เชื่อได้ว่า แฟนฟุตบอลหลายคนต่างก็รู้ดีว่า เวย์น รูนี่ย์ อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมตัวเข้าสู่อาชีพผู้จัดการทีมอยู่แล้วหลังจากที่เขาย้ายมาเล่นกับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ สโมสรในศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในบทบาทนักเตะ และโค้ชเมื่อเดือนมกราคมปี 2020
ปัจจุบัน รูนี่ย์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุนซือ ดาร์บี้ อย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ซึ่งการทำหน้าที่ดังกล่าวมันเป็นสิ่งที่ อดีตหัวหอก แมนฯ ยูไนเต็ด ใฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยเป็นดาวรุ่งแล้ว
รูนี่ย์ เริ่มเล่าว่า “ผมอาจจะคิดถึงการคุมทีมตั้งแต่ตอนที่ผมอายุประมาณ 19-20 เลยด้วยซ้ำ ผมชอบศึกษาเรื่องแท็คติคมาตลอด ผมเชื่อว่านั่นคือเหตุผลที่ผมสามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง ผมสามารถรับข้อมูล และแสดงมันออกมาในสนามได้ ผมชอบดูรายละเอียดของผู้เล่นคนอื่นในระหว่างเกม มันเป็นสิ่งที่ผมเชื่อเสมอว่า ตัวเองจะทำได้ดี และผมอยากจะทำ”
“ผมจำได้ว่าตอนที่ผมยังเด็ก ผมรู้ว่าวันหนึ่งผมจะต้องจบเส้นทางอาชีพด้วยการเล่นในตำแหน่งกองกลาง ดังนั้น ทุกๆวันในการฝึกซ้อมผมจะดู พอล สโคลส์ เป็นตัวอย่าง และศึกษาการเล่นของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมศึกษารายละเอียดในเกมมานานแล้ว และเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง และความเข้าใจเกมของผม ผมคิดว่า ตัวเองสามารถช่วยทีมได้”
ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมทีมเท่านั้นที่ รูนี่ย์ มักเฝ้ามองรายละเอียดในการเล่น และการฝึกซ้อม แต่บรรดายอด กุนซือที่เขาเคยร่วมงานด้วยโดยเฉพาะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, หลุยส์ ฟาน กัล และ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เขานำมาปรับใช้ในการทำงาน
“ผมคิดว่า ตัวเองเป็นโค้ชที่มีการผสมผสานระหว่างผู้จัดการทีมหลายๆคนที่แตกต่างกันที่ผมเคยทำงานร่วมกับพวกเขา และผมพยายามมองดูจุดแข็งของพวกเขามาตลอด แต่จุดอ่อนของพวกเขาก็สำคัญพอๆกัน”
“สิ่งที่ชัดเจนคือ เซอร์ อเล็กซ์ รู้วิธีที่เขาจัดการกับผู้เล่นแต่ละคน และวิธีที่เขาทำให้ผู้เล่นเหล่านั้นกระตือรือร้น และพร้อมที่จะเล่นแบบเกิน 100 เปอร์เซน นั่นเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก ส่วน ฟาน กัล ก็เป็นจอมแท็คติค และวิธีที่เข้าเล่นเกมรับเพื่อไม่ให้เสียประตูนั้นสุดยอดจริงๆ”
“ขณะที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นผู้ชนะ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชัยชนะ ดังนั้น เขาจึงแตกต่างกันกับผู้จัดการทีมทุกคนที่ผมเคยทำงานด้วย และผมสามารถใช้จุดแข็งของพวกเขามาทำงานได้ แต่สิ่งที่ผมต้องทำคือเป็นตัวของตัวเอง และทำทีมของผมให้ดี”
สิ่งหนึ่งที่อดีตผู้จัดการทีมของ รูนี่ย์ หลายคนไม่ต้องรับมือคือ การให้ฝึกสอน และคำแนะนำผู้เล่นที่คุณภาพไม่มากนัก และในขณะที่ รูนี่ย์ เป็นหนึ่งในนักเตะชาวอังกฤษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่เขาก็จะทำหน้าที่โค้ชให้ดีที่สุด
“ผมเข้าใจว่า ไม่ใช่ลูกทีมของผมทุกคนจะมีความสามารถแบบเดียวกับที่ผมมีสมัยเป็นผู้เล่น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงศึกษารายละเอียดต่างๆในเกมนานมาก ผมต้องจัดการผู้เล่นกลุ่มนี้ ใช้จุดแข็ง และความสามารถของพวกเขาให้ดีที่สุด และค่อยๆปรับปรุงพวกเขาในรายบุคคล และในฐานะทีม”
“เราทุกคนสามารถนั่งที่นี่ และบอกว่า เราสามารถก้าวไปเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก และทำผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ แต่สำหรับผมส่วนหนึ่งของเหตุผลในการไปสหรัฐอเมริกาคือ การได้สัมผัสกับสิ่งที่แตกต่างจากพรีเมียร์ลีก และจากนั้นผมก็ต้องการมาสัมผัสกับศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ เพื่อศึกษาฟุตบอลอีกระดับหนึ่งของอังกฤษ”
“ผมรู้สึกเหมือนได้รับประสบการณ์ที่ดีจากผู้เล่นระดับท็อป แต่ผมก็ได้รับประสบการณ์ที่ดีของผู้เล่นที่พยายามขึ้นไปสู่ลีกสูงสุด และผมรู้สึกว่า ผมสามารถช่วยให้พวกเขาเข้าถึงศักยภาพของพวกเขาได้” อดีตศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษ กล่าว
มันเป็นทางเลือกอย่างชัดเจนของ รูนี่ย์ ที่ย้ายมายัง ดาร์บี้ ในช่วงปลายอาชีพค้าแข้งก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้กุมบังเหียนในถิ่นไพรด์ พาร์ค สเตเดี้ยม ด้วยสัญญาระยะยาว 2 ปีครึ่ง โดยอดีตดาวเตะ “ปีศาจแดง” วัย 35 ปี ยังรักการเล่นฟุตบอลอยู่ แต่เมื่อโอกาสเป็นกุนซือเต็มตัวเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
รูนี่ย์ กล่าวต่อว่า “มันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่า อยากจะก้าวมาอยู่จุดนี้เสมอ ผมย้ายมา ดาร์บี้ ในฐานะผู้เล่น และโค้ช ผมเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน และรู้สึกว่า ถ้าโอกาสที่เหมาะสมมาถึงผมก็พร้อมจะแขวนสตั๊ดเพื่อเข้าสู่การเป็นกุนซือทันที ผมคิดว่า นี่เป็นโอกาสที่เหมาะสมแล้ว ผมรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนที่เหมาะสมที่จะช่วยให้สโมสรนี้ก้าวไปข้างหน้า”
“ผมเข้ามาในทีม และเราทำได้ดีมากในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลที่แล้ว เราเพิ่งพลาดโอกาสในรอบเพลย์ออฟ ดังนั้น การเป็นกุนซือ ดาร์บี้ มันจึงไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดว่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ แต่เราเริ่มฤดูกาลใหม่ได้ไม่ดีนัก และ ฟิลิปป์ โคคู ก็จากไป”
“ณ จุดนั้นผมรู้สึกว่า ตัวเองรู้จักสโมสรแห่งนี้ดี และนักเตะทุกคนก็เปิดโอกาสให้ผมก้าวเข้ามาทำหน้าที่ ผมรู้สึกพร้อมสำหรับงานนี้ และผมรู้สึกว่า มีโอกาสครั้งใหญ่ที่ผมจะช่วยพลิกโฉมสโมสรแห่งนี้และเริ่มก้าวไปข้างหน้า”
“สโมสรเข้ามาหาผม และขอให้ผมทำมันด้วยตัวเอง จากนั้น ผมรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องทุ่มเทพลัง และมุ่งมั่นไปที่ทีมอย่างเต็มที่ และผมต้องหยุดเล่นฟุตบอลแล้ว ผมรู้ว่า ตัวเองไม่ได้นำพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาใช้ในปีที่แล้ว แต่ผมนำบางสิ่งที่แตกต่างมาสู่ทีม”
“ผมรู้สึกว่าทีมนี้ต้องการพลังงาน และผู้เล่นต้องการความเข้มข้นในเกม แต่ด้วยวัยของผมไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้แล้ว แต่ผมยังสามารถเล่นฟุตบอล และมีอิทธิพลต่อเกมในสนามได้ และผมรู้สึกว่า ตัวเองสามารถมีอิทธิพลต่อทีมนี้ได้มากขึ้นเมื่ออยู่นอกสนาม”
มูรินโญ่ อาจเป็น “ผู้ชนะ” ในคำอธิบายของ รูนี่ย์ แต่คำว่า “ผู้ชนะ” อีกนัยหนึ่งของ อดีตหัวหอก แมนฯ ยูไนเต็ด คือ การประสบความสำเร็จ โดยระบุว่า “เมื่อผมหยุดทำงานนี้ ผมก็อยากถูกจดจำในฐานะผู้ชนะ เห็นได้ชัดว่า คุณแพ้ได้ และคุณไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ทุกปีหรอก”
นายใหญ่ ดาร์บี้ กล่าวต่ออีกว่า “แต่ผมต้องการเป็นผู้ชนะ และสร้างความคิดที่จะชนะให้กับผู้เล่นของผมด้วยความกระหาย และความเชื่อที่จะเล่นเพื่อกันและกันและไว้วางใจซึ่งกันและกัน”
“ผมรู้สึกว่า จุดแข็งของผมคือ วิธีจัดการผู้เล่น และความซื่อสัตย์ของผมที่จะบอกว่า พวกเขาทำได้ผลงานดีหรือไม่ รวมถึงสิ่งที่พวกเขาต้องปรับปรุง และไม่ว่าพวกเขาจะฝึกซ้อมหรือเล่นได้ดีหรือไม่ดี พวกเขาต้องแสดงความกระหายออกมาตลอดเวลา”
“ในการพบกันครั้งแรกระหว่างผมกับลูกทีม ผมบอกพวกเขาชัดเจนว่า ถ้าคุณต้องการเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ คุณต้องเล่นเพื่อผม และทำงานหนัก แต่ถ้าคุณไม่ทำแบบนั้น คุณสามารถเดินออกจากสโมสรได้ทันที ซึ่งบางทีพวกเขาอาจไม่ได้คาดหวังคำพูดแบบนั้นจากผม แต่มันเป็นข้อความที่ผมต้องใช้เมื่อเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้จัดการทีม”
ปัจจุบัน ดาร์บี้ ขยับหนีโซนตกชั้นได้แล้ว ซึ่งเป้าหมายแรกที่ รูนี่ย์ วางเอาไว้คือ รอดตกชั้น และสำหรับเป้าหมายในอนาคตก็คือ การพาพลพรรค “แกะเขาเหล็ก” กลับไปโลดแล่นในศึกพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
“เราก้าวหน้าอย่างมาก และเราก็ทำได้ดีขึ้น เรากำลังได้รับผลการแข่งขันที่ต้องการ และเรากำลังขยับอันดับขึ้นมาแล้ว ผมคิดว่า เรามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในความคิดผู้เล่นที่เชื่อว่า ตอนนี้พวกเขาเป็นทีมที่ดีมาก และพวกเขาสามารถเอาชนะทีมใดก็ได้ในแชมเปี้ยนชิพ”
“เรารู้วิธีที่จะชนะในรูปแบบต่างๆ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับเรา นับตั้งแต่ผมคุมทีม เราสามารถต่อสู้ และเอาชนะคู่แข่งได้ หรือเล่นฟุตบอลที่ดีพร้อมกับคว้าชัยชนะได้ พวกเขาปรับตัวได้ดีจริงๆ ตามสไตล์ที่แตกต่างกัน
“ในระยะสั้นมันคือการอยู่รอดในลีกนี้ ผมรู้ว่า เราทำได้ แต่มันเป็นลีกที่แปลก และอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และในอนาคตเรารู้ว่า ถ้าเราสามารถพัฒนาทีมได้อย่างเหมาะสม เราก็อาจได้โอกาสเลื่อนชั้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีก และนั่นคือความใฝ่ฝันของผมที่มีต่อสโมสรแห่งนี้” กุนซือ ดาร์บี้ กล่าวทิ้งท้าย