ในวัย 38 ปี อันเดรส อิเนียสต้า ตำนานเพลย์เมคเกอร์ทีมชาติสเปนของ วิสเซล โกเบ สโมสรดังในศึกเจลีก ประเทศญี่ปุ่น ยังคงสนุกกับการเล่นฟุตบอลอยู่เสมอ และยังไม่เคยคิดเรื่องการประกาศอำลาวงการฟุตบอลแต่อย่างใด
ปัจจุบัน อดีตมิดฟิลด์ บาร์เซโลน่า ในศึก ลา ลีกา สเปน ค้าแข้งกับ วิสเซล เข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว หลังย้ายมากจากถิ่น คัมป์ นู เมื่อซัมเมอร์ ปี 2018 แบบไม่มีค่าตัว และจนถึงตอนนี้ เจ้าตัวลงเล่นในลีกแดนปลาดิบไปมากกว่า 100 เกมแล้ว
เหตุผลที่ทำให้ยังอยากเล่นฟุตบอลต่อไป
อิเนียสต้า เริ่มเล่าว่า “ทำไมผมยังเล่นฟุตบอลตอนอายุ 38 ปี เหรอ ? ถ้าให้ผมลองอธิบายก็คงแบ่งออกเป็น 3 สิ่ง คือ ความรัก ความหลงใหล และความตื่นเต้น นั่นคือเหตุผลที่ผมกลับมาจากอาการบาดเจ็บสาหัสในปี 2020 เพื่อเล่นฟุตบอลในญี่ปุ่นต่อ”
“บางทีมันเป็นเหตุผลเดียวกับที่ ลิโอเนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลูก้า โมดริ จะไปอยู่ที่ประเทศกาตาร์ เพื่อพยายามคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกร่วมกับทีมชาติของพวกเขา”
“มีสถานการณ์ที่แตกต่างกันสำหรับผู้เล่นทุกคนเมื่อเราอายุมากขึ้น แต่บางทีผู้คนอาจไม่ทราบว่า เราทุกคนมีความปรารถนาอยู่เสมอ ความฝันที่ขับเคลื่อนเรา และหลงใหลในสิ่งที่เราทำ เราโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก วันที่ผมไม่รู้สึกถึงอารมณ์ที่ได้เห็นคนเต็มสนาม หรือการพบปะแฟนๆ และเพื่อนร่วมทีมของผม อาจเป็นวันที่ผมไม่ควรจะลงเล่นอีกต่อไปแล้ว และสำหรับผมฟุตบอลก็จบลง”
อดีตกองกลาง “เจ้าบุญทุ่ม” กล่าวต่ออีกว่า “ผมยังไม่พร้อมสำหรับวันนั้นหรือ และสำหรับคนอื่นๆ มันอาจเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายสำหรับพวกเขาเช่นกัน แต่จะมีอย่างอื่นตามมาอีก และทุกคนรวมถึงตัวผมเองอยากเห็นว่าผู้เล่นรุ่นใหม่ๆพัฒนาขึ้นอย่างไรบ้าง”
“ฟุตบอลโลกครั้งนี้จะแตกต่างออกไปสำหรับผม เพราะบางสิ่งในชีวิตของผมเปลี่ยนไปแล้ว ฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2002 ผมจะดู แทนที่จะพยายามลงสนามเพื่อคว้าแชมป์กับทีมชาติสเปน ซึ่งครั้งนี้จะต่างไปจากเดิมมาก แต่ผมก็มีความสุขเหมือนกัน”
“การเป็นกองเชียร์มันช่วยให้ผมเหมือนกันในฐานะที่ตัวเองไม่ได้เล่นในระดับนานาชาติแล้ว ผมอำลาทีมชาติมาตั้งแต่ ฟุตบอลโลก ปี 2018 ดังนั้น ผมจึงต้องเปลี่ยนจากนักเตะมาเป็นแฟนบอลแทน”
ฟุตบอลโลกเป็นรายการที่น่าเหลือเชื่ออยู่เสมอ และผมจะสนุกไปกับทัวร์นาเมนต์นี้ในวิธีที่ต่างไปจากเดิม โดยเริ่มจากการเชียร์สเปนกับเพื่อนๆ ครอบครัว และลูกๆ ของผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ผมชอบทีมสเปนชุดนี้มาก ผมรู้จัก และชื่นชมผู้จัดการทีม หลุยส์ เอ็นริเก้ ผมชอบสการทำงสานของเขา และเรามีผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม”
“พวกเขาต้องหาความสม่ำเสมอ และถ้าพวกเขาหาจังหวะการเล่นที่ยอดเยี่ยมได้ ผมเชื่อว่าสเปนคือ ผู้ท้าชิงตำแหน่งแชมป์ และในฐานะชาวสเปน นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการ และผมเชื่อมั่นในทีมนี้ว่าจะประสบความสำเร็จได้” อิเนียสต้า กล่าว
เคยเจอกับสภาวะซึมเศร้า และก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ในอดีตที่ผ่านมา อิเนียสต้า เคยได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลก เขาพา บาร์เซโลน่า กวาดแชมป์ได้มากมาย และประสบความสำเร็จอย่างสุดยอดกับทีมชาติสเปน แต่หลายคนไม่รู้ว่า เจ้าตัวมีปัญหาอย่างหนักเกี่ยวกับสภาพจิตใจ
อดีตแข้ง “กระทิงดุ” เล่าว่า “สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ในชีวิตคือ การอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา ตอนนี้ผมสบายดี ทั้งทางร่างกายในแง่ของการเล่นฟุตบอล และสุขภาพโดยส่วนตัว แต่ด้วยสุขภาพจิตของผม ก่อนหน้านี้มันก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป”
“ก่อนฟุตบอลโลก 2010 ผมต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมากกับสภาวะซึมเศร้า มีหลายครั้งที่ผมไม่อยากจะฝึกซ้อม พบปะครอบครัว หรือเพื่อนฝูง หรือทำอะไรเลย ฟุตบอลโลก ช่วยผมได้จริงๆ แต่สถานการณ์ที่ผมประสบมามันสอนผมมากมายเกี่ยวกับความเปราะบางของจิตใจ”
“การผ่านมันไปได้ทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น และมีจิตใจที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งหมดนี้มีประโยชน์มากในสถานการณ์อื่นๆ ในชีวิตของผม ไม่ใช่แค่ในสนามฟุตบอล ผมรู้ว่า เราต้องฝึกจิตใจ เหมือนกับที่คุณฝึกร่างกาย สำหรับผมตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมที่ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิตประจำวัน”
“ผมมองย้อนกลับไปของช่วงเวลานั้นในชีวิตว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริงสำหรับผม และผมจะใช้มันเป็นตัวอย่างสำหรับผู้เล่นคนอื่นๆ หรือผู้ที่มีปัญหา เพื่อแสดงให้เห็นว่า เพราะเหตุใดพวกเขาจึงควรมีความหวัง”
“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มันมืดมนมากๆ หลังจากที่เพื่อนของผม ดานี่ ฆาร์เก้ เสียชีวิตในปี 2009 แต่มันจบลงด้วยช่วงเวลาที่วิเศษจริงๆ ผมทำประตูให้กับสเปนในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 2010 นั่นคือสิ่งที่ผมจะบอกทุกคนที่กำลังดิ้นรนในขณะนี้ว่า ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตของคุณสามารถตามมาด้วยช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณได้”
“ผมเรียนรู้วิธีที่คุณต้องการความแข็งแกร่งเพื่อเอาชนะช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณต้องขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น เพราะโดยส่วนตัวเราจะอ่อนแอกว่าตอนที่เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบางสถานการณ์”
“การได้รับความช่วยเหลือนั้นทำให้ผมได้ความปรารถนากลับคืนมา และด้วยความคิดเชิงบวก คุณสามารถเรียนรู้ และเอาชนะทุกสิ่งได้ ผมดิ้นรนแต่ผมมีกำลังใจที่แข็งแกร่งมาก กลไกในชีวิตของผมคือ ฟุตบอล และฟุตบอล ก็ดึงผมให้ผ่านพ้น และทำให้ผมได้ใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดช่วงเวลาหนึ่ง”
ขณะเดียวกัน การย้ายมาเล่นที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป เนื่องจากในช่วงปี 2020 อิเนียสต้า ได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อฉีกอย่างรุนแรงในเกม เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ วิสเซล ปะทะกับ เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี จากศึกไชนีส ซุเปอร์ลีก
อิเนียสต้า เปิดเผยว่า “การผ่านประสบการณ์บาดเจ็บหนักมันช่วยผมได้อย่างแน่นอน สำหรับผม ช่วงเวลาบาดเจ็บนั้น เป็นช่วงเวลาที่ซับซ้อนมากที่จะยอมรับได้ มันเป็นช่วงเวลาแห่งการคิด ตอนนั้น ผมอายุ 36 ปี และผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”
“จากวันแรกผมคิดถึงแค่การฟื้นตัว และกลับมาเป็นนักฟุตบอลอีกครั้ง แต่ผมไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า หรือต้องใช้เวลานานแค่ไหน มันเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว และมักจะเป็นการทำงานส่วนตัวสำหรับผู้เล่นอย่างแท้จริง”
“ผมโชคดีที่ฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ทางร่างกาย และสุขภาพจิตของผมก็มีความสำคัญเช่นกันในเวลานั้น ผมมีเพื่อนร่วมทีม สตาฟฟ์โต้ช ครอบครัว และคนที่ผมไว้ใจ และคนที่ผมสามารถสื่อสารความรู้สึกของผมออกไปได้”
“คนเราจะมีทั้งวันที่ดี และวันที่แย่ แต่ผมมีกรอบความคิดเชิงบวกเสมอ และตอนนี้ก็เหมือนเดิม ผมรู้ดีว่าผมมีเวลาไม่มากนักในวงการฟุตบอล แต่ผมกำลังพยายามอยู่กับปัจจุบัน และสนุกกับมันให้มากที่สุด” อิเนียสต้า กล่าวทิ้งท้าย