12 ดีลการแลกตัวนักเตะ ที่ลงเอยแตกต่างกัน ตอนจบ

ต่อเนื่องจากบทความที่แล้วในประเด็นของ 12 ดีลการแลกตัวนักเตะ ที่นำเสนอไปแล้วครึ่งทางในตอนแรกจำนวน 6 ราย สกู๊ปนี้จะเป็นการปิดท้ายคอนเทนต์นี้ให้ครบรส ในการย้อนรอยไปดูการเจรจาสลับขั้วผู้เล่นในยุคก่อนๆ ไล่เรียงมาเรื่อยๆ ให้เห็นถึงพัฒนาการต่างๆ ในการเพิ่มเงื่อนไขลงไป เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินเป็นก้อนๆ เพื่อแลกกับเป้าหมายที่เล็งเอาไว้ของทีมต่างๆ ซึ่งบางสโมสรอาจมีแนวทางใช้จ่ายงบประมาณเสริมทัพต่างกันออกไป แทนที่จะรอขายให้เปลืองเวลา ถ้านำไปยัดไส้ดีลไหนได้ น่าจะจบแล้วแยกย้ายได้ไวกว่า

ในช่วงตลาดซื้อ-ขายนักเตะแต่ละช่วงเปิดทำการ แน่นอนว่า ข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับสโมสรชั้นนำ กลายเป็นคอนเทนต์ที่ขายดีที่สุด ยิ่งเป็นทีมขวัญใจมหาชน มีแฟนบอลคอยหนุนหลังเป็นกองทัพ มีประเด็นขยับเพียงเล็กน้อย ก็สามารถนำมาวนขายข่าวเดิมๆ ได้หลายวัน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วทีมงานที่ดูแลเรื่องนี้เพียงไม่กี่คน เป็นผู้ที่รู้จำนวนเงินที่ได้รับการอนุมัติเรื่องการเสริมทัพจริงๆ แต่สื่อส่วนใหญ่มักจะเล่นใหญ่ไปก่อน ตีว่าทีมที่มีเจ้าของรวยหรือรายได้ปีก่อนๆ มีกำไรเยอะ จะสามารถเซ็นต์นักเตะได้ 3-4 รายขึ้นไป ทั้งที่ค่าตัวสมัยนี้ผู้เล่นระดับสตาร์คนหรือสองคนก็พาเอาหมดงบได้ง่ายๆ

ทางออกเรื่องของการแลกตัว อาจใช้ไม่ได้กับทุกทีมบนโลก เพราะเงื่อนไขต้องขึ้นอยู่กับตัวนักเตะว่าพร้อมย้ายสลับขั้ว แต่เป็นทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ไม่น้อย หากนักเตะที่เป็นเป้าหมายถูกตั้งราคาไว้แพงเกินจริง แล้วทีมที่ต้องการซื้อยังไม่มั่นใจในฝีเท้า แล้วพยายามเลือกเอานักเตะที่ไม่ได้ใช้งาน แต่ทีมที่กำลังติดต่อขาดตำแหน่งนั้นพอดี ยอมรับข้อเสนอแลกตัวบวกเงิน ก็เป็นการลดต้นทุนความเสี่ยงไปได้จำนวนหนึ่ง บทความนี้พร้อมนำเสนอ 6 ดีลสุดท้ายที่คัดเลือกเข้ามาปิดคอนเทนต์ให้สมบูรณ์ มาลุ้นไปพร้อมๆ กันเลยว่า จะมีนักเตะที่พวกคุณคิดเเอาไว้ในใจติดเข้ามาบ้างหรือไม่? แล้วเรื่องราวนั้นลงเอยแบบใด?

เริ่มต้นกันที่ดีลแรกเป็นการแลกตัวที่เกิดขึ้นในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่เชื่อว่าแฟนบอลของฝั่ง เดอะ กันเนอร์ส คงไม่พอใจเกี่ยวกับดีลนี้เท่าไหร่นัก เพราะจุดสตาร์ทเป็นทาง เชลซี ที่ส่งทีมงานมาคุยลับหลังเพื่อกล่อม แอชลี่ย์ โคล แบ็คซ้ายเด็กปั้นของ อาร์เซน่อล ไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงก่อนที่นักเตะจะหมดสัญญาไม่ถึงปี แล้วเมื่อตัวนักเตะคล้อยตามคำชักชวนของ โชเซ่ มูรินโญ่ ทำให้ อาร์เซน เวนเกอร์ ไม่มีทางเลือก ต้องยอมรับข้อเสนอแสนรันทดเป็นเงิน 5 ล้านปอนด์ บวกกับ วิลเลี่ยม กัลลาส ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย สุดท้ายแล้ว โคล ย้ายไปเป็นแชมป์หลายรายการกับ สิงห์บลู ตลอด 7 ปีในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ตามที่เขาหวังไว้ ต่างกับ กัลลาส ที่ใช้เวลา 4 ปีแบบไร้ถ้วย แถมยังทำแสบย้ายไปอยู่กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เสียอีก

ต่อมาเป็นดีลที่คุยกันสามสโมสร ที่ลงเอยด้วยบทสรุปที่ทุกฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการ เรื่องสตาร์ทที่ ยูเวนตุส ต้องการได้ตัว เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ กองหลังของ เจนัว ที่เพิ่งถูกขายสิทธิ์การถือครองครึ่งนึงให้กับ บารี่ มาหมาดๆ พอทาง ม้าลาย มีนักเตะที่พวกเขาต้องการแบบ แซร์โจ้ อัลมิร่อน แล้วยื่นข้อเสนอเป็นเงินบวกกับนักเตะมาล่อ ทำให้ บารี่ ต้องรีบไปซื้อสิทธิ์ที่เหลือครึ่งนึงของ โบนุชชี่ มาจาก เจนัว เพื่อตอบรับข้อเสนอดังกล่าว โดยทาง ยูเวนตุส เป็นตัวกลางช่วยกล่อมให้อีกทาง ด้วยการยอมมอบสิทธิ์ถือครอง โดมินิโก้ คริสชิโต้ แนวรับสาระพัดประโยชน์ให้กับทาง เจนัว เป็นเจ้าของร่วมกันเป็นสินสอดให้ดีลนี้ลุล่วง

ถัดมาเป็นการเจรจาระหว่างสองยักษ์ใหญ่ต่างลีกระหว่าง บาร์เซโลน่า จากศึก ลาลีก้า สเปน กับ เอฟซี ปอร์โต้ ทีมชั้นนำจากประเทศโปรตุเกส แต่เมื่อเป็นดีลของทีมระดับท็อป สิทธิ์การถือครองนักเตะร่วมกันคงไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร่ ข้อเสนอเลยจบลงด้วยการแลกนักเตะ แล้วบวกเงินเข้าไป โดยทาง เจ้าบุญทุ่ม ต้องการตัว เดโก้ เพลย์เมคเกอร์ฟอร์มร้อน ที่เพิ่งคว้าแชมป์ยุโรปกับนายใหญ่อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ มาแบบสดๆ ร้อนๆ เลยเลือกที่จะส่งตัว ริคาร์โด้ ควาเรสม่า ปีกดาวรุ่งพรสวรรค์สูงไปให้ ปอร์โต้ บวกกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง เพราะนักเตะของพวกเขานั้นล้มเหลวในการย้ายมาเล่นแดนกระทิงดุ หลังจากดีลลุล่วง เดโก้ ยังคงเป็นพ่อค้าแข้งเนื้อหอมที่ฟอร์มดีเหมือนเดิม ต่างกับ ควาเรสม่า ที่มีช่วงดีเป็นพักๆ แล้วเดินบนเส้นทางนักพเนจรย้ายทีมไปเรื่อยๆ

ต่อเนื่องกันที่ดีลระหว่าง ลิเวอร์พูล ที่พูดคุยกับ แอตเลติโก มาดริด ในการแลกตัวแนวรุกคนสำคัญของทั้งคู่ โดยทางฝั่ง หงส์แดง นั้นหวังใหญ่ในการดึงตัว เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้ากัปตันทีมของ ตราหมี มาเสริมแนวรุก เลยยอมยื่นข้อเสนออันยากที่จะปฏิเสธเป็นเงินราว 27 ล้านปอนด์ บวกกับผู้เล่นอย่าง หลุยส์ การ์เซีย ที่เคยอยู่ในชุดแชมป์ยุโรปปาฏิหาริย์ที่ อิสตันบูล ปี 2005 แล้วเพิ่งจะอกหักในนัดชิงปี 2007 มาสดๆ ร้อนๆ แล้วกำลังต้องการย้ายทีมแบบพอดิบพอดี ที่มีมูลค่าราว 4 ล้านปอนด์ ดีลดังกล่าวลุล่วงไปด้วยดี ทางฝั่ง ตอร์เรส กลายร่างเป็นเครื่องจักผลิตสกอร์เบอร์หนึ่งในถิ่น แอนฟิลด์ แต่ไม่มีแชมป์ติดมือ ส่วนทาง การ์เซีย ก็อยู่เป็นทางเลือกให้กับเทรนเนอร์ของทีมในแนวรุก จนถึงวันที่สภาพร่างกายและฟอร์มการเล่นของเขาฝืนต่อไปไม่ไหว แล้วค่อยเลือกเส้นทางพเนจรไปอยู่กับอีกหลายสโมสร อาทิ พานาธิไนกอส, พูเอบลา และ เซ็นทรัล โคสต์ มาริเนอร์ส

ถัดมาเป็นดีลรองสุดท้ายที่ทาง เชลซี เจรจาต่อรองกับ เบนฟิก้า ในการดึงตัว ดาวิด ลุยซ์ กองหลังชาวแซมบ้า มาเสริมทัพในปี 2011 ด้วยการเสนอเงินราว 20 ล้านปอนด์แล้วแถมนักเตะอย่าง เนมานย่า มาติช ที่มีราคาประเมินประมาณ 5 ล้านปอนด์ไปให้ด้วย ทำให้ดีลดังกล่าวจบลงแบบไร้ปัญหา แต่น่าตลกไม่น้อยที่ผ่านไป 3 ปี สิงโตน้ำเงินคราม ต้องกลับไปสู่ขอ มาติช กลับมาใช้งานในปี 2014 แล้วดันสวนทางกับ ลุยซ์ ที่ย้ายออกไปอยู่กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง แบบพอดิบพอดีในปีเดียวกัน ทำให้ดวงของทั้งคู่ไม่ได้ร่วมงานกันสักที แต่แล้วในปี 2016 เชลซี ที่ต้องการเสริมแนวรับเป็นการด่วน ตัวเลือกแรกที่พวกเขานึกถึงคือ ลุยซ์ ที่กว่าจะได้ร่วมงานกับ มาติช ก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปถึง 5 ปีเลยทีเดียว

ปิดท้ายกันที่ดีลการสลับตัวของสุดยอดกองหน้าในปลายยุค 2000 เป็นการเจรจาระหว่าง บาร์เซโลน่า และ อินเตอร์ มิลาน ที่ทาง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผุดไอเดียแปลกๆ อยากได้ตัว ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงหัวกบฏชาวสวีดิชของ งูใหญ่ มาเสริมแดนหน้า ถึงขนาดยอมแลกทุกอย่างด้วยการแนบ ซามูเอล เอโต้ กองหน้าตัวเก่งของทีม ที่เพิ่งจะคว้าสามแชมป์หมาดๆ เข้าไปในดีลดังกล่าว แถมยังบวกเงินให้อีกด้วย เมื่อได้ข้อเสนอดีขนาดนี้มีหรือที่ งูใหญ่ จะปฏิเสธเพราะต่างฝ่ายต่างมองว่าตัวเองนั้นคุ้ม

แต่แล้วเคสของ อิบราฮิโมวิช กลับไม่ประสบความสำเร็จดังคาด เป๊ป เจอกับฤทธิ์ความแรงของ ก็อด ซลาตัน ที่ยากจะหาคนมาควบคุมได้อย่างอยู่หมัด จนต้องพยายามหาทางโละออก ตรงกันข้ามกับ เอโต้ ที่ยอมเชื่อคามรมณ์ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ยอมถ่างตัวเองออกไปเล่นกองหน้าตัวริมเส้นทั้งที่ไม่ถนัด แต่นั่นก็แลกมาด้วยการเป็นสามแชมป์สองสมัยติดที่คุ้มค่า

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top