5 วลีเด็ด!!! “เด็กผี” บูลลี่ “เด็กหงส์”…แล้วย้อนเข้าตัว

เสน่ห์ของฟุตบอลอีกอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ “การโต้เถียง” แย้งกันไปมาของเหล่าแฟนบอลที่เป็นคู่อริเชียร์ทีมที่เหม็นขี้หน้ากันมาอย่างยาวนาน…สองคู่กัดที่ขึ้นโพลล์อันดับหนึ่งของทุกสถาบันย่อมหนีไม่พ้น แฟนผี และ แฟนหงส์ ที่ต่างฝ่ายต่างข่มขวัญคู่ต่อสู้ด้วยวลีที่เชือดเฉือนจิตใจปานใบมีดโกนอาบยาพิษ…บางคำถึงขั้นทำเอาฝั่งตรงข้ามเจ็บจุกอกจนธาตุไฟแตกถึงขั้นลามไปด่าพ่อล่อแม่กันเลยทีเดียว เห็นได้ตามเว็บฟุตบอลทั่วไปทั้งไทยและเทศ รวมไปถึงแฟนเพจที่เกี่ยวกับฟุตบอลต่างๆ ที่รวมเอาแฟนบอลเลเวลหนึ่งหัวร้อนไว้มากมาย…วันนี้ทางทีมงาน 168Kick จะยกเอา 5 วลีเด็ดๆ ที่เหล่าสาวกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยนำมาบลัฟเหล่า เดอะ ค็อปส์ มาอย่างนมนานซึ่งตอนนี้ทุกคำเหล่านั้น ต่างย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองแบบเถียงไม่ได้อย่างน่าเจ็บใจแล้วในตอนนี้

ทีมใต้ตีน + ทีมท็อปโฟร์เขาจะคุยกัน

ลิเวอร์พูล ก่อนที่จะมาถึงมือของ เจอร์เก้น คล็อปป์ นั้นต้องยอมรับตามตรงว่าแต่ละปีเนี่ยแค่ลุ้นคว้าอันดับสี่ไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็เหนื่อยแล้ว ผลงานส่วนมากจะไปโดดเด่นในบอลถ้วยที่เล่นกันแบบน็อคเอ้าท์เจอกันตัวต่อตัวซะมากกว่า…ไม่แปลกใจเลยเพราะว่างบประมาณในการทำทีม และขุมกำลังที่มีอยู่ในตอนนั้นถือว่าบริหารแบบไม่มีทิศทางที่แน่นอน พอไม่ได้ไปเล่น UCL นักเตะดังๆ ก็มองข้ามไปไม่อยากย้ายมาร่วมทีม งบประมาณอัดฉีดซื้อตัวเสริมทัพ กับค่าเหนื่อยก็ถูกจำกัด แถมกุนซือแต่ละคนก็มีแนวทางทำทีมแตกต่างกันสิ้นเชิงพอเปลี่ยนผู้จัดการทีมนักเตะก็แทบต้องยกเครื่องใหม่เกือบทั้งหมด…ตรงกันข้ามกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยังอาศัยบารมีเก่า และมรดกตกทอดหลัง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจวางมือเอามาหากินต่อยอดเอาตัวรอดวนเวียนอยู่ในกลุ่มหัวตารางได้อย่างหวุดหวิดอยู่เสมอๆ ต่อให้เปลี่ยนกุนซือเป็นใครก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องงบประมาณเสริมทัพที่พร้อมทุบคลังทุกปีจากสภาพทีมในช่วงนั้นทำให้ แฟนผี เอาผลงานในตารางคะแนนมาคอยข่ม แฟนหงส์ อยู่ตลอด แล้วเราจะพบวลีเด็ดๆ อาทิ เช่น ทีมท็อปโฟร์เขาจะคุยกัน? ตอนที่ สเปอร์ส, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล หมุนเวียนกันอยู่ในสี่อันดับแรกของตารางคะแนนโดยไม่มี ลิเวอร์พูล หรือ ไม่อยากเถียงกันพวกทีมใต้ตีน ตอนที่อันดับของ แมนฯยู อยู่เหนือกว่า…แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ แฟนผี จำใจต้องเงียบปากเมื่อสถานการณ์นั้นกลับตาลปัตรตลอดสองฤดูกาลที่ผ่านมา กลายเป็น ปีศาจแดง เองที่ทำอันดับในตารางตามตูด หงส์แดง แบบเทียบกันไม่ได้ แถมต้องไปเล่นในบอลยุโรปถ้วยเล็กอย่าง ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก อย่างน่าอับอายทำเอาแฟนบอลต้องนอนดึกในคืนวันอาทิตย์เพราะต้องรอดูทีมเตะบอลลีก และต้องอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทำงานในเช้าวันจันทร์จากผลการแข่งขันที่ห่วยแตกของทีมอยู่บ่อยครั้ง


รวยอย่างเดียวไม่ได้ต้องโง่ด้วย

อะไรๆ ก็กู!!! ปอล ป็อกบา ไม่ได้กล่าวไว้…แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นชบวนต้นเหตุของวลีนี้

วลีนี้มีชนวนต้นทางระอุมาจากการที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซื้อตัว ปอล ป็อกบา กลับมาร่วมทีมอีกครั้งจาก ยูเวนตุส ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกราว 105 ล้านยูโร แล้วที่มันดูเป็นการซื้อที่โง่เง่าเพราะว่า ปีศาจแดง เสียดาวเตะรายนี้ไปแบบฟรีๆ แต่ต้องทุ่มเงินมหาศาลซื้อกลับมานั่นเอง…แฟนหงส์ ในตอนนั้นเลยใช้ประเด็นที่แสนเปราะบางนี้มาเล่นงาน แฟนผี อยู่พักใหญ่ แต่มีหรือที่สาวกปีศาจแดง จะปล่อยความแค้นครั้งนี้ไปง่ายๆ รอจังหวะแทงสวนอย่างเยือกเย็นจนถึงเดือนมกราคมปี 2018 ที่ทาง หงส์แดง จัดการคว้าตัว เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค จากสโมสร เซาแธมป์ตัน มาด้วยค่าตัวมหาศาลราว 84.95 ล้านยูโร ซึ่งเป็นค่าตัวที่แพงที่สุดในโลกของผู้เล่นในตำแหน่งกองหลัง…มีหรือที่เหล่าพลพรรคอสูรแดงจะรอช้ารีบกล่าวต้อนรับปราการหลังตัวใหม่ของทีมคูอริทันทีว่า “นักเตะแบบนี้ค่าตัวขนาดนี้สโมสรรวยอย่างเดียวไม่ได้ต้องโง่ด้วยถึงจะซื้อได้” อาจดูเหมือนจะสร้างแผลเจ็บเล็กๆ ต่อแฟนหงส์แดง ได้ในตอนนั้นเพราะว่า ฟาน ไดจ์ค ในขณะนั้นยังไม่ได้มีรางวัลใดๆ การันตีฝีเท้าเลยว่าน่าจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป…แต่กลับเหมือนตลกร้ายผ่านไปแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น เซนเตอร์แบ็ครายนี้กลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่พา หงส์แดง คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ แชมป์สโมสรโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร, ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยม PFA กับ นักเตะยอดเยี่ยมของศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019 และเกือบพาทีมครองบัลลังก์แชมป์ลีก แถมยังได้รับการโหวตเป็นอันดับสองจากการเข้าชิงรางวัลบัลลงดอร์อีกด้วย ผงาดขึ้นเป็นกองหลังที่ดีที่สุดในโลกอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ทำเอาแฟนผีเงิบกันหมด…ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ปีศาจแดง ตัดสินใจยอมทุ่มทุนมหาศาลราว 87 ล้านยูโรที่ทำลายค่าตัวสถิติโลกในตำแหน่งกองหลังของ ฟาน ไดจ์ค ด้วยการดึงตัว แฮร์รี่ แม็คไกวร์ มาจาก เลสเตอร์ ซิตี้ ทำให้ แฟนหงส์ ไม่รอช้าส่งดาบนั้นคืนสนองอีกรอบด้วยวลีเดิม รวยอย่างเดียวไม่ได้ต้องโง่ด้วย ย้อนกลับไปเปิดแผลเดิมอย่างแสบสันต์เพราะจนถึงบัดนี้ กองหลังทีมชาติอังกฤษ ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เลยว่าคุ้มค่ากับเงินที่ทีมจ่ายไป

ช้ำให้พอ!!! ภาพจังหวะที่ ฟาน ไดจ์ค ขึ้นเทคตัวเหนือ แม็คไกวร์ โขกประตูเบิกร้องให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามแอนฟิลด์ ไปสบายเท้า 2-0

ไอ้พวกชอบขุดอดีต

แน่นอนว่าแฟนบอลทั้งสองสโมสรมีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของทีมแบบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย…ลิเวอร์พูล เป็นเต้ยของวงการฟุตบอลอังกฤษมาอย่างยาวนานตั้งแต่ถูกขนานนามว่า เครื่องจักรสีแดง จนกระทั่งการมาถึงของชายที่ชื่อว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าของฟุตบอลอังกฤษ…เดิมที หงส์แดง เป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกอังกฤษได้มากที่สุดด้วยจำนวน 18 สมัย ความสำเร็จในจุดนี้ถูกเหล่า เดอะ ค็อปส์ ยกมาใช้เป็นโล่ป้องกันได้อย่างแข็งแกร่งมาโดยตลอด เรียกว่ากดหัวแฟนผีให้อยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัว…จนสุดท้ายทนไม่ไหวต้องสวนไปว่า “ไอ้ทีมชอบขุดความสำเร็จในอดีตมาคุย…อ่อนว่ะ อยู่กับปัจจุบันสิ” แต่พอผลัดเปลี่ยนยุคสมัยมาเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เหล่าขุนพลปีศาจแดงกลับผงาดเข้าสู่ยุคทองที่สุดของสโมสรจากการเทคโอเวอร์ตำแหน่งเดิมด้วยจำนวนแชมป์ลีก 20 สมัย บวกกับถ้วยอื่นๆ ทั้ง เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ แชมป์สโมสรโลก ทำให้ความผยองย้ายฝั่งกลับมาอยู่ทางเมืองแมนเชสเตอร์แทน ภายใต้การกุมบังเหียนของ เฟอร์กี้ แต่น่าเสียดายว่าหลังจากการวางมือของผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์ในปี 2013…แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว กลายเป็นต้องไปหวังความสำเร็จกับบอลถ้วยแทน สวนทางกลับคู่ปรับตลอดกาลภายใต้การทำทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่นับวันยิ่งดีวันดีคืน คว้าแชมป์ถ้วยหูใหญ่ และสโมสรโลกมาการันตีแบบ 100 เปอร์เซนต์ว่าฝีมือการคุมทีมของเขานั้นเป็นของจริงอย่างไร้ข้อกังขา จนในทุกวันนี้ เด็กผี กลับยกเอาความสำเร็จในอดีตในยุคทองของ เฟอร์กี้ ที่ผ่านล่วงเลยมานานนม มาเป็นเกราะกำบังตัวยามกำลังจะเสียทีเพลี่ยงพล้ำเมื่อบวกกับ เด็กหงส์ บนบอร์ด หรือเพจฟุตบอลต่างๆ อย่างน่าอับอายเหมือนกลืนน้ำลายตัวเองอย่างไงอย่างงั้น

ความสำเร็จอันหอมหวลในอดีตที่ผ่านมาจะครบ 7 ปีแล้ว…แต่แฟนผี ยังคงยกมาข่ม แฟนหงส์ อยู่จนถึงปัจจุบัน

ดีแต่ปากเดี๋ยวเจอกันแล้วรู้เลย

โซลชา : “อุดไว้ๆ ทนต่อไปใกล้หมดเวลาแล้ว…เอ้ายิ้มหน่อย” คล็อปป์ : “บุกทีมมันทั้งเกม…เสมอได้ไงวะเนี่ยยย”

ใช่เลย…วลีนี้ต่างฝ่ายต่างปากดีใส่กันเสมอก่อนที่จะพบกันในศึก แดงเดือด เรียกได้ว่าความดุดันของฝีปากแฟนบอลของทั้งสองทีมการันตีว่าไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น…สำหรับ ปีศาจแดง ต้องยอมรับกันตามความจริงว่าแฟนบอลหลายคนยังคงเพ้อฝันกันลมๆ แล้งๆ ว่าทีมข้านี่เก่งซะเต็มประดา ไม่รู้เอาอะไรมามั่นใจนักหนา ทั้งที่ทุกวันนี้ชื่อเสียงของทีมก็ไม่สามารถเอาไปข่มใครเขาได้แล้วต่างกับยุคท่านเซอร์โดยสิ้นเชิง ที่บางทีเกมมันตันๆ บุกไม่ได้แป๊บๆ เดี๋ยวอาจารย์ก็เสกลูกโทษให้เองทำให้เอาตัวรอดมาได้บ่อยๆ ไม่บางทีท่านเซอร์ก็จั่วเทพส่งตัวสำรองถูกตัวลงไปพลิกเกมได้อย่างมหัศจรรย์ แต่พอมาถึงยุคของ โซลชา แค่ทีมต่ำชั้นกว่ายังพาเอาหืดขึ้นคอเกือบทุกนัด สวนทางกับคู่อริตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ยุคนี้เริ่มเกมมาแค่ 20-30 นาทีถ้าเผลอเปลี่ยนช่องไปแปบเดียว ย้ายกลับมาอีกทีก็ใส่สกอร์นำไปซะแล้ว เกมเหย้า-เกมเยือน แทบไม่มีปัจจัยว่าศักยภาพทีมจะลดทอนเพราะทุกนัดเล่นเหมือนกันหมดบุกใส่ทุกทีม, วิ่งเพรสตั้งแต่แดนหน้า และลงเลยด้วยซาลาห์โผล่มายิงเป็นภาพที่เห็นจนชินตา บางครั้งบางคราวเกมตื้อๆ คล็อปป์ ส่งใครลงมาแปบๆ ก็พลิกเกมได้ง่ายๆ จั่วไพ่ถูกใบอยู่เสมอ ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ มาเน่ ที่กลายร่างเป็น เดอะแบก แค่มีเขาอยู่ในสนามหลายๆ ทีมก็ขาสั่นแล้ว…ท้ายที่สุดแล้วพอสองทีมนี้ปะทะกันช่วงหลังภายใต้ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันปรากฏว่าเป็น หงส์แดง ที่เป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างชัดเจน และทาง โซลชา ที่แฟนบอลอวยนักอวยหนาว่าเป็น เจ้าแห่งการปราบทีมใหญ่กลับไม่เคยคุมทีมเอาชนะ ลิเวอร์พูล ยุคคล็อปป์ได้เลยแม้แต่นัดเดียว แถมสามนัดที่เจอกันยอมรับเถอะว่า ปีศาจแดง เอาตัวรอดมาได้ก็บุญโขแล้วในบางนัดเพราะโดนกดซะจนไปไม่เป็น…ถ้าย้อนเป็นในยุคก่อนที่ แฟนผี ที่มีท่านเซอร์ข้างสนามคอมโบกับ ฮาวเวิร์ด เว็บบ์ ปากดีใส่ แฟนหงส์ คงจะน่ากลัวอยู่ไม่หยอก แต่ทุกวันนี้มันทีของ แฟนหงส์ ที่กล้าเย้ยเอาคืนได้ทุกเมื่อว่า “ปากดี…ก็มาดิค้าบบบบ


เคยใส่เปล่าอาร์มทอง?

อาร์มทองตัวปัจจุบันที่ทั้งสองทีมยังไม่เคยสัมผัสทั้งคู่…

วลีนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมครองความยิ่งใหญ่เป็นเบอร์หนึ่งของเกาะอังกฤษ ทุกครั้งที่ ปีศาจแดง พลาดท่าปราชัยต่อ หงส์แดง ครั้งใด แฟนผี มักจะถามถึงถ้วยแชมป์พรีเมียร์ว่าเคยได้แชมป์ถ้วยนี้ซักสมัยรึยัง? เคยใส่เสื้อที่มีอาร์มทองลงเล่นรึเปล่า? เป็นการข่มแบบกลายๆ ว่า “ทีมกูเนี่ยแชมป์เก่านะโว้ยยย ให้เกียรติกันบ้าง” ซึ่งนั่นก็เป็นความจริงที่น่าโหดร้ายสำหรับเหล่า เดอะ ค็อปส์ เพราะจนถึงปัจจุบันทีมก็ยังไม่ก้าวไปถึงแชมป์ลีกที่เป็นฝั่งฝันสักที…จนมาในฤดูกาลนี้ โมฆะ ยูไนเต็ด เริ่มสร้างกองกำลังขึ้นหลังบอลลีกอังกฤษ ต้องหยุดแข่งขันชั่วคราวเพราะวิกฤติการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า…สมาชิกในกองกำลังนี้ส่วนใหญ่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เป็นแฟนปีศาจแดงกว่าครึ่ง ที่พยายามยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ดูเหมือนจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเพื่อนมนุษย์มาเป็นเหตุผลบังหน้า เพื่อหวังให้การแข่งขันบอลลีกปีนี้มีผลออกมาเป็น “โมฆะ” เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็ปีนี้ ลิเวอร์พูล นำเป็นจ่าฝูงแบบฉายเดี่ยวแสงออกเท้า แช่งเท่าไหร่ก็ไม่ยุบสักที ดูท่าทีแล้วยังไงก็แชมป์ โอกาสดีมาถึงเลยขอร่วมผสมโรงรักโลกซะหน่อย…เหตุผลง่ายๆ ที่ เร้ดอาร์มี่ ไม่อยากให้ลีกกลับมาแข่งต่อก็เพราะ หงส์แดง จะเป็นแชมป์แบบไม่มีข้อครหาด่างพร้อยใดๆ ว่าแข่งไม่จบ และทาง คล็อปป์ ก็จะถูกยกย่องเป็นกุนซือระดับตำนานได้อย่างไร้ข้อกังขา เพราะปลดล็อคเควสไล่ล่าแชมป์ใหญ่ๆ ให้กับสโมสรได้เกือบครบแล้ว เหลือแค่บอลถ้วยในประเทศที่พูดกันตามตรงแล้ว…ถ้าจะเน้นเอาจริงๆ ก็มีลุ้นได้ทุกปี แต่เทรนเนอร์ชาวเยอรมันเน้นไปเอาถ้วยใหญ่กว่าเลยจัดเด็กลงเล่นแบบไม่แยแสคำก่นด่าใดๆ ซึ่งตอนนี้โอกาสที่จะกลับมาแข่งบอลลีกกันต่อนั้นมีสิทธิ์สูงเอามากๆ ดังนั้น แฟนผี ควรทำใจเอาไว้ล่วงหน้าได้เลยว่าปีหน้า ลิเวอร์พูล จะใส่เสื้อที่ปักอาร์มทองลงเล่นแบบไม่ต้องสงสัย ทำลายกำแพงคำครหาก่อนหน้านี้ทิ้งแบบย่อยยับเพราะอาจทำสถิติทำแต้มสูงสุดได้อีกด้วย…กลายเป็น ปีศาจแดง ซะอีกที่น่าเป็นห่วง ต้องลุ้นอย่างหนักว่าจะทำอันดับไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ ได้รึเปล่า? อนาคตอันดำมืดเริ่มย่างกรายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วสำหรับแฟนบอลยูไนเต็ด เพราะตอนยิ่งใหญ่ก็ไปเหยอใส่ไว้ซะเยอะไม่มองถึงวัฏจักรของฟุตบอลที่มีขึ้นมีลงเอาไว้ซะเลย!!! คำแนะนำที่เหมาะสมในการวางตัวหลังจาก หงส์แดง แห่รถฉลองแชมป์เรียบร้อยแล้ว คงมีแค่การเตรียมรับแรงกระแทกจากผลกรรมที่เคยก่อไว้ก็เท่านั้นเพราะคงนานพอดูกว่า ปีศาจแดง จะกลับมาลุ้นใส่เสื้อปักอาร์มทองลงแข่งเกมลีกได้อีกครั้ง…และควรเตรียมคำตอบไว้ด้วยว่า “ตั้งแต่พรีเมียร์ลีก เปลี่ยนโลโก้เนี่ย แมนฯยู เคยใส่เสื้ออาร์มทองลงแข่งแล้วรึยัง?

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top