บทวิเคราะห์ฟุตบอลคาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ คู่ที่สองนัดแรกเป็นเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แมตช์ ระหว่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดโรงละครแห่งความฝันสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของเพื่อนบ้านน่ารำคาญ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยทั้งสองทีมจะลงวัดฝีเท้ากันในช่วงดึกของวันพุธที่ 6 มกราคม เวลา 02.45 น. หรือเข้าสู่ช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม ตามเวลาประเทศไทย ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ
เจ้าบ้าน “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหล่าตัวหมากของ “เฮียยิ้ม” โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เร่งฟอร์มในช่วงหลังในบอลลีกจนแฟนบอลแทบจะต่อ “รถแห่” เพราะมีแต้มเท่ากับแชมป์เก่าคู่อริตลอดกาลอย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จ่าฝูงลีกแดนผู้ดีแบบแข่งน้อยกว่า รูปแบบการเล่นยังคงมีทีเด็ดอยู่ในจังหวะสวนกลับ การเข้าทำยังคงไม่หลากหลายเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ขึ้นเกมจำเป็นต้องเอาบอลไปอยู่กับเพลย์เมคเกอร์ตัวแบกแค่คนเดียว ในเรื่องของเกมรับต้องลุ้นกันเกมต่อเกมว่าสมารถคงสมาธิได้มากแค่ไหนและสถานการณ์ในเกมมีความกดดันประมาณเท่าใด การลงเล่นนัดล่าสุดเป็นเกมลีกนัดประเดิมปีใหม่ที่เปิดบ้านเฉือนชนะ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า แบบเสียวไส้ 2-1 สภาพความสมบูรณ์ของทีมในเกมนี้จะอดใช้งาน เอดินสัน คาวานี่ กองหน้ามากประสบการณ์ที่โดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษแบนจากการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมในโลกโซเชี่ยล และ วิคเตอร์ ลินเดลอฟ เซ็นเตอร์แบ็คที่เข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บหลังเพียงสองราย ที่เหลือคนอื่นๆ ฟิตสมบูรณ์ไร้ปัญหาใดๆ ให้ต้องกังวลพร้อมลงรับใช้ทีมได้ทั้งหมด โดยสตาร์ที่น่าจะเป็นตัวตัดสินเกมขอชี้เป้าไปที่ อ็องโตนี่ มาร์กซิอัล ดาวยิงหน้าเฉยที่เจาะตาข่ายผู้มาเยือนได้เป็นประจำ
อาคันตุกะ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การนำหางเสือของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ปีนี้ปัญหาใหญ่ในช่วงต้น คือการผสมเคมีนักเตะซูเปอร์สตาร์ที่ทุ่มเงินซื้อมาให้เข้ากัน ยิ่งเฉพาะในแผงหลังที่กว่าจะเจอคู่เซ็นเตอร์แบ็คที่ไว้ใจได้ก็เสียทรงไปนานพอตัว ในเวลานี้ปัญหาใหม่เป็นเรื่องขาดกองหน้าตัวเป้าธรรมชาติจนต้องปรับเปลี่ยนแผนแบบนัดต่อนัด การลงสนามนัดล่าสุดนั้นเป็นเกมลีกนัดบิ๊กแมตช์ที่บุกสอนบอล “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ถึงถิ่นแบบขาดลอย 3-1 ด้วยการใช้แท็คติกแนวใหม่มีตัว False 9 ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเกมนี้จะอดใช้งานผู้เล่นที่ติดเชื้อโควิด-19 อย่าง เอแดร์สัน, เอริก การ์เซีย, ไคล์ วอล์คเกอร์ และ กาเบรียล เฆซุส รวมไปถึง ฟิลิปป์ แซนด์เลอร์ กองหลังตัวอะไหล่ที่เข้ารับการผ่าตัดเข่า นอกเหนือจากรายชื่อที่กล่าวมาพร้อมเบียดแย่งตำแหน่งเป็นตัวจริงได้หมด แน่นอนว่าสตาร์ที่น่าจับตามองหนีไม่พ้น เควิน เดอ บรอยน์ ที่แทบจะเป็นทุกอย่างในแนวรุกและเพิ่งเบิกสกอร์มาหมาดๆ
วิเคราะห์ก่อนเกม เหมือนว่าวัดกันที่ชื่อกุนซือ โอเล่ จะดูเป็นรอง เป๊ป แบบคนละชั้น แต่เหลือเชื่อว่าสามนัดหลังที่วัดกันเทรนเนอร์ชาวสเปนไม่สามารถกิน เฮียยิ้ม ได้เลยแม้แต่นัดเดียวแถมปราชัยไปถึงสองเกม ปฏิเสธได้ยากว่าแท็คติกของสองทีมนั้นแพ้ทางกันอยู่ ปีศาจแดง นั้นมีไม้ตายในเรื่องเกมเคาน์เตอร์แอทแทค ที่มีเพลย์เมคเกอร์คอยแจกคิลเลอร์พาสแบบให้ตัวรุกที่มีความเร็วอาศัยจังหวะฉาบฉวยเข้าไปทำสกอร์ รวมไปถึงท่าไม้ตายเรื่องการได้ลูกจุดโทษจากจังหวะเลี้ยงลุยเข้าไปล้มวัดใจกรรมการเป็นประจำ ต่างกับผู้มาเยือน เรือใบสีฟ้า ที่เน้นครองเกมแบบเท้าสู่เท้า รอจังหวะเข้าทำแบบเน้นๆ นวดไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน แต่ลืมเรื่องแท็คติกในนัดก่อนที่เล่นแบบ False 9 ได้เลย เพราะคงกินกองหลังเจ้าถิ่นที่มีตัวเข้าหนักตั้งแต่จังหวะแรกไม่ได้ผล แล้วคงกลับมาเล่นแบบที่ตัวเองถนัดมากกว่า เกมล่าสุดที่เพิ่งเจอกันไปก็จืดซะยิ่งกว่าก๋วยเตี๋ยวเด็ก มองว่าเกมก็น่าจะมาทรงเดิม เรือใบที่ขาดหน้าเป้าเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกเข้าใส่อยู่ข้างเดียว ส่วนผีแดงก็รอรับแล้วสวน แต่ด้วยเกมรับของทางทีมเยือนในปีนี้ที่กลายเป็นกำแพงเหล็กเสริมด้วยธนบัตร มองว่าเกมนี้มีโอกาสจบลงด้วยผลเสมอแล้วค่อยไปวัดกันต่อในการยิงจุดโทษ หรืออาจจะมีผลแพ้ชนะกันด้วยประตูเดียว
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4-3-1-2) : ดาบิด เด เคอา (GK) – อารอน วาน-บิสซาก้า, เอริก ไบญี่, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, ลุค ชอว์ – ปอล ป็อกบา, เฟร็ด, สกอตต์ แมคโทมิเนย์ – บรูโน่ แฟร์นานเดส – มาร์คัส แรชฟอร์ด, อ็องโตนี่ มาร์กซิอัล
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4-3-3) : แซค สเตฟเฟน (GK) – ชูเอา คานเซโล่, จอห์น สโตนส์, รูเบน ดิอาส, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ – เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี้, อิลคาย กุนโดกัน – ริยาด มาห์เรซ, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เฟร์ราน ตอร์เรส
ผลสกอร์ที่คาด : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้