แทบจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรอีกต่อไปสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะสามารถจ่ายเงินค่าตัวนักเตะสักราย ระดับร้อยล้านยูโรในสภาพการณ์ของตลาดนักเตะในปัจจุบัน อันมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยที่ผันผวนไปตามกาลเวลา แน่นอนว่ายี่ห้อ ปีศาจแดง นั้นขึ้นหิ้งอยู่แล้ว ที่มักจะโดนโก่งราคาเกินจริง หากต้องการผู้เล่นมาเสริมทีมสักคน เพราะแทบทุกสโมสรบนโลกใบนี้ เข้าใจกันเป็นอย่างดีว่า ยูไนเต็ด มีเงินคงคลังที่สะสมกำไรไว้มากมาย พร้อมจ่ายได้เมื่อถึงเวลาเข้าตาจน
ความจริงแล้วเหตุการณ์นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับ ยูไนเต็ด เพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น แต่ยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปไม่สามารถหลีกหนีสถานการณืนี้พ้น แม้ว่าจะรู้ตัวว่าถูกเอาเปรียบ แต่ในเมื่อสโมสรคู่ค้ารู้ว่ามีหนทางในการฟันกำไร แล้วต้องแลกกับสตาร์ภายในทีมออกไป โดยที่ยังไม่รู้ผลกระทบในอนาคต ฝั่งผู้ขายนั้นต้องพยายามเรียกร้องเม็ดเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อครอบคลุมความเสี่ยงต่างๆ ที่จะตามมาในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลงานของทีม รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการหาตัวแทนฝีเท้าระดับเดียวกันเข้ามา ซึ่งไม่รู้ว่าต้องเปลืองงบประมาณไปมากแค่ไหนกว่าจะเจอคนที่ “ใช่” จริงๆ
บทความนี้ พร้อมย้อนรอย 11 ดีล ที่แต่ละสโมสรจ่ายเงินซื้อตัวแบบแพงโอเวอร์ในสายตานักวิจาร์ตอนแรก แต่ปรากฏว่า ผู้เล่นเหล่านั้น กลับตอกกลับด้วยผลงานจนหงายเงิบ เล่นเอาเสียทรงไปเป็นแถบๆ ตัดเกรดแล้วคุ้มค่ากว่าเงินที่จ่ายไปมากนัก โดยจะขอแบ่งเป็นสองตอน เพื่อการให้ข้อมูลที่ครบถ้วน มาลุ้นไปพร้อมๆ กันเลยว่า จะมีดาวเตะคนใดติดโผเข้ามาบ้าง? ค่าตัวตอนย้ายในเวลานั้นแพงมากแค่ไหน?
เริ่มต้นกันที่รายแรก เป็นกองหลังระดับตำนานของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ย้ายมาจากคู่อริอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวสูงถึง 30 ล้านปอนด์ นั่นก็คือ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ในเวลานั้นอายุเพิ่งจะเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น ค่าตัวของเขาในเวลานั้น นับว่าเป็นนักเตะในตำแหน่งกองหลังที่แพงที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามเซนเตอร์แบ็ครายนี้เข้ามาแก้ไขปัญาแนวรับของ ปีศาจแดง ได้อย่างหมดจด พาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้มากถึง 6 สมัย รวมไปถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ตลอด 12 ปีที่ฝากชีวิตเอาไว้ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ถัดมาเป็นผู้เล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตู ย้ายจากสโมสร ปาร์ม่า มาอยู่กับ ยูเวนตุส ในปี 2001 ดด้วยสนนราคาถึง 32.6 ล้านปอนด์ นั่นก็คือ จานลุยจิ บุฟฟ่อน นายทวารระดับตำนานทีมชาติอิตาลี กูรูฟุตบอลในช่วงเวลานั้น มองว่าค่าตัวของ บุฟฟ่อน ที่เป็นประตูค่าตัวแพงที่สุดในโลก สูงเกินจริงไปมาก แต่สุดท้ายแล้ว จิจี้ ตบปากเหล่านักวิจารณ์ ด้วยการคว้าแชมป์ลีก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี มากถึง 10 สมัย รวมไปถึงแชมป์บอลโลกอีก 1 สมัย เล่นเอาสถิติค่าตัวของเขาที่ยั่งยืนยาวนานกว่า 16 ปี ไม่มีใครซื้อผู้เล่นตำแหน่งนี้ด้วยราคาระดับนี้ เพราะตัวของ บุฟฟ่อน ตั้งมาตรฐานเอาไว้สูงลิบลิ่ว
ต่อเนื่องกันที่รายต่อมา เป้นผู้เล่นในตำแหน่งกองกลาง ได้รับความสนใจจากหลายทีมยักษ์ใหญ่ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เพราะฟอร์มของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในวัย 21 ปี ที่เล่นให้กับ ซันเดอร์แลนด์ นั้นมีศักยภาพที่เกินวัยเอามากๆ เล่นเอาทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล พยายามแย่งตัวกันใหญ่ ท้ายที่สุดแล้ว เฮนเดอร์สัน เลือกย้ายไปเล่นในถิ่น แอนฟิลด์ ด้วยค่าตัวราว 20 ล้านปอนด์ ในปี 2011 ซึ่งเหล่านักวิจารณ์มองว่า จ่ายแพงเกินไปกับการซื้อนักเตะจากทีมเล็กๆ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมานับสิบปี เฮนเดอร์สัน กลายเป็นตัวหลักในแดนกลางให้กับ หงส์แดง คว้าแชมป์เข้าสู่สโมสรแบบต่อเนื่อง ลงสนามไปกว่า 450 นัด เล่นเอาค่าตัวของเขาดูเล็กน้อยไปเลย
ถัดมาที่ผู้เล่นรายต่อมา เป็นกองกลางที่รับบทบาทเพลย์เมคเกอร์ เคยเป็นนักเตะของ เชลซี มาก่อน แล้วไปเฉิดฉายกับ โวล์ฟสบวร์ก จนทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอมจ่ายค่าตัวถึง 55 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับการดึงตัว เควิน เดอ บรอยน์ ให้ย้ายกลับมาเล่นใน อังกฤษ อีกครั้ง สองนักวิจารณ์อย่าง พอล เมอร์สัน และ ฟิล ธอมป์สัน ต่างออกมาโจมตีว่า เรือใบสีฟ้า จ่ายแพงเกินจริงในดีลนี้ เพราะมองว่า เดอ บรอยน์ เป็นแค่ผู้เล่นที่ดี แต่ไม่ถึงระดับที่มีฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม เชื่อว่า ผลงานที่ผ่านมาของเพลย์เมคเกอร์ชาวเบลเยี่ยม คงตอกกลับสองรายนั้น ด้วยถ้วยแชมป์ในประเทศจนแทบจะจุกอกตายแล้ว
เข้าสู่รายรองสุดท้ายในสกู๊ปนี้ เป็นแนวรุกผิวสีที่เคยสร้างผลงานอันน่าจดจำกับ เซาแธมป์ตัน จนทำให้ ลิเวอร์พูล ยอมจ่ายเงินถึง 34 ล้านปอนด์ เป็นค่าตัวของ ซาดิโอ มาเน่ จนครองตำแหน่งดาวเตะจากทวีปแอฟริกันที่ค่าตัวแพงที่สุดในปี 2016 ซึ่งแฟนๆ ฝั่งตรงข้ามจากสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างออกมาวิจารณ์ว่า มาเน่ นั้นค่าตัวแพงเกินจริงไปมาก อันเป็นผลมาจากการที่ทีมเชียร์ของเขา พยายามแย่งตัวดาวเตะรายนี้ แต่พลาดหวังไปในตอนท้าย แต่เมื่อทาง มาเน่ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดให้กับ หงส์แดง เล่นเอาแฟนบอลสายน้ำลายเงียบกันไปเป็นแถบ เพราะถ้วยแชมป์ต่างๆ ที่คว้ามาได้ล้วนมีเขาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทั้งสิ้น
ปิดท้ายกันด้วยผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้า เป็นดาวยิงจากสโมสร โอลิมปิก มาร์กเซย ที่แฟนบอลที่ติดตามแค่ลีกอังกฤษ อาจไม่รู้พิษสงค์เท่าไหร่ แต่ตัวของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เคยเผชิญหน้ากับ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา มาแล้วก่อนหน้าที่จะมาคุม เชลซี ยังคงจำผลงานของดาวยิงรายนี้ได้ติดตา จนต้องไปร้องขอให้เจ้าของทีมอย่าง โรมัน อบราโมวิช ยอมให้งบราว 24 ล้านปอนด์ ดึงตัวดาวยิงชาวไอวอรี่ย์โโคสต์มาช่วยงานในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในปี 2004 ปรากฏว่า ดร็อกบา ยิงกระจาย จนกลายเป็นศูนย์หน้าระดับตำนานของทีม คว้าแชมป์ลีกได้ 4 สมัย เอฟเอ คัพ 4 สมัย ลีก คัพ 3 สมัย และ แชมเปี้ยนส์ลีกอีก 1 สมัย นับมาจนถึงตอนนี้ สิงโตน้ำเงินคราม ยังตามหาศูนย์หน้าแบบเขามาร่วมทีมไม่ได้อีกเลย