Home บทความฟุตบอล เส้นทางของทัพ “ปืนใหญ่” ภายใต้การนำทีมของ “อาร์เตต้า”

เส้นทางของทัพ “ปืนใหญ่” ภายใต้การนำทีมของ “อาร์เตต้า”

0
เส้นทางของทัพ “ปืนใหญ่” ภายใต้การนำทีมของ “อาร์เตต้า”

ขุนพลของทัพ ปืนใหญ่อาร์เซน่อล ภายใต้การนำทัพของกุนซือหนุ่ม มิเกล อาร์เตต้า ที่ตัดสินใจมารับเผือกร้อนตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาลก่อน ทั้งที่ตัวเขาเองไม่เคยผ่านงานคุมทีมแบบเต็มตัวมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่หนักพอตัวสำหรับโค้ชหนุ่มชาวสเปน ที่ต้องมีภาระมาแบกรับชะตากรรมของทีมที่เคยเป็นถึงคู่แข่งแย่งแชมป์หน้าประจำของลีกอังกฤษในยุค 1990-2010 ต้องยอมรับกันตามตรงว่า อาร์แซน เวงเกอร์ เป็นผู้วางรากฐานของทีมไว้อย่างยาวนานจนยากจะมีคนมาลบภาพออกไปได้…ซึ่งนั่นเป็นเรื่องยากอย่างมากที่จะมีคนมาวัดรอยเท้าดังกล่าว

ถ้อยคำอำลาของ อาร์เซน เวงเกอร์ กับทีมที่เปรียบเสมือนหัวใจของเขา

ผู้ที่มาลองของรับไม้ต่อจาก เวงเกอร์ เป็นคนแรกอย่าง อูไน เอเมรี่ ถือว่ามีดีกรีไม่ธรรมดาเพราะเคยพาทีมระดับกลางๆ อย่าง เซบีย่า ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป่า ลีก อย่างน่าประทับใจ แต่ไปตกม้าตายหลังขยับไปรับงานสเกลที่ใหญ่ขึ้นแบบ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในเวลานั้นไม่ค่อยมีเสียงคัดค้านจากแฟนบอล เดอะ กันเนอร์ส เท่าไหร่นักเพราะรู้กันดีว่า สแตน โครเอนเก้ เจ้าของทีมจอมหนืดนั้นไม่ได้หวังจะลงทุนกับทีมเพื่อประสบความสำเร็จ แทบไม่ได้โยนงบประมาณก้อนโตให้สโมสรใช้จ่ายได้อย่างหนำใจต่างกับคู่แข่งร่วมลีก ดังนั้นการได้กุนซือมีชื่อประมาณนึงมาคุมทัพก็เป็นสิ่งที่พอรับได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วผลงานของทีมกลับไม่เป็นดังที่คาดการณ์ไว้เพราะว่า เอเมรี่ ปรับแต่งแทคติกส์ของทีมจนรวนไปหมด ยิ่งเล่นยิ่งทำผลงานได้ตกต่ำเกินทนจนทีมหล่นมาอยู่กลางตารางหลุดพื้นที่บอลยุโรปไปไกล จนบอร์ดบริหารทนความย่ำแย่ไม่ไหวสั่งปลดเขาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในฤดูกาลที่แล้ว

อูไน เอเมรี่ โดนปลดแบบกลางอากาศเนื่องจากพาขุนพล ปืนโต ทำผลงานได้ย่ำแย่เกินจะรับไหว

แน่นอนว่าตำแหน่งหัวเรือของทัพ ปืนใหญ่ ย่อมเป็นที่หอมหวลชวนลองสำหรับเทรนเนอร์ทั่วยุโรป…โดยรายชื่อที่เข้ามาเกี่ยวพันในช่วงนั้นมีทั้ง คาร์โล อันเชล็อตติ จอมเก๋าจากอิตาลีที่เป็นแคนดิเดตที่แฟนบอลอยากได้มากที่สุด, เธียร์รี่ อองรี กองหน้าเบอร์หนึ่งตลอดกาลของสโมสรจนถึงเวลานี้, ปาทริค วิเอร่า อดีตกองกลางพันธุ์ดุของสโมสรที่กำลังถูกจับตามองหลังเริ่มงานคุมทีมเต็มตัวได้ไม่นาน และชื่อสุดท้ายที่มาแรงแซงโค้ง มิเกล อาร์เตต้า อดีตมิดฟิลด์เชิงสูงของทีมที่รับหน้าที่เป็นมือขวาข้างกาย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เทรนเนอร์สมองเพชรของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ระหว่างที่บอร์ดบริหารกำลังคัดเลือกกุนซือคนใหม่ก็ดันเอา เฟร็ดดี้ ลุงเบิร์ก ทีมงานสตาฟฟ์โค้ชขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมขัดตราทัพ แต่ผลงานของทีมช่วงนั้นก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นมาแม้แต่น้อย ปรากฏว่าท้ายที่สุด อันเช่ เลือกไปลงเอยคุมทัพ เอฟเวอร์ตัน แบบงงๆ เนื่องจากข้อเสนอของ ยอดทีมจากลอนดอน นั้นไม่ดีพอ และการเจรจาดูจะทีเล่นทีจริง ในรายของ อองรี นั้นก็ดูมือยังไม่ถึงเพราะล้มเหลวกับ โมนาโก ส่วนทาง วิเอร่า ก็ออกตัวปฏิเสธแบบกลายๆ ว่าเขายังไม่พร้อมรับงานใหญ่ เหลือเพียงตัวเลือกสุดท้ายที่ทาง ราอูล ซาเนลฮี และ เอดู สองบอร์ดบริหารจำเป็นต้องดึงมาให้ได้ คือ อาร์เตต้า ไข่ในหินของ เป๊ป ที่เชื่อกันว่าได้รับถ่ายทอดวิชาเรื่องแทคติกส์มาอย่างเข้มข้น

อาร์เตต้า มีเวลาแค่ครึ่งฤดูกาลก็พาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้อย่างน่าประทับใจ

ภารกิจดึงตัว อาร์เตต้า มารับงานในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ประสบความสำเร็จไปด้วยดี…แต่แล้วแฟนบอลก็ยังอดตั้งคำถามเรื่องฝีมือในการคุมทัพของเทรนเนอร์หนุ่มชาวสเปนไม่ได้ เนื่องจากเขาไม่เคยคุมทีมอย่างเป็นทางการแม้แต่นัดเดียวเรียกว่าประสบการณ์เป็นศูนย์แต่ได้โอกาสรับงานใหญ่ถึงระดับนี้เป็นงานแรกในชีวิต ภารกิจของเขาไม่ได้ง่ายเลยเพราะว่าสถานการณ์เรื่องภายในห้องแต่งตัวของทีมก็มีปัญหาใหญ่อยู่หลายเรื่อง อาทิ เช่น อนาคตของ เมซุต โอซิล เพลย์เมคเกอร์ตัวกลั่นที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงสุดของสโมสรแต่กลับไม่มีตำแหน่งที่ว่างให้ลงเล่น, บูกาโย ซาก้า ดาวรุ่งเพชรเม็ดงามเบอร์หนึ่งของทีมที่ยังไม่ยอมต่อสัญญาฉบับใหม่ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ดาวยิงกัปตันทีมที่ใกล้หมดสัญญาและมีข่าวเชื่อมโยงเรื่องย้ายไปร่วมทัพสโมสรชั้นนำในยุโรปอยู่ตลอด…ช่วงแรกในการทำทีมของ อาร์เตต้า นั้นต้องยอมรับว่าผลงานยังลุ่มๆ ดอนๆ ต้องลุ้นกันแบบนัดต่อนัดว่าจะเอาตัวรอดได้หรือไม่? ใช้เวลาปรับจูนแทคติกส์อยู่นานพอตัวจนมาเจอกับแผนการเล่นระบบกองหลังสามคน ที่ทำให้ทีมเล่นได้ลงตัวแบบสุดๆ ซาก้า แฮปปี้มากขึ้นเมื่อได้รับโอกาสให้ขึ้นไปเล่นในแผงแนวรุกจนตัดสินใจต่อสัญญายาวกับทีมออกไป แผงมิดฟิลด์ตัวกลางใช้ กรานิต ชาก้า จับคู่กับ ดานี่ เซบายอส ได้อย่างลงตัว แดนหน้า โอบาเมยอง คอยล่าสกอร์ให้ทีมได้อย่างต่อเนื่องจนถูกนำสไตล์ไปเทียบกับ อองรี เลยทีเดียว…และใครเล่าจะเชื่อว่าเมื่อจบฤดูกาล อาร์เตต้า จะสามารถพาทีมคว้าแชมป์แรกได้อย่างยิ่งใหญ่ที่เป็นถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้อย่างรายการ เอฟเอ คัพ ทำให้แฟนบอลเริ่มคลายความสงสัยเรื่องฝีมือของเขาไปได้บ้าง

สิ่งที่แฟนบอลปืนใหญ่ลุ้นกันจนตัวโก่งหนีไม่พ้น งบประมาณการเสริมทัพ ของสโมสรที่จะอัดฉีดให้กับ อาร์เตต้า ในซีซั่นนี้…ในตอนแรกมีข่าวลือที่หลายๆ คนตัดสินใจเชื่อแบบไม่กังขาว่า โครเอนเก้ มีเงินให้ผู้จัดการทีมช็อปปิ้งเพียงแค่ 50 ล้านปอนด์เท่านั้น เรียกได้ว่ากระจุ๋มกระจิ๋มเสียเหลือเกินกับทีมที่แบกความคาดหวังของแฟนบอลแบบมหาศาล แต่แล้วเกมก็พลิกเมื่อตอนปิดตลาดเมื่ออาทิตย์ก่อนเพราะเป้าหมายเกือบทั้งหมดที่เล็งไว้นั้นคว้าตัวมาได้เกือบทั้งหมด เริ่มต้นที่ วิลเลี่ยน ปีกบราซิลประสบการณ์สูงที่เข้ามาเติมเต็มแนวรุกได้อย่างลงตัว, กาเบรียล เซนเตอร์ชาวบราซิลที่ฉายแววดีขึ้นเรื่อยเป็นความหวังใหม่ในแนวรับ, รูนาร์ อเล็กซ์ รูนาร์สสัน ประตูมือดีที่เข้ามาเป็นแบ็คอัพ และดีลสุดท้ายที่ทำให้แฟนบอลฟินกันสุดๆ อย่าง โธมัส พาเตย์ กองกลางตัวแกร่งจาก แอตเลติโก มาดริด ยิ่งไปกว่านั้นภารกิจที่สำคัญที่สุดอย่างการต่อสัญญากับ โอบาเมยอง ก็ประสบความสำเร็จไปด้วยดีย่อมสร้างขวัญกำลังใจให้กับบรรยากาศในห้องแต่งตัวของทีมเป็นพลังบวกแบบปฏิเสธไม่ได้

ขุมกำลังคร่าวๆ ของ อาร์เซน่อล หลังเสริมทัพมาแบบเต็มสูบ

ฤดูกาลนี้ อาร์เตต้า เปิดหัวได้อย่างน่าประทับใจด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ คอมมูนิตี้ ชิลด์ และพาทีมลงเล่นเกมลีกไปแล้ว 4 นัด เก็บไปถึง 9 แต้ม เสียท่าไปเพียงนัดเดียวที่บุกพ่ายแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล แบบสู้ไม่ไหว 1-3 แต่ไม่นานก็ล้างแค้นได้อย่างเจ็บแสบด้วยการบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้ หงส์แดง ถึงรังในศึก คาราบาว คัพ ด้วยการเอาชนะในการดวลจุดโทษ 5-4 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายอย่างน่าชื่นชม แต่นั่นเป็นเพียงการใช้ขุมกำลังที่ยังไม่เต็บสูบหลังปิดตลาดนักเตะเท่านั้น…อาร์เตต้า รู้ดีว่าทีมของเขาเป็นรองทีมใหญ่ๆ ในเรื่องของแผงกลางที่ขาดความหนักแน่น ไม่มีตัวฮาร์ดแมนในการตัดบอลแบบเด็ดขาด ดังนั้นการเติม พาเตย์ เข้ามานั้นเป็นตัวที่ตอบโจทย์อย่างที่สุด เนื่องจากมิดฟิลด์รายนี้ไม่ได้เป็นตัวรับแบบดั้งเดิมที่ทำงานเป็นผึ้งงานอย่างเดียว แต่สามารถออกบอลให้เพื่อนได้หลากหลายในจังหวะได้เปรียบอีกด้วย อีกหนึ่งจุดบอดที่มองข้ามไม่ได้ คือ เกมรับที่มักจะพลาดง่ายๆ อยู่บ่อยครั้ง บิ๊กบอสชาวสเปนก็เลือกนำเข้า กาเบรียล หนึ่งในเซนเตอร์แบ็คเนื้อหอมคนหนึ่งในตลาดรอบที่ผ่านมา เนื่องจากดูมีศักยภาพที่พัฒนาได้อีกไกลเพราะว่าอายุยังน้อยถือเป็นการซื้อที่หลักแหลมไม่น้อย…ถ้ามองคร่าวๆ ถือว่าทีมงานซื้อ-ขายของ อาร์เซน่อล สอบผ่านเลยทีเดียวในตลาดรอบนี้ไม่สปอยผู้จัดการทีมมากเกินไป คัดสรรมาให้เท่าที่จ่ายได้ตามงบแบบลงตัวไม่เกิน 60 ล้านปอนด์เมื่อหักลบกับการขายผู้เล่นออกไป…แต่มีเรื่องที่แอบตลกไม่น้อยหากสังเกตุกันดีๆ อย่างนักเตะที่ซื้อมาช่วงหลังเหมือนจะหนักไปทาง เชื้อสายบราซิล เป็นส่วนใหญ่ ไม่แน่ใจว่า เอดู ที่นั่งแท่นผู้อำนวยการกีฬานั้นจะเน้นทำทีมแบบชาตินิยมเหมือน เวงเกอร์ หรือไม่? เนื่องจากแต่ก่อนจะคุ้นภาพกันดีว่า เวงเกอร์ นั้นชอบนำเข้านักเตะจากฝรั่งเศสเสียเหลือเกินจนมียุคนึงที่ 11 ตัวจริงที่ลงสนามไม่มีนักเตะอังกฤษแม้แต่รายเดียว!!!

ปัจจัยสุดท้ายที่รอการพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งของ อาร์เตต้า

ปัจจุบัน อาร์เซน่อล เริ่มหันมาบริหารทีมแบบพิมพ์นิยมตามแบบสโมสรสมัยใหม่ ที่เลือกดึงเอาอดีตนักเตะที่ได้รับความนิยมมารับตำแหน่งสำคัญๆ ในสโมสร ปัจจุบันที่เห็นกันชัดๆ ก็มี เอดู ดำรงค์ตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬา และ แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ หัวหน้าทีมอะคาเดมี่ เป็นต้น เหมือนต้องการให้แต่ละหน่วยของสโมสรสามารถเชื่อมโยงกันได้ง่ายขึ้นเพราะเคยเป็นสายเลือด เดอะ กันเนอร์ส ด้วยกันมาก่อน…แน่นอนว่าชั่วโมงนี้บอร์ดนั้นหนุนหลัง อาร์เตต้า แบบเต็มกำลังเท่าที่ทำได้แล้ว เป็นไปได้ว่าวางตัวเทรนเนอร์รายนี้ให้อยู่โยงกับสโมสรเพื่อวางรากฐานของทีมยุคใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ช่วงที่ อาร์เตต้า เข้ามารับตำแหน่งช่วงแรกๆ ที่พูดถึงว่าบอร์ดบริหารเคยขายฝันอะไรให้เขาบ้าง? จึงตัดสินใจมารับเผือกร้อนชิ้นนี้ในท้ายที่สุด…อิสระในการดูแลทีมชุดใหญ่นั้นเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ของ อาร์เตต้า ที่แสดงให้เห็นในเรื่องของพระเดชพระคุณไปแล้วกับนักเตะบางราย เช่นในกรณีของ มัตเตโอ เกนดูซี่ ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมจนหมดอนาคตถูกเฉดหัวออกจากทีมด้วยสัญญายืมตัวไปแล้ว รวมไปถึง เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ประตูมือสองที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงท้ายซีซั่นก่อน ที่มีอนาคตคลุมเครือว่าจะแย่งมือหนึ่งจาก แบรนด์ เลโน่ ได้หรือไม่? สุดท้ายแล้ว อาร์เตต้า ก็ชัดเจนว่าเลือกใครแล้วขายทิ้งเพื่อเอาเงินมาเสริมทัพแทน…แต่ปัญหากวนใจเรื่องสุดท้ายที่เขาต้องพิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง คือกรณีของ เมซุต โอซิล นักเตะที่รับค่าเหนื่อยสูงสุดของสโมสรแต่กลับไม่ได้ลงเล่นเพราะเหตุผลลึกลับทั้งที่มาซ้อมกับทีมอยู่ตลอด อาร์เตต้า ต้องจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดเนื่องจากค่าเหนื่อยของ โอซิล สามารถนำไปเล่นแร่แปรธาตุให้เป็นประโยชน์กับทีมได้มากมาย ตัวเลือกมีเพียงสองทาง คือ หาแผนที่สามารถบรรจุ โอซิล ลงไปในทีม แล้วอาศัยจังหวะช่วงต้นซีซั่นปรับจูนนักเตะใหม่เข้าหากันเพื่อหาชุดที่ดีที่สุดโดยเร็ว หรือ ตัดใจยกเลิกสัญญาเพื่อไม่ให้ปัญหายืดยาวไปกว่านี้…ท้ายที่สุดแล้วเชื่อว่า อาร์เตต้า เป็นกุนซือที่มี “ของ” แน่ๆ แต่การคาดหวังความสำเร็จแบบเร่งด่วนคงเป็นไปได้ยากเพราะผู้จัดการทีมทุกคนต้องใช้เวลาสร้างทีมของตัวเอง เหมือนที่เห็นกันแล้วในกรณีของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เมื่ออาวุธครบมืออะไรก็หยุดได้ยาก ขอให้เหล่า กูนเนอร์ส ใจเย็นๆ และภาวนาให้ทีมไม่เป๋เหมือนเพื่อนร่วมเมืองอย่าง เชลซี ที่มีแต่คนอิจฉาเรื่องการเสริมทัพ ที่ลงเอยด้วยความสับสนไม่ลงตัวเรื่องการจัดทัพให้ลงตัวก็พอแล้ว

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้