25 ดีลที่จ่ายแพงเกินจริงตลอดกาล ในวงการโลกลูกหนัง ตอนแรก

หลังจากกระแสการย้ายทีมของ ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าจากสโมสร เบนฟิก้า มาซบตักรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อย่าง ลิเวอร์พูล มีการประกาศอย่างเป็นทางการออกมา แล้วปรากฏว่า ค่าตัวที่คาดเดากันเเอาไว้จากหลายสื่อ มีการรายงานตรงกันว่า หงส์แดง ต้องควักกระเป๋าแบบเบ็ดเสร็จ ไปทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 85 ล้านปอนด์ นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงเอามากๆ สำหรับการแลกกับนักเตะหนึ่งคน ที่ฟอร์มเปรี้ยงปร้างขึ้นมาเพียงแค่ซีซั่นเดียว จากการกดไปทั้งหมด 34 ลูก ซึ่งแพงกว่าการคว้าตัว เวอร์จิล ฟาน ไดค์จส ปราการหลังทีมชาติฮอลแลนด์ ที่จ่ายไปราว 75 ล้านปอนด์ จนเสียงของแฟนบอลต่างแตกออกเป็นสองฝ่ายว่า คุ้ม กับ ไม่คุ้ม

แน่นอนว่าดีลของ นูนเญซ นั้นทาง เจอร์เก้นน์ คล็อปป์ กุนซือมากประสบการณ์ชาวเยอรมัน คงคิดมาดีแล้วว่า เป็นการซื้อตัวเพื่ออนาคต จึงจับเซ็นต์สัญญายาวกันถึง 6 ปี อย่างไรก็ตามหากเป็นแฟนบอลที่ติดตามข่าวสารเรื่องการซื้อ-ขาย ผู้เล่นกันเป็นประจำ คงจะเคยได้ยินชื่อเว็บไซต์อย่าง ทรานสเฟอร์มาร์เก็ต ที่เป็นสื่อที่น่าเชื่อถือจากต่างประเทศ ที่มีการตีราคานักเตะจากปัจจัยต่างๆ ออกมาเป็นค่าตัวกลาง เพื่อเป็นแนวทางคร่าวๆ ว่า ผู้เล่นแต่ละราย ควรจะมีมูลค่าอยู่ที่เท่าไหร่กันบ้าง? ซึ่งในดีลนี้จะเห็นว่า หงส์แดง จ่ายเกินราคาไปมากพอดู แต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เพิ่งจะเคยเกิดบนโลกฟุตบอล เพราะเมื่อสถานการณ์บีบบังคับ แล้วจำเป็นต้องเอาชนะคู่แข่งที่เล็งเป้าหมายเดียวกันไว้ ยังไงก็ต้องยอมจ่ายเพื่อไม่ให้กินแห้ว

บทความนี้ 168Kick พร้อมนำเสนอคอนเทนต์เกี่ยวกับการย้อนรอย 25 ดีลที่จ่ายแพงเกินจริงตลอดกาลในโลกลูกหนัง หากใช้ข้อมูลอ้างอิงจากราคากลางจาก ทรานสเฟอร์มาร์เก็ต ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยจะขอแบ่งแยกย่อยออกเป็น 5 ตอน แล้วเรียงลำดับค่าตัวจากน้อยไปมาก ซึ่งในอีพีเปิดหัวนี้จะเรียกน้ำย่อยกันในอันดับที่ 25-21 กันไปก่อน มาลุ้นกันไปพร้อมๆ กันเลยว่า สโมสรใดกันบ้างที่ยอมเปย์เงินมหาศาลเกินราคาประเมิน? แล้วดีลดังกล่าวเป็นการย้ายทีมของนักเตะคนใด? จ่ายแพงกันไปมากขนาดไหน?

เปิดหัวกันที่อันดับที่ 25 เป็นดีลของ ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ แนวรุกทีมชาติเยอรมัน ที่ย้ายจาก ชาลเก้ 04 ไปอยู่กับ โวล์ฟบวร์ก ที่มีการจ่ายเกินจริงไปมากถึง 18.9 ล้านปอนด์ ในเวลานั้น ดรักซ์เลอร์ นับเป็นเพชรเม็ดงามบนเวที บุนเดสลีก้า ที่หลายสโมสรต่างจ้องกันตาเป็นมัน ราคาประเมินของเขาที่เหมาะสมอยู่ที่ราว 19.8 ล้านปอนด์เท่านั้น แต่ทาง หมาป่าแห่งเมืองเบียร์ ที่ต้องการเอาชนะคู่แข่งที่พร้อมแย่งลายเซ็นต์ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดเข้าไปให้ ราชันสีน้ำเงิน พิจารณา ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองสโมสรตกลงค่าตัวของ ดรักซ์เลอร์ กันได้ที่ราว 38.7 ล้านปอนด์ ถือว่าเป็นตัวเลขที่แพงเอาเรื่อง แต่ผลงานรวมๆ ก็พอถูไถ เป็นที่พึ่งให้กับทีมได้อยู่ในช่วงสั้นๆ

ต่อกันที่อันดับที่ 24 เป็นดีลของกองหน้าชาวเซเนกัลอย่าง ซาดิโอ มาเน่ ที่ย้ายจาก เซาแธมป์ตัน มาค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล ในถิ่น แอนฟิลด์ ซึ่งมีการจ่ายแพงกว่าราคาประเมินไปถึง 19.08 ล้านปอนด์ ในเวลานั้น มาเน่ ทำผลงานให้กับ นักบุญ ได้อย่างโดดเด่น ฝีเท้าเด่นเกินกว่าที่จะอยู่กับทีมระดับกลาง มีทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง การกระชากลากเลื้อย ที่แหวกแนวรับแข็งๆ ของทีมใน พรีเมียร์ เป็นชิ้นๆ จำนวนประตูที่ทำได้นับว่าผ่านเกณฑ์ ทำให้หลายสโมสรพร้อมเข้าร่วมประมูลลายเซ็นต์ของเขา หนึ่งในนั้นมีชื่อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ามาเอี่ยวด้วย ต้นสังกัดเลยสามารถเรียกมูลค่าได้สบายๆ

สุดท้ายแล้ว หงส์แดง ต้องจ่ายไปถึง 37.08 ล้านปอนด์ ทั้งที่ราคาของ มาเน่ อยู่ที่ราว 18 ล้านปอนด์ตามราคาตลาดกลางเท่านั้น แต่เชื่อว่าการขายเขาออกไปต่ออีกทอดให้กับ บาเยิร์น มิวนิค คงเรียกเงินคืนได้มากโขอยู่

ถัดมาที่ตำแหน่งอันดับที่ 22 ร่วมรายแรก เป็นกองหน้าจากสาธารณรัฐเช็ก ดีกรีดาวซัลโวร่วมจากศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ที่ย้ายจาก ซามพ์โดเรีย ไปอยู่กับ โรม่า นั่นก็คือ พาทริค ชิก ซึ่งทาง หมาป่าแห่งกรุงโรม ต้องวอดวายเกินจริงไปถึง 19.8 ล้านปอนด์ เนื่องจากราคาประเมินของ ชิค อยู่ที่ราว 18 ล้านปอนด์ แต่ทั้งสองสโมสรตกลงค่าตัวกันได้ที่ 37.8 ล้านปอนด์ นับว่าเป็นการซื้อที่มองถึงอนาคตของ โรม่า ที่กำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนถ่ายสายเลือดใหม่ แล้วต้องการดาวยิงตัวโป้งปิดบัญชีมาค้ำแดนหน้า แต่กลายเป็นว่า ชิค กลับเล่นไม่เข้าแผน แบกรับความกดดันเรื่องค่าตัวไม่ได้ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จังหวะทุกอย่างรวนไปหมด ไม่ต่างกับสากกะเบือราคาแพงที่แฟนบอล จัลโล่รอสซี่ เอือมระอา เพิ่งจะมาดดีขึ้นในช่วงหลังไม่กี่ปีนี้

Manchester City’s midfielder Leroy Sane runs with the ball during a friendly football match between English Premier League club Manchester City and Japan League Yokohama F. Marinos at the Yokohama Stadium, in Yokohama on July 27, 2019. (Photo by CHARLY TRIBALLEAU / AFP) (Photo credit should read CHARLY TRIBALLEAU/AFP/Getty Images)

ต่อกันที่อันดับที่ 22 ร่วมอีกหนึ่งราย เป็นดีลการย้ายของผู้เล่นตำแหน่งตัวริมเส้นอย่าง เลรอย ซาเน่ ความหวังใหม่ของทีมชาติเยอรมันในยุคนั้น ที่ทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถหักด่านหลายทีมในยุโรป คว้าตัวปีกหัวฟูมาร่วมทีมได้ดด้วยค่าตัวสูงถึง 46.8 ล้านปอนด์ จ่ายแพงเกินจริงไปมากถึง 19.8 ล้านปอนด์ ทั้งที่ราคากลางในตลาดตอนนั้น ถูกตีค่าไว้ที่ราว 27 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม ซาเน่ เข้ามาเติมมิติในแนวรุกให้กับ เรือใบสีฟ้า ได้เป็นอย่างดี ความเร็ว ความคล่องตัวของเขา บวกกับทักษะความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม สามารถเอาตัวรอดในลีกอังกฤษได้สบายๆ แต่สุดท้ายก็เกิดอาการโฮมซิก คิดถึงบ้านเกิดเมื่อผ่านไปไม่กี่ปี เลยเป็นช่องให้ บาเยิร์น มิวนิค ตัดสินใจดึงตัวกลับมาเล่นในบ้านเกิด อนาคตยังเป็นตัวหลักให้กับทีมได้อีกยาวๆ

ปิดท้ายกันที่ดีลของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กันอีกเช่นเคย ซึ่งคราวนี้เป็นการซื้อจากทีมยักษ์ใหญ่ร่วมลีก ที่จำเป็นต้องจ่ายแพงแบบไม่มีทางเลือก เนื่องจากไม่มีสโมสรไหนต้องการยื่นหอกให้ศัตรู โดยการย้ายสังกัดของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง แนวรุกฟอร์มแรงจาก ลิเวอร์พูล ข้ามมาอยู่เมือง แมนเชสเตอร์ ทำให้ เรือใบสีฟ้า ต้องยอมทุบคลังควักทุนไปถึง 57.33 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับลายเซ็นต์ของปีกผิวสี ที่มีราคาประเมินอยู่ที่ราว 36 ล้านปอนด์ แต่ขึ้นชื่อว่านักเตะสัญชาติอังกฤษ ยังไงก็ต้องจ่ายแพงเกินจริงอยู่แล้ว แล้วดีลครั้งนั้นก็โดนเรียกราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็นไปถึง 21.33 ล้านปอนด์ แต่นั่นก็แลกมาด้วยจำนวนถ้วยแชมป์หลายรายการ ที่เรียงคิวเข้ามาในตู้เก็บถ้วยในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม แล้วถ้าเลือกที่จะขาย ราฮีม ออกไป คงจะพอถอนทุนได้เงินก้อนกลับคืนมาอยู่บ้าง

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top