5 ดาวซัลโวสุดปัง!!! พังหลังย้ายทีม

ในโลกของฟุตบอลสิ่งที่ผู้ชมและแฟนบอลชื่นชอบมากที่สุดย่อมเป็น “การพังประตู” หน้าที่ดังกล่าวถูกฝากความหวังไว้ที่ “กองหน้า” อย่างหลีกไม่ได้เลย…ทุกๆ ปี จะมีดาวเด่นจากแต่ละสโมสรที่เล่นในตำแหน่งนี้โชว์ฟอร์มจนถูกจับตามองมากมาย แต่เป้าหมายหลักในการเสริมทัพของทีมยักษ์ใหญ่ทั่วโลกมักจะหนีไม่พ้นผู้ครองตำแหน่ง “ดาวซัลโว” ในบทความนี้ทีมงาน 168Kick จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ 5 ดาวซัลโว ที่ตัดสินใจย้ายทีมหลังคว้ารางวัลดังกล่าวได้สำเร็จ แต่ผลงานกลับไม่เป็นดังที่คาดหวังไว้…

มาเตย่า เคซมัน ภายใต้สีเสื้อของ เชลซี

อันดับที่ 1 มาเตย่า เคซมัน (Metaja Kezman) ย้ายจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ไปยัง เชลซี : ยอดดาวยิงชาวเซอร์เบียพกประสบการณ์ในการค้าแข้งมาอย่างเต็มเปี่ยมจากสโมสร ปาร์ติซาน และ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ย้ายมาร่วมทีม เชลซี ในวัย 25 ปี พร้อมดีกรีดาวซัลโวจากศึก เอเรดิวิซี่ ลีก ฮอลแลนด์ ด้วยการทำไป 31 ประตู จากการลงเล่น 29 นัด (เฉพาะเกมลีก) และ สถิติรวมในฤดูกาลนั้นทำไป 38 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทุกรายการ 43 นัด เขาเป็นกองหน้าที่มีจุดเด่นอยู่ที่ ความเร็ว, การจบสกอร์ที่เฉียบคม และ จมูกไวหาที่ว่างได้ยอดเยี่ยม…

โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาพร้อมการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่

ในปี 2004 โชเซ่ มูรินโญ่ ย้ายมาคุมทีม สิงโตน้ำเงินคราม เป็นฤดูกาลแรก และ จัดการเติมขุมกำลังหน้าใหม่มากมายด้วยการเบิกงบประมาณกว่า 70 ล้านปอนด์จากกระเป๋าเงินของ “เสี่ยหมีโรมัน อบราโมวิช ประกอบไปด้วย ติอาโก้, มิกาเอล เอสเซียง, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และ มาเตย่า เคซมัน นั่นเอง ค่าตัวของดาวยิงชาวเซิร์บถือว่าไม่มากไม่น้อย ณ ตอนนั้นที่ราว 5.3 ล้านปอนด์…พร้อมความหวังว่าเขาจะสามารถทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำในการจับคู่กับคู่ขาในแดนหน้าไม่ว่าจะเป็น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ไอเดอร์ กุ๊ดยอนด์เซ่น และ มิกาเอล ฟอร์สเซลล์ แต่ท้ายที่สุดแล้วผลงานของ เคซมัน ไม่เป็นดังที่หลายๆ คนคาดการณ์หรือใกล้เคียงแม้แต่น้อย…เขาทำได้เพียงแค่ 7 ประตู กับ 2 แอสซิสต์เท่านั้น จากการลงสนามทุกรายการรวม 41 นัด…ท้ายที่สุดก็โดนโละขายให้กับ แอตเลติโก มาดริด เมื่อจบฤดูกาลดังกล่าวด้วยราคาเดียวกันกับที่ย้ายมา 5.3 ล้านปอนด์

แอตเลติโก มาดริด เซ้งตัว เคซมัน ไปร่วมทีม หลังย้ายมาเล่นในอังกฤษได้แค่ปีเดียว

อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้จากทีมไปมือเปล่าเนื่องจากสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ ลีก คัพ ได้ถึง 2 ถ้วย และ เคซมัน ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าการย้ายมาเล่นที่ เชลซี เป็นจุดสูงสุดของอาชีพการค้าแข้งของเขา ซึ่งเขาไม่เคยเสียใจกับเรื่องดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย…ปัจจุบัน เคซมัน แขวนสตั๊ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปิดสถิติการค้าแข้งไว้ที่ลงสนามทั้งหมด 485 นัดในระดับสโมสรทำไปทั้งสิ้น 238 ประตู

รวมไฮไลท์การทำประตูของ เคซมัน ในฤดูกาล 2003/2004 ทีเขาคว้ารางวัลดาวซัลโวลีกฮอลแลนด์ ด้วยการยิง 31 ประตู
หนึ่งในประตูสุดสวยของ เคซมัน ในสีเสื้อของ เชลซี

อันดับที่ 2 ชิโร่ อิมโมบิเล่ (Ciro Immobile) ย้ายจาก โตริโน่ ไปยัง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ : ดาวยิงชาวอิตาลีถือว่าแจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็วด้วยวัยเพียง 23 ปีเศษ ก็สามารถคว้ารางวัล “คาโปคันโนนิเอเร่” หรือนักเตะที่ยิงประตูสูงสุดในฤดูกาล 2013/2014 ให้กับ โตริโน่ ได้สำเร็จ ด้วยการทำไป 22 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ จากการลงเล่นในเกมลีก 33 นัด พาทีมจบอันดับที่ 7 ด้วยการประสานงานระหว่าง อิมโมบิเล่ และ อเลสซิโอ แชร์ชี่ ที่เล่นร่วมกันได้อย่างเข้าขารู้ใจอย่างที่สุด อิมโมบิเล่ เป็นกองหน้าที่มีจุดเด่นอยู่ที่ ความจมูกไว, จบสกอร์ได้เฉียบคม, ยิงประตูได้ดีทั้งเท้าซ้าย-ขวา รวมถึงศีรษะ และ หาตำแหน่งได้อย่างยอดเยี่ยม…

เจอร์เก้น คล็อปป์ ดึงตัว อิมโมบิเล่ เข้ามาในถ้ำ เสือเหลือง หวังว่าจะแทนที่ เลวานดอฟสกี้ ได้อย่างไร้รอยต่อ

หลังจากนั้น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยักษ์ใหญ่จากบุนเดสลีกา เยอรมัน ทุ่มเงินราว 18.5 ล้านยูโรคว้าตัว อิมโมบิเล่ ที่พกดีกรีดาวซัลโวลีกอิตาลีไปร่วมทีมในปี 2014 หวังให้สืบทอดตำนานยอดดาวยิงต่อจาก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ยอดดาวยิงชาวโปแลนด์ที่ย้ายไปร่วมทัพ บาเยิร์น มิวนิค แบบฟรีๆ แต่ปรากฏว่าผลงานของ อิมโมบิเล่ ไม่เป็นดังที่สโมสรตั้งเป้าไว้ เขามีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรม, ภาษา และ การใช้ชีวิตในต่างแดน ซึ่งส่งผลต่อผลงานโดยตรงในสนามอย่างปฏิเสธไม่ได้…โดยในฤดูกาล 2014/2015 เขาทำได้เพียง 10 ประตู จากการลงสนามทั้งหมด 34 นัด ถ้านับเฉพาะในลีกเขาทำไปเพียง 3 ประตูเท่านั้นเอง พาทีมจบแค่อันดับที่ 7 ในลีกและคว้าแชมป์ เดเอฟแอล ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย…

อิมโมบิเล่ เกิดใหม่อีกครั้งภายใต้สีเสื้อของ ลาซิโอ

ท้ายที่สุดก็ถูกปล่อยให้กับ เซบีย่า ยืมตัว ก่อนขายขาดไปด้วยราคา 11 ล้านยูโร…ปัจจุบัน อิมโมบิเล่ ยังค้าแข้งอยู่ในวัย 30 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงให้กับต้นสังสัดในตอนนี้อย่าง ลาซิโอ ด้วยการทำไป 30 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ จากการลงสนามทุกรายการรวม 33 นัด

รวมผลงานของ อิมโมบิเล่ ในฤดูกาล 2013/2014 ที่คว้ารางวัล “Capocannoniere” ไปครอง
ไฮไลท์การเล่นของ อิมโมบิเล่ ให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในฤดูกาล 2014/2015

อันดับที่ 3 เมมฟิส เดอปาย (Memphis Depay) ย้ายจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ไปยัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ฟุตบอลโลก 2014 เป็นทัวนาเมนต์ที่แจ้งเกิดดาวรุ่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่มีชื่อว่า เมมฟิส เดอปาย ให้ทีมจากทั่วทั้งยุโรปจับตามองกันเป็นแถว เดอปาย เป็นปีกกึ่งกองหน้าที่เปี่ยมไปด้วยพรสววรค์อันเหลือล้นมีจุดเด่นอยู่ที่ ความเร็ว, เบสิคฟุตบอลที่แน่นปึ้ก, การเลี้ยงบอลที่พริ้วไหว และการยิงประตูที่เฉียบคมจากระยะไกล …เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดจากแดนกังหันที่ยิงประตูได้ในศึก ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ซึ่งเป็นประตูชัย 3-2 ในเกมกับ ออสเตรเลีย และบวกกับอีกหนึ่งประตูในเกมที่เอาชนะ ชิลี 2-0…

เดอปาย พาทีมคว้าแชมป์ เอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ 2014/2015 พร้อมควบรางวัลดาวซัลโวสูงสุด

ต่อมาในฤดูกาล 2014/2015 เขาก็ทำผลงานร้อนแรงอย่างต่อเนื่องจากการพาต้นสังกัดในตอนนั้นอย่าง พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ผงาดขึ้นเป็นแชมป์ลีกแดนกังหันได้สำเร็จ รวมไปถึงครองตำแหน่งดาวซัลโวด้วยการทำไปทั้งหมด 22 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่นเกมลีกทั้งหมด 30 นัด โดยรวมทุกรายการทำไป 28 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทั้งหมด 40 นัด…

หลุยส์ ฟาน กัล คว้าตัว เดอปาย มาหวังเป็นทีเด็ดในแนวรุกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต้ด

ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มี หลุยส์ ฟาน กัล คุมบังเหียนอยู่ไม่รอช้าคว้าตัวเข้าสู่ทีมด้วยค่าตัวถึง 34 ล้านยูโร เพราะว่ารู้ฝีเท้ากันดีอยู่ตั้งแต่สมัยร่วมงานกันในศึกฟุตบอลโลก พร้อมมอบหมายเลขตำนานของสโมสรอย่างเบอร์ “7” ที่ผู้เล่นชื่อดังแบบ เอริก คันโตน่า, เดวิด เบ็คแฮม และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นผู้ใส่มาก่อน…อย่างไรก็ตามการลงเล่นภายใต้เครื่องแบบ ปีศาจแดง นั้น เดอปาย ไม่เคยทำผลงานได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันสักนัดเดียว เขาปรับตัวเข้ากับการเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไม่ได้เอาเสียเลย ไม่คุ้นชินกับการถูกปะทะหนักๆ แล้วไม่ได้ฟาล์ว, การโดนบีบพื้นที่อย่างรวดเร็ว และไม่มีเวลาให้คิดมากนักแต่ละจังหวะที่จับบอล ดังนั้นการที่เขามีคาแรกเตอร์ของนักฟุตบอลที่มั่นใจในตัวเองและไม่ยอมแพ้ ส่งผลให้การพยายามเล่นจังหวะยากๆ หรือพยายามโชว์ท่าสวยๆ แบบผิดเวลาเป็นภาพที่แฟนบอลจำติดตาจนส่ายหัวกันเป็นแถว…

โอลิมปิก ลียง อาสาชุชีวิตใหม่ให้กับ เดอปาย

ฟาน กัล พยายามเข็นเขาลงเล่นอยู่หลายครั้งแต่ต้องยอมรับว่าไปไม่รอดจนหลุดเป็นตัวสำรองไม่เหลือเค้าดาวซัลโวสักนิดเดียว…ฤดูกาลแรก เดอปาย ทำได้แค่ 7 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทุกรายการ 45 นัด และหากแยกเป็นผลงานในเกมลีกเขาทำได้แค่ 2 ประตูเท่านั้น แต่จบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์บอลถ้วยเอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ โดยในฤดูกาลต่อมา เดอปาย ลงเล่นทุกรายการเพิ่มให้ ปีศาจแดง ไปอีกทั้งสิ้น 8 นัดแต่ไม่สามารถทำประตู หรือ แอสซิสต์ ได้เลย…ท้ายที่สุด เดอปาย ถูกทีมเลหลังขายให้ โอลิมปิก ลียง ด้วยราคาแค่ 16 ล้านยูโรที่เป็นสโมสรปัจจุบัน

ผลงานของ เดอปาย ในการลงเล่นศึก ฟุตบอลโลก 2014
ไฮไลท์การเล่นของ เดอปาย ในการเล่นให้กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ที่เขาสามารถครองรางวัลดาวซัลโวได้สำเร็จ
ภาพรวมการเล่นอของ เดอปาย ในสีเสื้อ ปีศาจแดง

อันดับที่ 4 วินเซนต์ แยนส์เซ่น (Vincent Janssen) ย้ายจาก อาแซด อัลค์มาร์ ไปยัง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ : อีกหนึ่งดาวซัลโวจากแดนกังหันลมที่นำชื่อมาทิ้งไว้ที่เกาะอังกฤษ คงหนีไม่พ้น วินเซนต์ แยนส์เซ่น…เขาเริ่มต้นค้าแข้งกับ อัลเมเร่ ซิตี้ อยู่สองฤดูกาลและเป็นศูนย์หน้าดาวรุ่งที่น่าจับตามองอย่างมากเพราะทำไปถึง 32 ประตูจากการลงเล่นให้กับต้นสังกัด จากการลงเล่นทั้งหมด 74 นัดทุกรายการ จนในที่สุดปี 2015 ทีมชื่อดังในแดนกังหันลมอย่าง อาแซด อัลค์มาร์ ก็คว้าตัวมาร่วมทีม ซึ่งทาง แยนส์เซ่น ในวัยเพียงแค่ 21 ปี ก็ไม่ทำให้ผิดหวังทำไปทั้งสิ้น 27 ประตู กับ 5 แอสซิสต์จากการลงเล่นในเกมลีก 34 นัดคว้ารางวัลดาวซัลโวในฤดูกาลดังกล่าวมาครอง และในปีดังกล่าวเขาทำไปทั้งหมด 32 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทุกรายการรวม 49 นัด จุดเด่นของ แยนส์เซ่น อยู่ที่รูปร่างที่สูงใหญ่, พักบอลบังบอลได้ดี, จ่ายบอลชาญฉลาด และจบสกอร์ได้คมทั้งสองเท้ารวมกับลูกโหม่งเป็นทีเด็ด การเล่นของเขาคล้ายคลึงกับศูนย์หน้าสมัยโบราณที่เน้นปักหลักคอยจบสกอร์ในเขตโทษ…

วินเซนต์ แยนส์เซ่น กองหน้าชาวเนเธอร์แลนด์ที่นำชื่อมาทิ้งที่สโมสร ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
โปเช็ตติโน่ มอบเบอร์ 9 อันเป็นสัญลักษณ์ของดาวยิงให้กับ แยนส์เซ่น แต่ผลงานกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

จากผลงานในฤดูกาลดังกล่าว เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ผู้จัดการทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มองว่า แยนส์เซ่น เป็นศูนย์หน้าในสไตล์ที่ทีมตามหา เพื่อนำมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกับ แฮร์รี่ เคน กองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมที่ต้องตรากตรำกรำศึกหนักจนประสบปัญหาอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง และทุกครั้งที่ขาด เคน ทีมมักจะออกอาการเป๋อย่างเห็นได้ชัด…ดังนั้นจึงทุ่มงบประมาณราว 22 ล้านยูโรดึงตัว แยนส์เซ่น มาเสริมทัพในปี 2016 ด้วยดีกรีดาวซัลโวแดนกังหันลมพร้อมความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม อย่างไรก็ตามทุกอย่างกลับไม่เป็นดังหวังเอาเสียเลย แยนส์เซ่น นั้นช้าเกินไปอย่างเห็นได้ชัดสำหรับบอลอังกฤษ ความแข็งแกร่งของร่ายกายก็ดูธรรมดาเอามากๆ ค่อนข้างไปทางบางด้วยซ้ำถ้าเทียบกับกองหน้าในสไตล์เดียวกันที่หน้าที่หลักคือการพักบอล และการจบสกอร์ของเขาก็ขาดความเฉียบคมอย่างที่สุด เรียกได้ว่าลืมวิญญาณเพชรฆาตไปอย่างสิ้นเชิง…

แยนส์เซ่น ย้ายไปเล่นให้กับ มอนเตอร์เรย์ และเริ่มยิงประตูได้แล้ว

จบฤดูกาลแรก แยนส์เซ่น ทำไปแค่ 6 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทั้งหมด 38 นัด และถ้านับแค่ผลงานในเกมลีกเขาทำได้แค่ 2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ จากการได้รับโอกาสลงเล่นไปถึง 27 นัด ชัดเจนเลยว่าสอบตกอย่างไม่ต้องสงสัย…ในที่สุด ไก่เดือยทอง ตัดสินใจขาย แยนส์เซ่น ไปให้กับ มอนเตอร์เรย์ ด้วยค่าตัว 9 ล้านยูโรเมื่อช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา

ไฮไลท์ผลงานของ แยนส์เซ่น ในฤดูกาลที่ลงเล่นให้กับ อาแซด อัลค์มาร์ และคว้ารางวัลดาวซัลโวมาครองได้สำเร็จ

อันดับที่ 5 แจ็คสัน มาร์ติเนซ (Jackson Martinez) ย้ายจาก เอฟซี ปอร์โต้ ไปยัง แอตเลติโก มาดริด : อดีตดาวยิงทีมชาติโคลอมเบียรายนี้มีสถิติที่ไม่ธรรมดาเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างมากด้วยการเป็นเจ้าของรางวัลดาวซัลโวสูงสุดของศึกลีกา นอส โปรตุเกส 3 ปีติดต่อกันให้กับ เอฟซี ปอร์โต้ แม้ว่าต้นสังกัดจะสมหวังขึ้นบัลลังก์เถลิงแชมป์ได้เพียงสมัยเดียวก็ตามที…

แจ็คสัน มาร์ติเนซ ยอดดาวยิงทีมชาติโคลอมเบีย ที่ย้ายมาดับสนิทกับ แอตเลติโก มาดริด
แจ็คสัน มาร์ติเนซ เป็นส่วนสำคัญช่วย เอปซี ปอร์โต้ คว้าแชมป์ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ย้ายมาร่วมทีม

ในปี 2012 ปอร์โต้ กระชากตัว มาร์ติเนซ มาจาก ชิอาปาส ทีมในศึก ลีกา เอ็มเอ็กซ์ เม็กซิโก แล้วดาวยิงรายนี้ก็ตอบแทนต้นสังกัดใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการทำไป 26 ประตู จากการลงเล่นในเกมลีกทั้งหมด 30 นัด พาทีมคว้าแชมป์ได้ในบั้นปลาย จุดเด่นของดาวยิงรายนี้อยู่ที่ร่างกายที่แข็งแกร่งตามแบบฉบับนักบอลผิวสี, ครองบอลได้เหนียวแน่น, สามารถหาตำแหน่งในการยิงได้ดี และจบสกอร์ได้คมทั้งสองเท้าบวกกับลูกโหม่ง ถัดมาในฤดูกาล 2013/2014 มาร์ติเนซ ยังคงทำผลงานส่วนตัวได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดิม เบิ้ลรางวัลดาวซัลโวเป็นสมัยที่สองด้วยการทำไปทั้งสิ้น 20 ประตู จากการลงเล่นในเกมลีกทั้งหมด 30 นัด แต่ทีมกลับทำได้แค่จบอันดับที่สามในลีก ต่อมาในฤดูกาล 2014/2015 ฟอร์มของ มาร์ติเนซ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงทำไปทั้งสิ้น 21 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่นในเกมลีกทั้งหมด 30 นัด ซึ่งหากนับรวมทุกรายการ มาร์ติเนซ ทำไปทั้งหมด 32 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทุกรายการรวม 42 นัด…

มาร์ติเนซ ย้ายไปผจญภัยไกลถึงทวีปเอเชีย ในประเทศจีน

หลังจบฤดูกาลนั้น ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ผู้จัดการทีมแอตเลติโก มาดริด ที่กำลังตามหาตัวแทนของ ราดาเมล ฟัลเกา ที่ย้ายออกไปในปี 2013 มองว่า มาร์ติเนซ เป็นตัวแทนที่ลงตัวอย่างยิ่งจากผลงานที่ผ่านมา จึงทุ่มเงินก้อนโตราว 37.1 ล้านยูโรดึงตัวมาร่วมทีม…แต่ผลงานของศูนย์หน้าทีมชาติโคลอมเบียกลับไม่เปรี้ยงดังคาดลงเล่นในเกมลีกให้กับ ตราหมี ในเกมลีกไปทั้งสิ้น 15 นัด ทำไปแค่ 2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์เท่านั้น…มาร์ติเนซ เล่นในสปนถึงเพียงแค่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 เท่านั้นเพราะถูก กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ ทีมเศรษฐีจากไชนีส ซูเปอร์ลีก ประเทศจีน ทุ่มซื้อตัวไปด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 42 ล้านยูโร…ปัจจุบัน มาร์ติเนซ กลับมาเล่นในโปรตุเกสอีกครั้งกับทีม ปอร์ติโมเนนเซ่

ไฮไลท์ทุกประตูของ แจ็คสัน มาร์ติเนซ ในฤดูกาล 2014/2015 ที่เป็นดาวซัลโวสมัยสุดท้ายในชุดของ ปอร์โต้
ประตูแรกของ มาร์ติเนซ ภายใต้เสื้อของแอตเลติโก มาดริด

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top