักเตะของ เรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วิ่งฉลองชัย หลังจากดวลเป้าเอาชนะ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ในรายการ เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2019 ประเดิมแชมป์แรกของฤดูกาลได้อย่างงดงาม

แต่อาการบาดเจ็บของนักเตะต่างๆ หาได้ลดประสิทธิภาพในทีมเรือใบสีฟ้า ภายในการคุมพังงาของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าไม่ นัดล่าสุดก็โชว์สปิริตแซงเอาชนะ “นักบุญเซาแธมป์ตัน 2-1 ในช่วงท้ายเกม โดยในฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 11 นัด ชนะ 8 เสมอ 1 แพ้ 2 มี 25 คะแนน เป็นรองจ่าฝูงตามหลังคู่แข่งสำคัญอย่าง “หงส์แดงลิเวอร์พูล 6 คะแนนเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่หลังจากฤดูกาลที่แล้วเคยมีช่วงนึงที่โดนทิ้งห่าง 10 คะแนนมาแล้วเหมือนกัน หากในเกมนี้สามารถบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้จ่าฝูงได้ ช่องว่างที่มีจะกระชับเหลือเพียงแค่ 3 คะแนนเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แมนซิตี้ ยังเป็นทีมที่มีเกมรุกจัดจ้านที่สุดในฟุตบอลอังกฤษอยู่ดี หลังยิงได้ถึง 34 ลูก เสียเพียง 10 ประตูเท่านั้นเอง

ส่วนการลงเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่แฟนบอลแมนซิตี้เกือบทุกคนถวิลหากันอยู่ ก็ฟอร์มร้อนแรงเช่นกัน ล่าสุดลงเล่นไป 4 นัด ชนะรวดสามเกมแรก และเสมอในนัดล่าสุดกับ อตาลันต้า ทีมฟอร์มแรงจากอิตาลีในเกมเยือน 1-1 แต่ก็สามารถนำเป็นจ่าฝูง ทิ้งอันดับสองไปถึง 5 แต้มแล้ว ซึ่งอาจจะมีข่าวร้ายเพิ่มเติมในเกมนั้น หลัง เอแดร์ซอน ผู้รักษาประตูมือหนึ่งเจ็บกล้ามเนื้อ ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง ไม่ชัวร์ว่าจะหายทันลงเล่นเกมสำคัญในนัดนี้หรือเปล่า ซึ่งในเกมนั้นทาง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เองก็ได้มีการพักนักเตะตัวหลักหลานคนเช่นกัน ทั้ง จอห์น สโตนส์, ไคล์ วอล์คเกอร์ และ เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ ที่ยังมีสถิติไม่ดีในสนามแห่งนี้ หลังลงเล่นไปหลายนัด แต่ยังไม่สามารถยิงประตูที่ แอนฟิลด์ ได้เลยซักประตู

หลังจากมาเยือนเกือบ 10 ครั้งแต่ยังไม่สามารถทำประตูในสนามแห่งนี้ได้ ต้องมาดูกันว่าเกมนี้ เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ จะล้างอาถรรพ์ทำประตูแรกในแอนฟิลด์ได้หรือไม่

การเจอกันในนัดนี้มีความหมายมากกว่าใครจะได้ 3 คะแนนไปครอง แต่มันจะกลายเป็นโมเมนตัมที่สำคัญสำหรับฤดูกาลที่เหลือ หากแมนเชสเตอร์ ซิตี้สามารถบุกมาคว้าชัยถึงแอนฟิลด์ นั่นจะหมายความว่าเป็นการหยุดสถิติไม่แพ้ใครอย่างยาวนานในบ้านของลิเวอร์พูลลงได้ แถมยังไล่จี้ร่นระยะห่างเหลือเพียงแค่สามคะแนน นั่นหมายความว่าเพียงแค่เกมเดียวก็สามารถเปลี่ยนจ่าฝูงได้เช่นกัน แต่หากชัยชนะในนัดนี้ตกไปอยู่กับฝั่งลิเวอร์พูล ช่องว่างที่มีก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 9 คะแนน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นสำหรับแชมป์เก่าที่จะรักษาแชมป์ไว้อีกปี

และเป้าหมายของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ค่อนข้างชัดเจน แม้จะไม่ได้ยินจากปากของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เองก็ตาม แต่ทุกคนที่ตามดูและตามเชียร์อยู่ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทีมพยายามทำทุกอย่างเพื่อแชมป์พรีเมียร์ลีกที่แฟนบอลทุกคนตั้งตาคอยมาเกือบสามสิบปี ส่วนทางเรือใบสีฟ้าเองก็ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่จะไล่ตามไปจนถึงสุดขอบโลก อย่างในนัดล่าสุดหลังจากถูก เซาแธมป์ตัน บุกมานำไปก่อน 1-0 ก็ได้พับสนามบุกไล่ทุบจนทำประตูคืนแล้วแซงชนะได้อย่างที่เห็น

การเจอกันในฤดูกาลที่แล้วที่สนามแห่งนี้ จบลงด้วยผลเสมอแบบน่าจะเป็นทางแมนซิตี้ที่ควรจะชนะได้ แต่ริยาด มาห์เรซดันยิงลูกโทษไม่เข้าไปแบบน่าเขกกะโหลกในช่วงท้ายเกม ส่วนเกมที่บ้านของเรือใบสีฟ้า เป็นทางเจ้าถิ่นเฉือนชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 ซึ่งเกมนั้นมีผลอย่างมากที่ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถแซงลิเวอร์พูลกลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกสมัยแบบสุดมัน โดยหลังจากการที่ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พ่ายลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ 3 เกมติดในฤดูกาล 2017-2018 กลายเป็นว่าการเจอกันของสองทีมนี้ ไม่เปิดเกมบุกเข้าหากันอย่างที่เคย เพราะทางแมนซิตี้รู้ดีแล้วว่า ลิเวอร์พูลชอบเล่นกับทีมที่เปิดเกมบุกแล้วเปิดพื้นที่ด้านหลังให้แนวรุกสามคนเล่นได้อย่างถนัด กลับกันหากเจอกับทีมที่แพ็คเกมรับแน่นๆ ดูลิเวอร์พูลยังมีปัญหาที่จะเจาะเอาประตูอยู่เรื่อยมา อีกทั้งยังมีประเด็นไซโคกันก่อนเกม เรื่องที่ว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้คอมเม้นเกี่ยวกับการพุ่งเอาลูกจุดโทษที่ ซาดิโอ มาเน่ เรียกประตูชัยให้ทีมหลายหน ทั้งในเกมกับ “จิ้งจอกสยามเลสเตอร์ ซิตี้ กับ “ไก่เดือยทองท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เชื่อว่าทางกุนซือแมนซิตี้ เริ่มกลัวนักเตะสัญชาติเซเนกัลรายนี้อยู่เหมือนกัน

ซาดิโอ มาเน่ ปีกชาวเซเนกัลของลิเวอร์พูล กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือชาวสแปนิชของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับประเด็นร้อนก่อนเกม ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนเกมพรีเมียร์ลีกที่จะเจอกันวันอาทิตย์นี้

ดังนั้นรูปเกมในนัดนี้ น่าจะเป็นการเล่นกันแบบระวัง ดูเชิงกันมากกว่าที่ปกติทั้งสองทีมเล่นกัน และอาจจะตัดสินกันด้วยโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวในเกม ซึ่งหากมองถึงตัวผู้เล่น ทางหงส์แดงเจ้าถิ่นดูจะพร้อมมากกว่า แต่ทางเรือใบสีฟ้าทีมเยือน มีช่องว่างระหว่างผู้เล่นตัวจริงและตัวสำรองน้อยถึงน้อยมาก ดังนั้นความได้เปรียบทางด้านไลน์อัพ 11 ตัวจริงแทบจะเรียกได้ว่าเท่าเทียมกัน ส่วนทางลิเวอร์พูลจะได้เปรียบเรื่องเสียงเชียร์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเกมนัดนี้น่าจะมีการตะโกนโห่กดดันนักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทุกครั้งที่ได้สัมผัสบอลกันเลยด้วยซ้ำ และด้วยการที่ช่องว่างระหว่างกันมีถึง 6 คะแนน เป็นสิ่งที่ทำให้ทางเจ้าถิ่นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผลีผลามเปิดเกมรุกใส่ ทางทีมเยือนเองต่างหากที่จะโดนเงื่อนไขของเวลาบีบจนทำให้ต้องเปิดเกมรุก จึงจะเป็นการเปิดช่องให้ลิเวอร์พูลมองหาจังหวะโต้กลับแล้วทำประตู ในเกมนี้โอกาสที่จะเสมอมีมากที่สุด แต่หากให้เลือกทีมที่จะเป็นฝ่ายกำชัยได้ น่าจะเป็นทางหงส์แดงมากกว่าด้วยเงื่อนไขของช่องว่างของคะแนนและระยะเวลาในเกมที่ค่อยๆลดลง แต่หากทางเรือใบสีฟ้าสบช่องโจมตีทีเผลอได้แล้วหละก็ ก็คงเป็นชัยชนะที่งดงามของแมนเชสเตอร์ ซิตี้แน่นอน และจะทำให้โมเมนตัมของฤดูกาลนี้ที่เหลืออยู่ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

แต่ไม่ว่าสกอร์จะออกมาแบบไหน เชื่อว่าในเกมนี้จะเป็นเกมคุณภาพนัดนึงของฤดูกาลนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าคุณจะชอบดูฟุตบอลลีกไหน เชียร์ทีมอะไร หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่สนใจในกีฬาฟุตบอล ก็ไม่ควรพลาดเกมแห่งฤดูกาลนัดนี้อย่างเด็ดขาด

ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงเล่น

ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลิสซอน เบ็คเกอร์ (GK) – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เดยัน ลอฟเรน, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสันจอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุมโมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4-3-3) : เคลาดิโอ บราโว่ (GK) – ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, แฟร์นันดินโญ่, เบนจามิน เมนดี้เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกัน, แบร์นาร์โด้ ซิลวาราฮีม สเตอร์ลิ่ง , เซร์คิโอ กุน อเกวโร, กาเบรียล เฆซุส

ผลที่คาด ลิเวอร์พูล 0 – 0 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

พบกับบทความ วิเคราะห์บอล – วิเคราะห์ฟุตบอล – วิเคราะห์บอลวันนี้ ได้ก่อนใครได้ที่ 168kick.com

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top