ในโลกของฟุตบอลสิ่งที่ผู้ชมและแฟนบอลชื่นชอบมากที่สุดย่อมเป็น “การพังประตู” หน้าที่ดังกล่าวถูกฝากความหวังไว้ที่ “กองหน้า” อย่างหลีกไม่ได้เลย…ทุกๆ ปี จะมีดาวเด่นจากแต่ละสโมสรที่เล่นในตำแหน่งนี้โชว์ฟอร์มจนถูกจับตามองมากมาย แต่เป้าหมายหลักในการเสริมทัพของทีมยักษ์ใหญ่ทั่วโลกมักจะหนีไม่พ้นผู้ครองตำแหน่ง “ดาวซัลโว” ในบทความนี้ทีมงาน 168Kick จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ 5 ดาวซัลโว ที่ตัดสินใจย้ายทีมหลังคว้ารางวัลดังกล่าวได้สำเร็จ แต่ผลงานกลับไม่เป็นดังที่คาดหวังไว้…
อันดับที่ 1 มาเตย่า เคซมัน (Metaja Kezman) ย้ายจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ไปยัง เชลซี : ยอดดาวยิงชาวเซอร์เบียพกประสบการณ์ในการค้าแข้งมาอย่างเต็มเปี่ยมจากสโมสร ปาร์ติซาน และ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ย้ายมาร่วมทีม เชลซี ในวัย 25 ปี พร้อมดีกรีดาวซัลโวจากศึก เอเรดิวิซี่ ลีก ฮอลแลนด์ ด้วยการทำไป 31 ประตู จากการลงเล่น 29 นัด (เฉพาะเกมลีก) และ สถิติรวมในฤดูกาลนั้นทำไป 38 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทุกรายการ 43 นัด เขาเป็นกองหน้าที่มีจุดเด่นอยู่ที่ ความเร็ว, การจบสกอร์ที่เฉียบคม และ จมูกไวหาที่ว่างได้ยอดเยี่ยม…
ในปี 2004 โชเซ่ มูรินโญ่ ย้ายมาคุมทีม สิงโตน้ำเงินคราม เป็นฤดูกาลแรก และ จัดการเติมขุมกำลังหน้าใหม่มากมายด้วยการเบิกงบประมาณกว่า 70 ล้านปอนด์จากกระเป๋าเงินของ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช ประกอบไปด้วย ติอาโก้, มิกาเอล เอสเซียง, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และ มาเตย่า เคซมัน นั่นเอง ค่าตัวของดาวยิงชาวเซิร์บถือว่าไม่มากไม่น้อย ณ ตอนนั้นที่ราว 5.3 ล้านปอนด์…พร้อมความหวังว่าเขาจะสามารถทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำในการจับคู่กับคู่ขาในแดนหน้าไม่ว่าจะเป็น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ไอเดอร์ กุ๊ดยอนด์เซ่น และ มิกาเอล ฟอร์สเซลล์ แต่ท้ายที่สุดแล้วผลงานของ เคซมัน ไม่เป็นดังที่หลายๆ คนคาดการณ์หรือใกล้เคียงแม้แต่น้อย…เขาทำได้เพียงแค่ 7 ประตู กับ 2 แอสซิสต์เท่านั้น จากการลงสนามทุกรายการรวม 41 นัด…ท้ายที่สุดก็โดนโละขายให้กับ แอตเลติโก มาดริด เมื่อจบฤดูกาลดังกล่าวด้วยราคาเดียวกันกับที่ย้ายมา 5.3 ล้านปอนด์
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้จากทีมไปมือเปล่าเนื่องจากสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ ลีก คัพ ได้ถึง 2 ถ้วย และ เคซมัน ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าการย้ายมาเล่นที่ เชลซี เป็นจุดสูงสุดของอาชีพการค้าแข้งของเขา ซึ่งเขาไม่เคยเสียใจกับเรื่องดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย…ปัจจุบัน เคซมัน แขวนสตั๊ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปิดสถิติการค้าแข้งไว้ที่ลงสนามทั้งหมด 485 นัดในระดับสโมสรทำไปทั้งสิ้น 238 ประตู
อันดับที่ 2 ชิโร่ อิมโมบิเล่ (Ciro Immobile) ย้ายจาก โตริโน่ ไปยัง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ : ดาวยิงชาวอิตาลีถือว่าแจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็วด้วยวัยเพียง 23 ปีเศษ ก็สามารถคว้ารางวัล “คาโปคันโนนิเอเร่” หรือนักเตะที่ยิงประตูสูงสุดในฤดูกาล 2013/2014 ให้กับ โตริโน่ ได้สำเร็จ ด้วยการทำไป 22 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ จากการลงเล่นในเกมลีก 33 นัด พาทีมจบอันดับที่ 7 ด้วยการประสานงานระหว่าง อิมโมบิเล่ และ อเลสซิโอ แชร์ชี่ ที่เล่นร่วมกันได้อย่างเข้าขารู้ใจอย่างที่สุด อิมโมบิเล่ เป็นกองหน้าที่มีจุดเด่นอยู่ที่ ความจมูกไว, จบสกอร์ได้เฉียบคม, ยิงประตูได้ดีทั้งเท้าซ้าย-ขวา รวมถึงศีรษะ และ หาตำแหน่งได้อย่างยอดเยี่ยม…
หลังจากนั้น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยักษ์ใหญ่จากบุนเดสลีกา เยอรมัน ทุ่มเงินราว 18.5 ล้านยูโรคว้าตัว อิมโมบิเล่ ที่พกดีกรีดาวซัลโวลีกอิตาลีไปร่วมทีมในปี 2014 หวังให้สืบทอดตำนานยอดดาวยิงต่อจาก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ยอดดาวยิงชาวโปแลนด์ที่ย้ายไปร่วมทัพ บาเยิร์น มิวนิค แบบฟรีๆ แต่ปรากฏว่าผลงานของ อิมโมบิเล่ ไม่เป็นดังที่สโมสรตั้งเป้าไว้ เขามีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรม, ภาษา และ การใช้ชีวิตในต่างแดน ซึ่งส่งผลต่อผลงานโดยตรงในสนามอย่างปฏิเสธไม่ได้…โดยในฤดูกาล 2014/2015 เขาทำได้เพียง 10 ประตู จากการลงสนามทั้งหมด 34 นัด ถ้านับเฉพาะในลีกเขาทำไปเพียง 3 ประตูเท่านั้นเอง พาทีมจบแค่อันดับที่ 7 ในลีกและคว้าแชมป์ เดเอฟแอล ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย…
ท้ายที่สุดก็ถูกปล่อยให้กับ เซบีย่า ยืมตัว ก่อนขายขาดไปด้วยราคา 11 ล้านยูโร…ปัจจุบัน อิมโมบิเล่ ยังค้าแข้งอยู่ในวัย 30 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงให้กับต้นสังสัดในตอนนี้อย่าง ลาซิโอ ด้วยการทำไป 30 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ จากการลงสนามทุกรายการรวม 33 นัด
อันดับที่ 3 เมมฟิส เดอปาย (Memphis Depay) ย้ายจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ไปยัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ฟุตบอลโลก 2014 เป็นทัวนาเมนต์ที่แจ้งเกิดดาวรุ่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่มีชื่อว่า เมมฟิส เดอปาย ให้ทีมจากทั่วทั้งยุโรปจับตามองกันเป็นแถว เดอปาย เป็นปีกกึ่งกองหน้าที่เปี่ยมไปด้วยพรสววรค์อันเหลือล้นมีจุดเด่นอยู่ที่ ความเร็ว, เบสิคฟุตบอลที่แน่นปึ้ก, การเลี้ยงบอลที่พริ้วไหว และการยิงประตูที่เฉียบคมจากระยะไกล …เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดจากแดนกังหันที่ยิงประตูได้ในศึก ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ซึ่งเป็นประตูชัย 3-2 ในเกมกับ ออสเตรเลีย และบวกกับอีกหนึ่งประตูในเกมที่เอาชนะ ชิลี 2-0…
ต่อมาในฤดูกาล 2014/2015 เขาก็ทำผลงานร้อนแรงอย่างต่อเนื่องจากการพาต้นสังกัดในตอนนั้นอย่าง พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ผงาดขึ้นเป็นแชมป์ลีกแดนกังหันได้สำเร็จ รวมไปถึงครองตำแหน่งดาวซัลโวด้วยการทำไปทั้งหมด 22 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่นเกมลีกทั้งหมด 30 นัด โดยรวมทุกรายการทำไป 28 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทั้งหมด 40 นัด…
ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มี หลุยส์ ฟาน กัล คุมบังเหียนอยู่ไม่รอช้าคว้าตัวเข้าสู่ทีมด้วยค่าตัวถึง 34 ล้านยูโร เพราะว่ารู้ฝีเท้ากันดีอยู่ตั้งแต่สมัยร่วมงานกันในศึกฟุตบอลโลก พร้อมมอบหมายเลขตำนานของสโมสรอย่างเบอร์ “7” ที่ผู้เล่นชื่อดังแบบ เอริก คันโตน่า, เดวิด เบ็คแฮม และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นผู้ใส่มาก่อน…อย่างไรก็ตามการลงเล่นภายใต้เครื่องแบบ ปีศาจแดง นั้น เดอปาย ไม่เคยทำผลงานได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันสักนัดเดียว เขาปรับตัวเข้ากับการเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไม่ได้เอาเสียเลย ไม่คุ้นชินกับการถูกปะทะหนักๆ แล้วไม่ได้ฟาล์ว, การโดนบีบพื้นที่อย่างรวดเร็ว และไม่มีเวลาให้คิดมากนักแต่ละจังหวะที่จับบอล ดังนั้นการที่เขามีคาแรกเตอร์ของนักฟุตบอลที่มั่นใจในตัวเองและไม่ยอมแพ้ ส่งผลให้การพยายามเล่นจังหวะยากๆ หรือพยายามโชว์ท่าสวยๆ แบบผิดเวลาเป็นภาพที่แฟนบอลจำติดตาจนส่ายหัวกันเป็นแถว…
ฟาน กัล พยายามเข็นเขาลงเล่นอยู่หลายครั้งแต่ต้องยอมรับว่าไปไม่รอดจนหลุดเป็นตัวสำรองไม่เหลือเค้าดาวซัลโวสักนิดเดียว…ฤดูกาลแรก เดอปาย ทำได้แค่ 7 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทุกรายการ 45 นัด และหากแยกเป็นผลงานในเกมลีกเขาทำได้แค่ 2 ประตูเท่านั้น แต่จบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์บอลถ้วยเอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ โดยในฤดูกาลต่อมา เดอปาย ลงเล่นทุกรายการเพิ่มให้ ปีศาจแดง ไปอีกทั้งสิ้น 8 นัดแต่ไม่สามารถทำประตู หรือ แอสซิสต์ ได้เลย…ท้ายที่สุด เดอปาย ถูกทีมเลหลังขายให้ โอลิมปิก ลียง ด้วยราคาแค่ 16 ล้านยูโรที่เป็นสโมสรปัจจุบัน
อันดับที่ 4 วินเซนต์ แยนส์เซ่น (Vincent Janssen) ย้ายจาก อาแซด อัลค์มาร์ ไปยัง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ : อีกหนึ่งดาวซัลโวจากแดนกังหันลมที่นำชื่อมาทิ้งไว้ที่เกาะอังกฤษ คงหนีไม่พ้น วินเซนต์ แยนส์เซ่น…เขาเริ่มต้นค้าแข้งกับ อัลเมเร่ ซิตี้ อยู่สองฤดูกาลและเป็นศูนย์หน้าดาวรุ่งที่น่าจับตามองอย่างมากเพราะทำไปถึง 32 ประตูจากการลงเล่นให้กับต้นสังกัด จากการลงเล่นทั้งหมด 74 นัดทุกรายการ จนในที่สุดปี 2015 ทีมชื่อดังในแดนกังหันลมอย่าง อาแซด อัลค์มาร์ ก็คว้าตัวมาร่วมทีม ซึ่งทาง แยนส์เซ่น ในวัยเพียงแค่ 21 ปี ก็ไม่ทำให้ผิดหวังทำไปทั้งสิ้น 27 ประตู กับ 5 แอสซิสต์จากการลงเล่นในเกมลีก 34 นัดคว้ารางวัลดาวซัลโวในฤดูกาลดังกล่าวมาครอง และในปีดังกล่าวเขาทำไปทั้งหมด 32 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทุกรายการรวม 49 นัด จุดเด่นของ แยนส์เซ่น อยู่ที่รูปร่างที่สูงใหญ่, พักบอลบังบอลได้ดี, จ่ายบอลชาญฉลาด และจบสกอร์ได้คมทั้งสองเท้ารวมกับลูกโหม่งเป็นทีเด็ด การเล่นของเขาคล้ายคลึงกับศูนย์หน้าสมัยโบราณที่เน้นปักหลักคอยจบสกอร์ในเขตโทษ…
จากผลงานในฤดูกาลดังกล่าว เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ผู้จัดการทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มองว่า แยนส์เซ่น เป็นศูนย์หน้าในสไตล์ที่ทีมตามหา เพื่อนำมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกับ แฮร์รี่ เคน กองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมที่ต้องตรากตรำกรำศึกหนักจนประสบปัญหาอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง และทุกครั้งที่ขาด เคน ทีมมักจะออกอาการเป๋อย่างเห็นได้ชัด…ดังนั้นจึงทุ่มงบประมาณราว 22 ล้านยูโรดึงตัว แยนส์เซ่น มาเสริมทัพในปี 2016 ด้วยดีกรีดาวซัลโวแดนกังหันลมพร้อมความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม อย่างไรก็ตามทุกอย่างกลับไม่เป็นดังหวังเอาเสียเลย แยนส์เซ่น นั้นช้าเกินไปอย่างเห็นได้ชัดสำหรับบอลอังกฤษ ความแข็งแกร่งของร่ายกายก็ดูธรรมดาเอามากๆ ค่อนข้างไปทางบางด้วยซ้ำถ้าเทียบกับกองหน้าในสไตล์เดียวกันที่หน้าที่หลักคือการพักบอล และการจบสกอร์ของเขาก็ขาดความเฉียบคมอย่างที่สุด เรียกได้ว่าลืมวิญญาณเพชรฆาตไปอย่างสิ้นเชิง…
จบฤดูกาลแรก แยนส์เซ่น ทำไปแค่ 6 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทั้งหมด 38 นัด และถ้านับแค่ผลงานในเกมลีกเขาทำได้แค่ 2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ จากการได้รับโอกาสลงเล่นไปถึง 27 นัด ชัดเจนเลยว่าสอบตกอย่างไม่ต้องสงสัย…ในที่สุด ไก่เดือยทอง ตัดสินใจขาย แยนส์เซ่น ไปให้กับ มอนเตอร์เรย์ ด้วยค่าตัว 9 ล้านยูโรเมื่อช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา
อันดับที่ 5 แจ็คสัน มาร์ติเนซ (Jackson Martinez) ย้ายจาก เอฟซี ปอร์โต้ ไปยัง แอตเลติโก มาดริด : อดีตดาวยิงทีมชาติโคลอมเบียรายนี้มีสถิติที่ไม่ธรรมดาเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างมากด้วยการเป็นเจ้าของรางวัลดาวซัลโวสูงสุดของศึกลีกา นอส โปรตุเกส 3 ปีติดต่อกันให้กับ เอฟซี ปอร์โต้ แม้ว่าต้นสังกัดจะสมหวังขึ้นบัลลังก์เถลิงแชมป์ได้เพียงสมัยเดียวก็ตามที…
ในปี 2012 ปอร์โต้ กระชากตัว มาร์ติเนซ มาจาก ชิอาปาส ทีมในศึก ลีกา เอ็มเอ็กซ์ เม็กซิโก แล้วดาวยิงรายนี้ก็ตอบแทนต้นสังกัดใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการทำไป 26 ประตู จากการลงเล่นในเกมลีกทั้งหมด 30 นัด พาทีมคว้าแชมป์ได้ในบั้นปลาย จุดเด่นของดาวยิงรายนี้อยู่ที่ร่างกายที่แข็งแกร่งตามแบบฉบับนักบอลผิวสี, ครองบอลได้เหนียวแน่น, สามารถหาตำแหน่งในการยิงได้ดี และจบสกอร์ได้คมทั้งสองเท้าบวกกับลูกโหม่ง ถัดมาในฤดูกาล 2013/2014 มาร์ติเนซ ยังคงทำผลงานส่วนตัวได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดิม เบิ้ลรางวัลดาวซัลโวเป็นสมัยที่สองด้วยการทำไปทั้งสิ้น 20 ประตู จากการลงเล่นในเกมลีกทั้งหมด 30 นัด แต่ทีมกลับทำได้แค่จบอันดับที่สามในลีก ต่อมาในฤดูกาล 2014/2015 ฟอร์มของ มาร์ติเนซ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงทำไปทั้งสิ้น 21 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่นในเกมลีกทั้งหมด 30 นัด ซึ่งหากนับรวมทุกรายการ มาร์ติเนซ ทำไปทั้งหมด 32 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทุกรายการรวม 42 นัด…
หลังจบฤดูกาลนั้น ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ผู้จัดการทีมแอตเลติโก มาดริด ที่กำลังตามหาตัวแทนของ ราดาเมล ฟัลเกา ที่ย้ายออกไปในปี 2013 มองว่า มาร์ติเนซ เป็นตัวแทนที่ลงตัวอย่างยิ่งจากผลงานที่ผ่านมา จึงทุ่มเงินก้อนโตราว 37.1 ล้านยูโรดึงตัวมาร่วมทีม…แต่ผลงานของศูนย์หน้าทีมชาติโคลอมเบียกลับไม่เปรี้ยงดังคาดลงเล่นในเกมลีกให้กับ ตราหมี ในเกมลีกไปทั้งสิ้น 15 นัด ทำไปแค่ 2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์เท่านั้น…มาร์ติเนซ เล่นในสปนถึงเพียงแค่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 เท่านั้นเพราะถูก กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ ทีมเศรษฐีจากไชนีส ซูเปอร์ลีก ประเทศจีน ทุ่มซื้อตัวไปด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 42 ล้านยูโร…ปัจจุบัน มาร์ติเนซ กลับมาเล่นในโปรตุเกสอีกครั้งกับทีม ปอร์ติโมเนนเซ่