ลิเวอร์พูล เพิ่งสร้างความยิ่งใหญ่ให้โลกได้จดจำอีกครั้งกับการคว้าแชมป์ยุโรปสมัย 6 มาครองได้สำเร็จ
จุดหักเหเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อ ลิเวอร์พูล ได้จุดโทษแบบสายฟ้าฟาดอันส่งผลให้ สเปอร์ส ซึ่งเป็นรองตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม เจองานยากเข้าไปใหญ่ ลิเวอร์พูล อาศัยการบีบสูงถึงหน้าเขตโทษแล้วไล่เพรสซิ่งในแดนกลางเป็นระยะส่งผลให้ สเปอร์ส ทำเกมรุกไม่ถนัด ต่อเมื่อนำเร็วก็เน้นเกมรัดกุมมากขึ้นด้วย
เปอร์เซนต์การครองบอลของคลับไก่สูงกว่าเยอะก็จริง แต่สังเกตให้ดีจะพบว่าพวกเขาได้แต่เคาะบอลกันไปมาในแดนตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ เท่านั้นไม่พอ ผู้เล่นหลายคนโชว์ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐาน แถมเหมือนตื่นสนามจนส่งบอลกันผิดๆ ถูกๆ โดยเฉพาะ คีแรน ทริปเปียร์ กับ เดเล่ อัลลี ขณะที่ คริสเตียน เอริคเซ่น ก็ไม่เด่นเท่าไหร่ หนำซ้ำตัวความหวังอย่าง แฮร์รี่ เคน แทบไม่มีบทบาทอะไร หนำซ้ำตัวความหวังอย่าง แฮร์รี่ เคน แทบไม่มีบทบาทอะไร
ช่วง 20 นาทีสุดท้าย สเปอร์ส พยายามเร่งเครื่อง ขณะที่ผู้เป็นกุนซือส่งตัวสำรองอย่าง ลูกัส มูร่า กับ เฟร์นานโด ยอเรนเต้ ลงมาเสริมเกมรุกจึงบุกกดดันพลางหาจังหวะถล่มตาข่ายได้มากขึ้น แต่ทว่าเกมรับของหงส์แดงยังคงเหนียวแน่นและไม่พลาดง่ายๆ เหมือนที่เคยแสดงให้เห็นมาตลอดซีซั่น เฉพาะอย่างยิ่ง เฟอร์จิล ฟานไดค์ ที่ไม่ปล่อยให้คู่แข่งเลี้ยงผ่านพลางดักตัดจังหวะสำคัญได้ตลอด เช่นเดียวกับผู้รักษาประตูอย่าง อลิสซง ที่แน่นอนมาก ไม่มีเฟอะฟะเหมือนคนเฝ้าเสาในนัดชิงฯ เมื่อปีที่แล้ว
ด้วยเกมรับที่แข็งแกร่ง + ความเด็ดขาดกว่า + ดวงอีกเล็กน้อยนี่แหละช่วยให้ ลิเวอร์พูล ชนะน้องไก่แบบไม่ระบมหัวแม่ตีนสักเท่าไหร่ตามคาด