Home บทความฟุตบอล ยูเลียน นาเกิลส์มัน ยอดกุนซือหนุ่มแห่งยุค

ยูเลียน นาเกิลส์มัน ยอดกุนซือหนุ่มแห่งยุค

0
ยูเลียน นาเกิลส์มัน ยอดกุนซือหนุ่มแห่งยุค

ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ เทรนเนอร์หนุ่มไฟแรงของ แอร์เบ ไลป์ซิก สโมสรดังในบุนเดสลีกา เยอรมัน สร้างสถิติเป็นผู้จัดการทีมที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่พาทีมผ่านเข้าสู่ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรอบชนะเลิศ ด้วยวัยเพียง 33 ปีเท่านั้น

หลังสร้างชื่อกับ และสั่งสมประสบการณ์กับ ฮอฟเฟนไฮม์ เป็นเวลา 3 ฤดูกาลเต็ม ไลป์ซิก ก็ดึงตัว นาเกิลส์มันน์ ไปคุมทีมเมื่อซัมเมอร์ปี 2019 และในปีแรกกับ ไลป์ซิก เขาพาทีมประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลื่อเชื่อด้วยการคว้าอันดับ 3 ในบุนเดสลีกา และเข้าไปถึงรอบรองฯยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

นาเกิลส์มันน์ ได้รับการยกย่องอย่างมากกับฝีมือในการคุมทีมของเขา และได้รับการคาดหมายว่า จะก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือระดับท็อปของวงการลูกหนังในอนาคตเช่นเดียวกันกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล

สไตล์การคุมทีม

Photo : thesefootballtimes.com

นาเกิลส์มันน์ เริ่มอธิบายแนวทางของเขาว่า “โดยทั่วไป ไม่ว่าจะระบบ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 ผมไม่ได้มีรูปแบบตายตัว เพราะมันเป็นแค่เรื่องตัวเลข ผมไม่ได้สร้างรูปแบบที่มันตายตัวขนาดนั้น ผมคิดว่า การรู้หน้าที่ตัวเอง และสิ่งที่ควรทำบนสนามเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และเมื่อเกมเริ่มขึ้นรายละเอียดก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป”

 ไลป์ซิก เพิ่งขายกองหน้าคนสำคัญอย่าง ติโม แวร์เนอร์ ไปให้กับ เชลซี และ ปาทริค ชิค หัวหอกตัวเก่งที่ยืมตัวมาจาก โรม่า เมื่อปีที่แล้วก็ถูกเรียกกลับต้นสังกัด และ “หมาป่าเหลืองแดง” ก็ขายต่อให้กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น คู่งแข่งร่วมศึกบุนเดสลีกาของ ไลป์ซิก ไปแล้ว

นาเกิลส์มันน์ กล่าวอย่างผ่อนคลายว่า “คุณไม่สามารถหาใครมาแทนที่ ติโม แวร์เนอร์ ได้อีกแล้ว และผมต้องหาคนมาแทน ปาทริค ชิค ด้วยเช่นกัน”

บางที นาเกิลส์มันน์ อาจเป็นผู้จัดการทีมที่มีความสุขที่สุดในโลกก็ได้ เขาทำงานด้วยความสนุกสนาน ชอบเล่นสเก็ตบอร์ด และชอบบินโดรนเมื่อมีเวลาว่าง นอกจากนี้ เขายังเป็นนักจิตวิทยาที่มีทักษาะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมกับลูกทีมอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เส้นทางอาชีพกุนซือของ นาเกิลส์มันน์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมาย โดยหลังจากได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่า และต้องแขวนสตั๊ดในวัยเพียง 20 ปี โค้ชชาวเยอรมัน ตัดสินใจเดินทางเข้าสู่การเป็นเทรนเนอร์อย่างจริงจัง

ภายหลังเรียนด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และสอบใบไลเซนซ์โค้ชเสร็จสิ้น โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือคนปัจจุบันของ เปแอสเช ซึ่งในอดีตคุมทีม เอาก์สบวร์ก นั้น ก็เสนองานแรกให้กับ นาเกิลส์มันน์ ด้วยการเป็นแมวมองของสโมสรในปี 2008 และนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นในอาชีพเทรนเนอร์ของเขา

หลังจากนั้นไม่นาน นาเกิลส์มันน์ กลับไปสู่ 1860 มิวนิค อดีตทีมเก่าที่เขาเคยเป็นผู้เล่นเพื่อไปรับงานในตำแหน่งผู้ช่วยโค้ช อเล็กซานเดอร์ ชมิทช์ ในทีมชุดอายุต่ำกว่า 17 ปี และในปี 2010 ฮอฟเฟนไฮม์ ก็ดึงตัวเขาไปคุมทีมเยาวชน ก่อนจะโปรโมตขึ้นกุมบังเหียนทีมชุดใหญ่ในเดือนตุลาคมปี 2015 

ประเดิมงานแรกกับ ฮอฟเฟนไฮม์

Photo : thenational.ae

แน่นอนว่า การที่ ฮอฟเฟนไฮม์ ประกาศแต่งตั้ง นาเกิลส์มันน์ มันกลายเป็นประเด็นให้สื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า เป็นการตัดสินใจผิดพลาดที่นำโค้ชที่ไม่มีประสบการณ์มาคุมทีม แต่ นาเกิลส์มันน์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขามีฝีมือมากพอ

นาเกิลส์มันน์ เล่าว่า “ตอนผมเริ่มงานผมก็เป็นแค่โค้ชหนุ่มคนหนึ่ง ผมทำงานได้ดี และมันเหมือนเป็นการเปิดประตูให้กับโค้ชดาวรุ่งคนอื่นๆ ผมคิดว่า ฮอฟเฟนไฮม์ เป็นแบบอย่างของสโมสรที่กล้าหาญที่จะให้ผมเป็นเทรนเนอร์ จากนั้น สโมสรอื่นก็เริ่มยอมรับว่า มันเป็นไปได้ที่จะทำงานร่วมกับผู้จัดการทีมอายุน้อย”

การให้สัมภาษณ์นั้น เป็นส่วนหนึ่งในเสน่ห์ของ นาเกิลส์มันน์ เขามีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกับลูกทีมทุกคนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับเขา ในขณะที่นักเตะอายุน้อยก็สามารถเรียนรู้จากเขาได้อย่างรวดเร็วเพราะ อดีตโค้ช ฮอฟเฟนไฮม์ เข้ากับดาวรุ่งได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน นาเกิลส์มันน์ ยังมีชื่อเสียงในด้านการใช้เทคโนโลยียุคใหม่มาประยุกต์ใช้ในการคุมทีม ซึ่งในสมัยที่ยังคุม ฮอฟเฟนไฮม์ เขาติดตั้งหน้าจอขนาดใหญ่บนสนามฝึกซ้อมเพื่อให้ลูกทีม และสตาฟฟ์โค้ชคนอื่นๆ ทำการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์

นาเกิลส์มันน์ ยังนำโดรนเข้ามาใช้ในการฝึกซ้อมที่เรียกว่า “Footbonaut” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงเวลาตอบสนองของผู้เล่นในสนาม และการรับรู้เชิงพื้นที่ โดยปรัชญา และแนวทางการฝึกสอนของเขาแบ่งออกเป็น 2 ข้อหลัก ได้แก่ ประสิทธิภาพในสนาม และแนวทางที่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งแบ่งเป็น    แท็คติค 30% และความสามารถ 70%

ปรัชญาการคุมทีม

Photo : t-online.de

ปรัชญาการฝึกสอนของ นาเกิลส์มันน์ ส่วนหนึ่งมาจากกุนซือที่เขาเคยทำงานด้วย อาทิ ทูเคิล ที่ เอาก์สบวร์ก รวมทั้งไอดอลอย่าง กวาร์ดิโอล่า และ ราล์ฟ รังนิค ที่เคยเป็นเทรนเนอร์ ฮอฟเฟนไฮม์ ในปี 2006-2011 และคุม ไลป์ซิก ในปี 2018-2019 ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกีฬา และพัฒนาศักยภาพของกลุ่มบริษัท เร้ด บลูล์

ทฤษฎี “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของ รังนิค มีอิทธิพลต่อปรัชญา และแท็คติคของ คล็อปป์ ที่ ลิเวอร์พูล, ทูเคิ่ล ที่ แปเอสเช และหลายๆทีมทั่วโลก และเมื่อ นาเกิลส์มันน์ เข้ามาคุม ไลป์ซิก นั้น เขาก็ต่อยอดแนวทางที่ รังนิค วางเอาไว้

“ผมคุ้นเคยกับปรัชญาของ ราล์ฟ ที่ ฮอฟเฟนไฮม์ การตอบโต้เป็นหัวข้อที่สำคัญมากในการกดดันคู่ต่อสู้แทบทุกนาทีเพื่อให้เราสามารถเอาบอลกลับมาครองได้ แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น เราต้องหาสมดุลที่ดีระหว่างการครองบอล และจังหวะการโจมตี”

“เราต้องมีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน และทำงานเป็นทีมไม่ว่าจะรุกหรือรับ โต้กลับหรือครอบครองบอล” นาเกิลส์มันน์ อธิบาย

อย่างไรก็ตาม แนวทางทั้งหมดที่ นาเกิลส์มันน์ อธิบายไว้นั้น เขาก็ตระหนักดีว่า มันยากที่จะให้ลูกทีมไล่บี้คู่ต่อสู้ตลอดทั้งเกมทุกนัด เนื่องจาก ในฤดูกาลหน้า ไลป์ซิก มีโปรแกรมอัดแน่นทั้งบุนเดสลีกา, เดเอฟเบ โพคาล และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

“ถ้าคุณคิดว่า เราจะเล่นในแนวทางแบบนั้นทุกๆ 3 วัน ผมบอกได้เลยว่า มันยากมากๆ เราไม่สามารถทำงานในระดับนั้นได้ทุกวันหรอก ดังนั้น เราจึงต้องใช้โอกาสจากเวลาที่เราครองบอลสร้างสรรค์โอกาสทำประตู และหาจุดสมดุลที่ดีระหว่างเกม ขณะเดียวกันก็พยายามพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ด้วย” อดีตโค้ช ฮอฟเฟนไฮม์ กล่าว

คลังข้อมูล

Photo : indianexpress.com

ขณะเดียวกัน นาเกิลส์มันน์ ก็เป็นหนึ่งในกุนซือที่ให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูล โดยระบุว่า “มันเป็นเรื่องสำคัญที่บางครั้งในการฝึกซ้อมพวกเขาจะต้องทำงานหนักเพื่อที่พวกเขาจะได้ปรับปรุงบางอย่าง มันเป็นความคิดหนึ่งของผมที่จะทำแบบนี้ และในตอนท้ายผู้เล่นจะพัฒนาในแบบที่ผมต้องการให้พวกเขาพัฒนา”

“มันเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้จัดการทีมในการมองไปที่ลักษณะของผู้เล่นแต่ละคน และคุณต้องมีความรู้สึกทางสังคมที่ดีกับผู้เล่น และการสื่อสารที่ดีกับพวกเขา”

นอกจากนี้ นาเกิลส์มันน์ ยังเป็นคนที่ชอบสร้างบรรยากาศสนามซ้อมให้มีความสุขอยู่เสมอ โดยอธิบายว่า “ถ้านักเตะชอบที่จะไปฝึกซ้อมพวกเขาก็จะพัฒนาได้ดีขึ้น พวกเขาจะคิดว่า ฉันอยากไปพบผู้จัดการทีมอีกครั้ง ส่วนปฏิสัมพันธ์ทางสังคมก็มีความสำคัญมากเช่นกัน”

“แต่ท้ายที่สุดแล้วเราควรรับฟังแนวคิดว่า พวกเขาต้องการเล่นฟุตบอลอย่างไร คุณต้องหาสมดุลที่ดีและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เล่นของคุณในขณะที่ยังคงพยายามปรับปรุงพวกเขาในทุกเรื่องของฟุตบอล และสิ่งเหล่านั้นคุณจะได้เห็นมันในสนาม”

สำหรับการพัฒนาตัวเองของเทรนเนอร์นั้น นาเกิลส์มันน์ อธิบายอย่างอารมณ์ดีว่า “ผมไม่รู้ว่าโค้ชที่มากประสบการณ์กับโค้ชหนุ่มใครจะพัฒนาตัวเองได้มากกว่ากัน ผมไม่เคยแก่มาก่อน ผมไม่รู้ว่า ใครจะทำได้ดีกว่ากัน” “ผมยังเด็ก และผมชอบที่จะเป็นเด็ก และพยายามที่จะเป็นเด็กต่อไป มันหมายความว่า ผมสามารถเข้าใจผู้เล่นของผมได้ดีขึ้น ดังนั้น บางทีมันอาจเป็นข้อได้เปรียบคนอนอื่นๆ”

ให้เกียรติคู่แข่ง

Photo : twitter.com/optafranz

เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาแม้ ไลป์ซิก จะจบอันดับ 3 ในบุนเดสลีกา แต่ นาเกิลส์มันน์ คิดว่า ทีมของเขาต้องเรียนรู้ต่อไป เพราะลูกทีมหลายคนยังอายุน้อย และยังไม่สามารถยืนระยะลุ้นแชมป์ได้ทั้งที่ช่วงกลางฤดูกาลพวกเขาขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงมาแล้ว และทำผลงานได้ดีในฟุตบอลยุโรป

นาเกิลส์มันน์ กล่าวว่า “มันน่าสนใจเสมอสำหรับผู้จัดการทีมอายุน้อยที่จะเป็นคู่แข่งที่ดีในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และรับมือกับทีมระดับท็อปในยุโรป ผมศึกษาการเล่นของคู่แข่ง และหาแผนที่ดีเพื่อรีบมือกับพวกเขา ผมได้เผชิญหน้ากับยอดโค้ชอย่าง ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ และ โทมัส ทูเคิล ซึ่งมันเป็นเกมที่พิเศษมาก”

นอกจากจะเป็นโค้ชที่ดีแล้ว นาเกิลส์มันน์ ยังเป็นคู่แข่งที่น่าชื่นชมเช่นกัน เขายกย่อง ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค เทรนเนอร์ของ บาเยิร์น มิวนิค อย่างมากที่พา “เสือใต้” คว้าแชมป์บุนเดสลีกา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แม้จะเป็นคู่ต่อสู้กันโดยตรงก็ตาม

นาเกิลส์มันน์ กล่าวว่า “ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคุมทีมใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค พวกเขามีผู้เล่นที่ดีมากมาย แต่ ฟลิค ทำได้ และยังทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมในตลาดซื้อขายนักเตะด้วย พวกเขามีนักเตะสายเลือดใหม่มาทดแทนนักเตะอายุมากอยู่เสมอ”

“พวกเขามีเงิน มีคุณภาพ, มีจิตใจที่แข็งแกร่ง และมีเป้าหมายที่แน่นอน นั่นคือสิ่งที่เราต้องการจะทำ แต่ตอนนี้การไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้านั้นสำคัญกว่าการจะไล่ตาม บาเยิร์น เราพยายามทำสิ่งนี้มาโดยตลอด แต่มันไม่ง่ายเลย”

พร้อมเผชิญความท้าทาย

Photo : 90min.com

การหาผู้เล่นใหม่เป็นงานที่ไม่ง่ายสำหรับ นาเกิลส์มันน์ และ ไลป์ซิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหากองหน้ามาแทน แวร์เนอร์ ที่ซัดไป 28 ประตู จาก 34 เกมในบุนเดสลีกาเมื่อปีที่ผ่านมา นั้น เป็นงานหินพอสมควร

นาเกิลส์มันน์ กล่าวว่า “ติโม มีความสามารถมากมาย ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาผู้เล่นคนใหม่ที่เหมือนกับเขา แต่เราก็ได้ตัว ฮวาง ฮี ชาน มาจาก เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก แล้ว เขาเป็นกองหน้าที่วิ่งทะลุช่องแนวรับได้ดีมาก และเรายังต้องการกองหน้ามาแทน ปาทริค ชิค ด้วย”    

“เรายังมีกองกลางฝีเท้าดีที่ไม่ได้ลงเล่นมากนักในฤดูกาลที่แล้วอย่าง ดานี่ โอลโม่ ที่ซื้อตัวมาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เรารู้ว่าเขาอาจยังไม่ได้ลงเล่นมากนัก แต่เขาเป็นนักเตะชั้นยอด และผมก็มีความสุขกับเขา และเรายังได้ตัว คริสโตเฟร์ เอ็นกุนกู มาอีก แต่เราต้องการผู้เล่นมากกว่านี้เพื่อมาแทนที่ ติโม เพราะการจะการผู้เล่นที่เหมือนเขาแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ มันเป็นไปไม่ได้เลย”

ไลป์ซิก ได้สูญเสียผู้เล่นที่ดีที่สุดคนหนึ่งอย่าง แวร์เนอร์ ไปแล้ว ในขณะที่ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ กองหลังดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส ก็ตกเป็นเป้าหมายของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ นาเกิลส์มันน์ ยืนยันว่า ดาวเตะวัย 21 ปี จะอยู่ทกับสโมสรต่อไปอีกหนึ่งฤดูกาลแน่นอน

“มันเป็นข่าวใหญ่ และมันเป็นจุดสนใจสำหรับเรา มีหลายสโมสรที่สนใจ อิบราฮิมา โคนาเต้, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ และ คริสโตเฟร์ เอ็นกุนกู พวกเขาเป็นดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ และมันก็ยากที่จะหานักเตะใหม่มาแทนพวกเขาในทุกฤดูกาล แต่มันก็สำคัญ เราต้องพยายาม และค้นหาความนักเตะสำหรับอนาคตต่อไป”

เป้าหมายในอนาคต

hoto : goal.com

อนาคตของ นาเกิลส์มันน์ ก็น่าสนใจเช่นกัน เขาเคยตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับ เรอัล มาดริด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน แต่ล่าสุด เทรนเนอร์ ไลป์ซิก ยืนยันว่า เขาไม่เร่งรีบกับเส้นทางอาชีพของตัวเอง และจะมองหาโอกาสในเวลาที่เหมาะสมต่อไป

“ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะเป็นโค้ชทีมใดในอีก 30 ปีข้างหน้า ตอนนี้ผมยังไม่มีเวลาให้ครอบครัวหรืองานอดิเรกอื่น ๆ เลย”  นาเกิลส์มันน์ กล่าว

แผนการในอนาคตของ นาเกิลส์มันน์ คือ อยากไปพักผ่อนกับครอบครัวที่เทือกเขาแอลป์ และดื่มด่ำกับงานอดิเรกของเขาตัวเองอย่างการเล่นโดรน, เล่นกีฬาในหิมะ หรืออาจจะเป็นไกด์ก็ได้ แต่ด้วยการที่เขาเป็นคนชอบคิดโปรเจกต์ใหม่ๆมันก็ยังทำให้ตัวเองเลิกคิดเกี่ยวกับฟุตบอลไม่ได้

 “ฟุตบอลเป็นธุรกิจที่รวดเร็ว ผมพยายามวางแผนอยู่เสมอ และผมรู้ว่าผมยังเด็ก คุณต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ดีขึ้น ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะคุมทีมได้ 25 ถึง 30 ปีหรือไม่ แต่ผมคิดว่า ตัวเองสามารถคว้าแชมป์รายการแรกได้ และยังกระหายคว้าแชมป์ไปเรื่อยๆ ดังนั้น คุณจะไม่มีทางรู้อนาคตได้เลย” นาเกิลส์มันน์ กล่าวปิดท้าย

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้