เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสของ เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไม่ได้ทำผลงานในสนามได้แย่ลงเลย แต่ทำไม ณ ตอนี้ เขาถึงไม่ได้เป็นกองกลางตัวรับระดับท็อปเหมือนกับที่เคยเป็นมาเมื่อ 2-3 ปีก่อน
ไม่บ่อยนักที่แฟนบอลพรีเมียร์ลีกจะได้เห็นเส้นทางการผจญภัยของนักเตะอย่าง ก็องเต้ ซึ่งใช้เวลา 4 ปี จาก 2 สโมสรในบ้านเกิดกับ บูโลญจน์ และ กานส์ ก่อนจะย้ายมาสร้างประวัติศาสตร์กับ เลสเตอร์ ซิตี้ และ เซ็นสัญญากับ เชลซี
นับตั้งแต่ย้ายมาเล่นในเมืองผู้ดีเมื่อปี 2015 เส้นทางอาชีพของ ก็องเต้ นั้น น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกร่วมกับ เลสเตอร์ ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมาร่วมทีมก่อนจะย้ายมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกร่วมกับ เชลซี อีกครั้งในซีซั่นต่อมา พร้อมกับคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PFA) อีกด้วย
บุคลิกของส่วนตัวของ ก็องเต้ ทำให้เขาเป็นที่รักของคนรอบข้างอยู่เสมอ โดยพาะอย่างยิ่งรอยยิ้มบวกกับท่าทางที่ขี้อายของเขา และในยุคปัจจุบันที่ฟุตบอลเน้นพละเป็นหลักผู้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ต่างก็ต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย แต่สำหรับ กองกลางเฟรนช์แมน เขาถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยาก
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มันถือเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในจุดสุงสุดของ ก็องเต้ อย่างแท้จริงทั้งกับการเล่นในระดับสโมสร และทีมชาติฝรั่งเศส แต่ในปี 2019 มันเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งใหญ่ของเขาหลังจากที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือชาวอิตาเลียน เข้ามากุมบังเหียน เชลซี
ซาร์รี่ ใช้ปรัชญา “ซาร์รี่บอล” ด้วยการตัดสินใจเปลี่ยนตำแหน่ง ก็องเต้ จากกองกลางตัวรับหน้าแผงหลังที่ถนัดให้ขยับขึ้นมาเล่นบทบาทมิดฟิลด์ บ็อกซ์-ทู-บ็อกซ์ ในระบบ 4-3-3 พร้อมกับให้ จอร์จินโญ่ ห้องเครื่องชาวอิตาลี ที่คว้าตัวมาจาก นาโปลี ยืนห้อยต่ำในแดนกลางเพื่อคอยควบคุมเกม และกระจายบอล
หลังถูกเปลี่ยนตำแหน่ง ก็องเต้ ก็แทบไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดอีกเลย เขาไม่ใช่กองกลางอย่าง อันเดรส อิเนียสต้า, ชาบี เอร์นานเดซ, เควิน เดอ บรอยน์ หรือ ดาบิด ซิลบา ที่สามารถครองบอล และสร้างสรรค์เกมได้ แต่แข้งชาวฝรั่งเศส เป็นนักเตะที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เพราะเขาสามารถใช้ความฟิตของตัวเองเกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อทีมเสียการครอบครองบอล
หลังจากที่ ซาร์รี่ อำลา เชลซี ไป และ แฟรงค์ แลมพาร์ด เข้ามาทำหน้าที่แทน ก็องเต้ ก็โชคร้ายได้รับบาดเจ็บยาว ซึ่งทำให้เขาแทบไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมมากนัก และมันเป็นจังหวะเดียวกับที่ แลมพาร์ด กำลังปรับโครงสร้างแดนกลางโดยใช้ผู้เล่นสายเลือดใหม่อย่าง รอสส์ บาร์คลี่ย์, เมสัน เมาท์ และ มัตเตโอ โควาซิส ลงสนาม
ย้อนกลับไปในช่วงที่อยู่กับ เลสเตอร์ ภายใต้การคุมทัพของ เคลาดิโอ รานิเอลี่ ผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียน ซึ่งใช้ระบบ 4-4-2 ก็องเต้ จะถูกจับยืนคู่กับ แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ มิดฟิลด์ชาวอังกฤษ ในแดนกลาง และทั้งคู่ต่างก็ทำผลงานช่วยเหลือกันและกันได้อย่างสุดยอด
ในช่วงปี 2016-2018 ที่ เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ นั้น ก็องเต้ ก็ถูกใช้งานในบทบาทเดียวกันกับที่ เลสเตอร์ ด้วยการยืนคู่กับ เชส ฟาเบรกัส กองกลางชาวสเปน และดาวเตะชาวฝรั่งเศส ก็ยังทำผลงานได้เป็นอย่างดี แต่ในยุคของ ซาร์รี่ เขากลับถูกขอให้ทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป
สำหรับฤดูกาลนี้ เชลซี ภายใต้การนำของ แลมพาร์ด มีสไตล์การเล่นที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยพลพรรค “สิงโตน้ำเงินคราม” ชุดนี้เต็มไปด้วยนักเตะอายุน้อย และมีความห้าวหาญที่พร้อมจะเปิดเกมบุกตลอดเวลา
แนวทางการเล่นที่เปลี่ยนไปของ เชลซี ยุคใหม่ ซึ่งใช้การเข้าทำที่รวดเร็วเป็นหลักส่งผลให้ ก็องเต้ ต้องปรับตัวอย่างหนัก เพราะการทำงานกับ แลมพาร์ด มันไม่เหมือนกับที่เขาเคยทำงานร่วมกับ รานิเอลี่ หรือ คอนเต้ แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า เชลซี จะดีกว่านี้ถ้าไม่มี ก็องเต้ ทีมของ แลมพาร์ด จะยิ่งดีขึ้นเมื่อมีนักเตะที่เคยสำคัญที่สุดกับทีมเมื่อ 2 ปีก่อนอยู่ในสนามด้วย โดยยกตัวอย่างในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ กองหลังชาวดัตช์ อาจไม่ใช้ผู้เล่นคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล อีกต่อไป เพราะเขาอาจเลยจุดพีคไปแล้ว แต่ประสบการณ์ของเจ้าตัวยังคงเป็นประโยชน์กับ “หงส์แดง” อย่างมหาศาล
ในส่วนของ เลสเตอร์ หลังจากหาตัวแทนของ ก็องเต้ มาเป็นเวลานานในที่สุดพวกเขาก็ได้ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ กองกลางทีมชาติไนจีเรียที่โดดเด่นกว่าในเรื่องเกมรุกเข้ามาเสริมทัพ รวมทั้งเปลี่ยนแนวทางการเล่นด้วยการคว้า 2 มิดฟิลด์ดาวรุ่งอย่าง เจมส์ แมดดิสัน และ ยูริ ตีเลอม็องส์ เข้ามาร่วมทีม นั่นแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เล่นสไตล์อย่าง ก็องเต้ อีกต่อไปแล้ว
นี่คือสถานการณ์ของทีมระดับท็อปในพรีเมียร์ลีกที่กำลังเป็นอยู่ โดยเวลานี้เราอยู่ในยุคที่นักฟุตบอลตำแหน่งกองกลางต้องทำหน้าได้ 2 อย่างพร้อมกัน นั่นคือ เกมรุก-เกมรับ ซึ่งมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง ฟาบินโญ่ ของ ลิเวอร์พูล และ โรดรี้ ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็แสดงให้พวกเราเห็นแล้วว่า พวกเขาสามารถทำได้
แน่นอนว่า ก็องเต้ ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าผู้เล่นเหล่านี้เลย เขาเคยเป็นกองกลางที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก แต่ ณ เวลานี้สถานการณ์ต่างๆมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เชลซี ต้องการขายนักเตะเพื่อสมทบทุนสร้างทีมใหม่ในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังเพิ่งทุ่มเงินคว้าตัว ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าทีมชาติเยอรมัน จาก แอร์เบ ไลป์ซิก ด้วยค่าตัว 47.5 ล้านปอนด์ และซื้อ ฮาคิม ซิเย็ค ตัวรุกชาวโมร็อกโก มาจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยค่าตัวเกือบ 40 ล้านปอนด์
ก็องเต้ จะอายุครบ 30 ปี ในช่วงซัมเมอร์หน้า และปัจจุบันเขาได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้ง ซึ่งสภาพร่างกายดูจะไม่สมบูรณ์เหมือนก่อนแล้ว และจากสไตล์การเล่นของเจ้าตัวที่ต้องใช้พละกำลังเป็นหลักมันก็น่าสนใจว่า เชลซี จะหาทางออกอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นไปได้ว่า ก็องเต้ จะอยู่ค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ต่อไป แต่กองกลางระดับท็อปในพรีเมียร์ลีกหลายคนเริ่มมีแนวทางการเล่นที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่ว่า ก็องเต้ จะแย่ลง แต่มันเป็นเพราะผู้เล่นหลายๆคนเริ่มทำงานของตัวเองได้ดีขึ้นนั่นเอง