12 ดีลการแลกตัวนักเตะ ที่ลงเอยแตกต่างกัน ตอนแรก

ผู้เล่นแต่ละรายของแต่ละสโมสร คือ ทรัพย์สินที่สามารถประเมินมูลค่าได้ ไม่ต่างกับสนามแข่งขันหรืออุปกรณ์ต่างๆ บางช่วงเวลาที่ต้นสังกัดเกิดปัญหาสภาพการเงินฝืดเคือง แล้วจำเป็นต้องหาทางระบายนักเตะที่ไม่จำเป็นออกไป รวมไปถึงต้องการเสริมทัพในช่วงเวลาเดียวกัน ทางออกสุดท้าย คือ การหาคู่ค้า ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เพื่อดีลเรื่องการเจรจาแลกตัวนักเตะ ซึ่งอาจมีเงื่อนไขยิบย่อยเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ที่แฟนบอลยุคเก่าอาจคุ้นเคยกันในลีกอิตาลี

การแลกเปลี่ยนตัวผู้เล่นกันระหว่างสองสโมสร หากเป็นนักเตะที่เป็นส่วนเกินของทีมอยู่แล้ว ผลประโยชน์มีสิทธิ์เกิดขึ้นกับนักเตะเต็มตัว เพราะถึงทนอยู่กับต้นสังกัดเดิมไป โอกาสลงสนามก็โดนจำกัด ต่อให้ได้รับค่าเหนื่อยเท่าเดิม ก็ไม่มีวันที่จะได้ขึ้นเงินที่รับอยู่ ต้องอยู่ในสภาพสูญญาการศที่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่เคารพสัญญาที่เซ็นต์ลงไป อนาคตเส้นทางการค้าแข้งอาจดับลงในไม่ช้า ดังนั้นทางออกสุดท้ายด้วยการยอมย้ายไปที่อื่นๆ แม้ว่าจะต้องเริ่มต้นพิสูจน์ตัวเองกันใหม่ ย่อมดีกว่าทนเฉาตายเป็นแน่

บทความนี้ พร้อมนำเสนอคอนเทนต์เกี่ยวกับการ ย้อนรอยดีลแลกตัวนักเตะชื่อดังทั้งหมด 12 ครั้งในโลกฟุตบอล ที่มีบทสรุปลงเอยที่แตกต่างกันออกไปในยุคเก่าก่อน แล้วมีเรื่องราวน่าสนใจมาเล่าขานจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งจะขอแบ่งเป็นสองตอน เพื่อการให้ข้อมูลที่เหมาะสม โดยในตอนแรกนี้คละเคล้าปะปนมาจากหลายลีก มีตอนจบที่ลงเอยทั้งสวยงามและย่ำแย่ มาดูไปพร้อมๆ กันเลยว่า จะมีดีลที่แฟนๆ คิดเอาไว้ในใจติดเข้ามาบ้างหรือไม่? รายละเอียดต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง?

เริ่มต้นกันที่ดีลแรก เป็นการแลกตัวระหว่างสองทีมชื่อดังในเมือง มิลาน อย่าง เอซี มิลาน และ อินเตอร์ มิลาน ที่เป็นอริร่วมเมืองแย่งความสำเร็จกันมาแต่ไหนแต่ไร ฝั่งทาง งูใหญ่ มีของดีอย่าง คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ กองกลางทีมชาติฮอลแลนด์ ที่ติดธงไปแล้วว่า 50 นัด แถมมีแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ติดไม้ติดมือสองสมัย ส่วนฝั่ง ปีศาจแดงดำ มีฟูลแบ็คฟอร์มแรงในวงการฟุตบอลแดนมักกะโรนีอย่าง ฟรานเชสโก้ โคโค่ ที่พร้อมยื่นแลกในข้อเสนอดังกล่าวแบบยื่นหมูยื่นแมว สรุปแล้วกลายเป็นฝั่งของ อินเตอร์ ที่ต้องช้ำใจสุดๆ เสียกองกลางฝีเท้าระดับเวิลด์ คลาส ไปให้กับคู่แข่ง แถมต้องเอานักเตะที่แลกมารักษาในโรงพยาบาลจนแทบไม่ได้ลงสนาม ลงเอยด้วยฟอร์มที่ย่ำแย่ สภาพร่างกายไม่เคยฟิต แล้วทาง โคโค่ ก็แขวนสตั๊ดไปในวัยแค่ 30 ปี ด้าน เซดอร์ฟ ได้แชมป์ยุโรปมาเพิ่มอีกสองสมัย

ต่อเนื่องกันที่ดีลที่พลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของ อินเตอร์ มิลาน เป็นการเลือกที่จะส่งตัว ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เซนเตอร์แบ็คเบอร์หนึ่งของทีม ที่ถูกเทรนเนอร์มองว่ารูปร่างเล็กเกินไป และฟอร์มไม่ค่อยเข้าตามากนัก แม้ว่าจะได้ลงเป็นตัวหลักของทีมกว่า 70 นัด ในรอบสองซีซั่นก็ตาม เพื่อนำไปแลกกับ ฟาเบียน คารินี่ นายทวารมือสองดีกรีทีมชาติอุรุกวัยของ ยูเวนตุส ที่ไม่รู้ว่าสองสโมสรคุยกันอีท่าไหน ถึงประเมินค่าว่านักเตะทั้งคู่มีค่าตัวเท่ากัน เลยจัดการแลกกันตรงๆ ไม่มีบวกเงินเพิ่มในปี 2004 สุดท้ายแล้วอีกสองปีต่อมา คันนาวาโร่ กลายเป็นกองหลังที่ได้รับรางวัล บัลลงก์ ดอร์ ด้วยฟอร์มอันสุดยอด

ถัดมายังคงอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน ที่ดูจะชอบวิธีการดีลแลกตัวเป็นพิเศษ แต่คราวนี้ผลสรุปของพวกเขาต่างออกไปจากเดิม ในปี 2009 เพราะได้เล็งเป้าไปที่ ดิเอโก้ มิลิโต้ กองหน้าเท้าคมชาวอาร์เจนไตน์ และ ติอาโก้ ม็อตต้า มิดฟิลด์เชิงสูงตัวคุมจังหวะจาก เจนัว แล้วเสนอนักเตะ 4 ราย อาทิ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ที่ถูกประเมินราคาไว้แค่ 3 ล้านยูโร โรเบิร์ต อัคควาเฟรสก้า, ฟรานเชสโก้ โบลโซนี่, ริคคาร์โด้ เม็กจอร์รินี่ บวกกับสิทธิ์เป็นเจ้าของร่วม อิวาน ฟาติช รวมไปถึงเงินอีกเล็กน้อย สรุปแล้วกลายเป็นว่า กริโฟเน่ ได้ของที่ใช้ไม่ได้ไปเกือบหมด ส่วนทาง งูใหญ่ ไดด้คีย์แมนสองราย ที่ช่วยให้ โชเซ่ มูรินโญ่ พาทีมคว้าสามแชมป์

ต่อมาเป็นดีลในการแลกตัวผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าที่เกิดขึ้นในปี 2015 ระหว่าง เอซี มิลาน ที่เพิ่งเซ็นต์สัญญาแบบถาวรกับ เฟร์นานโด ตอร์เรส แต่ก็เลือกที่จะนำไปแลกตัวกับ อเลสซิโอ แชร์ชี่ ดาวยิงที่กลายเป็นการดึงตัวที่ผิดพลาดของ ตราหมี ด้วยความหวังว่าจะคืนฟอร์มยามที่นักเตะรายนี้เล่นในบ้านเกิดได้ กลายเป็นว่าฝั่งของ แอตเลติโก เลือกที่จะซื้อขาด ตอร์เรส กลับมารียูเนี่ยนแบบถาวร หลังกลายเป็นคีย์แมนคนสำคัญในแดนหน้าอีกครั้ง ได้ลงเล่นนัดชิงเจ้ายุโรปปี 2016 ส่วนทาง แชร์ชี่ ไม่สามารถทำผลงานระหว่างยืมตัวกับ ปีศาจแดงดำ และ เจนัว ได้น่าประทับใจ ถูกปล่อยเป็นนักเตะไร้สังกัด แล้วมีทาง เวโรน่า เซ็นต์ฟรีไปลองของ

ดีลรองสุดท้ายเป็นการแลกตัวระหว่างสองทีม ที่ลงเอยด้วยความแฮปปี้ทั้งคู่ เริ่มต้นจากทางฝั่ง ลาซิโอ ทีมเงินน้อยประจำลีกแดนมักกะโรนี ตัดสินใจส่ง เฟร์นานโด มุสเรล่า นายทวารทีมชาติอุรุกวัย ไปให้กับ กาลาตาซาราย ทีมดังจากศึก ซูเปอร์ลีก ตุรกี ที่เลือกเอา ลอริก ซาน่า กองกลางทีมชาติอัลแบเนีย ที่เป็นตัวคุมจังหวะมาสลับขั้ว สุดท้ายแล้ว มุสเรล่า กลายเป็นมือหนึ่งให้กับ กาลาตาซาราย ลงเฝ้าเสาไปกว่า 200 เกม ส่วนทาง ซาน่า ก็เป็นแกนหลักในแดนกลางให้กับ อินทรีฟ้าขาว เป็นเวลาราว 4 ซีซั่น ปิดเรื่องแบบวินๆ ไปทั้งสองฝ่าย

ปิดท้ายกันที่ดีลระหว่างสองทีมในเมืองมิลานอีกครั้ง คราวนี้ตัดสินใจแลกตัวผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้ากันบ้าง ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2012 ทาง อินเตอร์ เลือกที่จะส่ง จามเปาโล ปาซซินี่ ดาวยิงจอมขยัน เพื่อนำไปเสี่ยงดวงแลกกับ อันโตนิโอ คาสซาโน่ ศูนย์หน้าแบดบอยของ เอซี มิลาน โดยดีลนี้ฝ่ายของ ปีศาจแดงดำ ต้องยอมจ่ายค่าส่วนต่างให้กับ งูใหญ่ เล็กน้อย เพราะมูลค่าประเมินในเวลานั้น มีส่วนต่างกันอยู่ราว 7 ล้านยูโร บทสรุปของสองดีล คือ ต่างฝ่ายต่างได้สากกะเบือไปยืนค้ำหน้าทั้งคู่ แต่ทาง ปาซซินี่ ยังมีเรื่องของความทุ่มเทให้เห็นใจ ต่างกับทาง คาสซาโน่ ที่ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการเถียงกับ โค้ช, เพื่อนร่วมทีม, บอร์ดบริหาร และ ผู้ตัดสิน ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในสมัยที่เป็นยอดดาวรุ่งออกมาแม้แต่น้อย

Scroll to Top