แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS เซลซี : 1 คู่บิ๊กแมตช์ กับ 5 คำถามใหญ่?

การมาของ โจเฆ่ มูริญโญ่ ดูเหมือนจะทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่ เกมระหว่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แต่เมื่อเกมนี้จบลง ทุกคนจะจำได้ว่าก่อนมีข่าวช็อกเมื่อคืนวันอาคาร ทุกคนตื่นเต้นที่จะได้ดูเกมแห่งฤดูกาลอีกนัดหนึ่งที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม

เกมในแมตช์นี้ได้รับการคาดหวังจากแฟนบอลทั่วโลกว่าจะเป็นฟุตบอลที่จะเต็มไปด้วยความเอนเตอร์เทนต่อแฟนบอลที่ได้รับชม ยิ่งกว่าเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อช่วงสองสัปดาห์ก่อน

กุนซือทั้งสองฝ่าย แฟร้ง แลมพาร์ด และ เป๊ป กวาดิโอล่า ต่างต้องการ 3 แต้มในนัดนี้ สไตล์การเล่นที่เน้นเกมรุกด้วยกันทั้งคู่ จะทำให้เกมนี้น่าดูมากขึ้นไปอีก และต่อไปนี้จะเป็นคำถาม 5 ข้อ ก่อนที่ทั้งสองทีมจะลงฟาดแข้งกันในค่ำคืนนี้

1. จุดอ่อนในเรื่องเกมรับของ เชลซี จะทำให้พวกเขากล้าเปิดเกมแลกหมัดกับเจ้าบ้านหรือไม่?

สถิติการเล่นเกมรับของเชลซีในปีนี้ทำได้แย่มาก ทำให้ แลมพาร์ด ต้องปรับปรุงแก้ไขมาเรื่อยๆ สิ่งที่ชัดเจนคือการปรุงการรับมือจากลูกตั้งเตะที่ก่อนหน้านี้ลูกทีมของ แลมป์พาร์ด ใช้การยืนโซนเกมรับ เปลี่ยนมาเป็นการ มาร์คจับคู่ตัวประกบกับผู้เล่นฝั่งตรงข้ามแทน และเกมที่พวกเขาเปิดบ้านเสมอ อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม สุดมันส์ 4-4 เมื่อเร็วๆนี้ แสดงให้เห็นว่ากองหลังของ เชลซี มีปัญหาขนาดไหน

การเล่นเกมรุกของ เชลซี ไม่ใช่ทีมที่จะมีระเบียบในเกมรุก สไตล์การเล่นคือ ความมีอิสระในการเล่นของตำแหน่งตัวรุกต่างๆ นั้นจะทำให้พวกเขาเสียการครองบอลค่อนข้างง่าย กลับกันกับลูกทีมของ เป๊ป ที่มีระเบียบวินัยในแผนการเล่น การครอบครองบอลคือสิ่งที่พวกเขาถนัด จุดอ่อนที่เห็นได้ชัดของทีมเยือน เปิดโอกาสให้เจ้าบ้านได้ประตูจากการเล่นสวนกลับเร็วมากขึ้นด้วย

จากนั้นลูกเจ้าบ้านจะได้เล่นเกมที่ตัวเองถนัดด้วยการครองบอล ส่งบอลไปมาทั่วทั้งสนาม เพื่อล่อเปิดช่วงว่างของแนวรับก่อนที่จะเจาะเข้าไปทำประตูเพิ่ม ต้องดูมาว่า เชลซี ที่เป็นทีมไม่เล่นตั้งรับอยู่แล้วจะมีวิธีการแก้การเสียบอลกลางทางอย่างไร

2.เชลซี จะมาเล่นเกมตั้งรับและยอมให้ ซิตี้ บุกใส่ ?

การเปิดเกมรุกแลกหมัดอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่าตั้งรับแล้วสวนกลับก็ได้ เพราะหาก เชลซี ยังคงใช้วิธีการเดียวกับที่ทำใส่ ลิเวอร์พูล ในรายการยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ จะเปิดโอกาสให้ลูกทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า ได้ครอบครองบอลจะทำให้เกิดหายนะต่อเกมรับอย่างแท้จริงแน่ เพราะการครองบอลค่อยๆเจาะเกมรับคือวิธีการที่ เป๊ป ชอบที่สุด

ในเกมลีกนัดที่ เชลซี พ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล 2-1 เจอร์เกน คล็อปป์ แสดงให้เห็นว่าการประกบ แทมมี่ อับราฮัม ให้ไม่สามารถพักบอลได้ จะทำให้เกมรุกด้านข้างของ เชลซี ด้อยประสิทธิภาพลงไปได้มาก ทำให้การที่จะเล่นเกมรับแล้วทิ้งให้ เมสัน เมาท์ และ แทมมี่ อับราฮัม โดดเดียวไว้ในแดนหน้า คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก

3.แผงหลังของ ซิตี้ จะจัดการกับการโจมตีของนักเตะ เชลซี ได้อย่างไร ?

เกมก่อนหน้านี้ อันเจลิโน่, นิโกลัส โอตาเมนตี้ และแฟร์นานดินโย่ ไม่สามารถรับมือกับความเร็วและความฉลาดของ 3 ผสานในแดนหน้าของลิเวอร์พูลได้ ในนัดนี้ต้องเจอกับ แทมมี่ อับราฮัม, เมสัน เมาท์, คริสเตียน พูลิชิซ และวิลเลี่ยน การเคลื่อนที่ของบรรดาเด็กของ แลมพาร์ด จะทำให้กองหลังต้องปวดหัวอย่างแน่นอน

โดยบรรดา 4 ตัวรุก จะเคลื่อนที่สลับตำแหน่งกันไปมาอย่างอิสระในแดนหน้า และการเคลื่อนที่ของปีกทั้งสองข้างของเชลซีที่ขยับแคบลงมาเล่นตรงกลางมากขึ้นเช่นเดียวกับแผนการเล่นของ ลิเวอร์พูล จะทำให้ อันเจลิโน่ และ ไคล์ วอร์คเกอร์ จะต้องหุบตามมาช่วยตรงกลางมากขึ้น นั้นจะเป็นการสร้างพื้นที่ให้กับแบ็คทั้งสองฝั่งของ เชลซี ได้มีโอกาสหาพื้นที่ในการครอสบอลเข้ามา เป็นแผนคล้ายๆกับลิเวอร์พูลใช้ได้ผลมาแล้ว

ถ้า เชลซี กล้ามาเล่นเกมรุกอย่างเต็มสูบ ต้องติดตามว่า เป๊ป จะมีแผนมารับมือกับกลยุทธ์นี้ได้อย่างไร

4.กองกลางของ เชลซี จะสามารถเอาชนะ โรดรี้ และ กุนโดกัน ได้หรือไม่ ?

แผนที่ แลมพาร์ด ชอบใช้เป็นประจำคือ 4-2-3-1 โดยใช้ คริสเตียน พูลิชิซ และวิลเลี่ยน เล่นเป็นปีกด้านข้าง แต่จะขยับเคลื่อนที่หุบมาเล่นกับ เมสัน เมาท์ ที่เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางบ่อยๆ เพื่อที่จะเล่นประสานกันเป็นสามเหลี่ยม เจาะตรงกลางของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งแผนนี้สามารถเอามาใช้กับแมนซิตี้ได้ดี

การที่ต้องถอย แฟร์นานดินโญ่ ไปเล่นเซนเตอร์แบ็ค ทำให้ตรงกลางของทีม ลดความหนาแน่นลงไปไม่น้อย การยืนคู่กันของ อิลคาย กุนโดกัน และ โรดรี้ ยังไม่ค่อยดูเนียนตาเท่าไหร่นัก จะเป็นจุดอันตรายที่ทำให้ เชลซี จะสามารถโจมตีได้ หากสามารถแก้ การเพรสซิ่งในแดนหน้าของคู่แข่งได้ และทำให้บอลหลุดทะลุมาถึงตรงกลาง เหมือนที่ วูล์ฟแฮมป์ตัน เคยทำให้เห็นมาแล้วในเกมที่บุกมาเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ถึงถิ่น เอติฮัด สเตเดี่ยม 2-0

5.ฟูลแบ็คของเชลซีจะเป็นตัวกำหนกผลการแข่งขันในเกมนี้ ?

เกมนี้ เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า และเอเมอร์สัน มีโอกาสที่จะสลับกันเล่นเกมรุกเพื่อไปกดดันฝั่งตรงข้ามได้มากกว่าเกมที่เจอกับ ลิเวอร์พูล เพราะปีกทั้งสองข้างของ ซิตี้ อย่าง ริยาด มาห์เรซ และราฮีม สเตอร์ริ่ง ไม่ถนัดที่จะลงมาช่วยซ้อนเกมรับกันทั้งคู่

อย่างไรก็ตามทั้ง เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า และเอเมอร์สัน ต่างก็เป็นจุดอ่อนของฝั่ง เชลซี เช่นกัน และพวกเขาอาจจะไม่สามารถหยุด ราฮีม สเตอร์ริ่ง หรือ เควิน เดอ บรอยน์ ให้ครอสบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษได้ ซึ่งวิธีการเล่นโยนครอสบอลจากด้านข้างเข้ามาของแมนซิตี้ ถือเป็นอีกหนึ่งอาวุธหนักของทีม โดยพวกเขาติดท็อปทีมที่พยายามครอสบอลใส่ฝั่งตรงข้ามมากที่สุดในปี 2019/20 ถ้าหาก เชลซี อยากมีแต้มกลับไป ฟูลแบ็คทั้งสองข้างของพวกเขาจะต้องโชว์ฟอร์มแห่งฤดูกาลออกมาให้ได้

โดยเกมในนัดนี้ จะลงสนามฟาดแข้งกันในคืนวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน เวลา 00.30 น. หรือเช้าวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน ตามเวลาประเทศไทย ที่สนาม เอติฮัด สเตเดียม เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top