25 ดีลที่จ่ายแพงเกินจริงตลอดกาล ในวงการโลกลูกหนัง ตอนสี่

เข้าสู่ตอนที่ 4 กันแล้วสำหรับซีรีส์ 25 ดีลที่จ่ายแพงเกินจริงตลอดกาลในโลกฟุตบอล ซึ่งเป็นการซื้อ-ขายผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ ที่ราคาค่างวดล้วนทำให้กระเป๋าของทีมที่เป็นฝ่ายจ่ายแทบฉีก ส่วนทางฝั่งผู้ขายก็ฟันกำไรแบบเนื้อๆ เน้นๆ เอาไปต่อยอดทำทีมได้สบาย แต่ใช่ว่าทุกทีมที่เสียตัวหลักออกไป จะสามารถอุดช่องโหว่ได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากตัวแทนที่หาเข้ามานั้น ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน อาจโดนความกดดันเรื่องค่าตัวถาโถมเข้าใส่ จนฟอร์มออกทะเลกู่ไม่กลับ ก็มีให้เห็นกันไปแล้วนักต่อนัก กลายเป็นแพะรับบาปที่ทำผลงานได้ไม่เข้าตา เมื่อเทียบกับขวัญใจคนก่อน

ทุกรายชื่อที่เอ่นถึงไปก่อนหน้านี้ ล้วนคละเคล้ากันไปเป็นการเจรจากันจากหลายลีกทั่วยุโรป แต่ยังวนเวียนกันไม่พ้น 5 ลีกชั้นนำ ที่ใช้เงินกันแบบไม่เกรงกลัวผลกระทบ เนื่องจากต้องการพยายามดึงเรทติ้ง เพิ่มบานแฟนบอลให้มากขึ้น เพื่อหวังสร้างกำไรจากช่องทางอื่นๆ เป็นการถอนทุนคืนมาบ้าง ไม่มากก็น้อย จากการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด การขายสินค้าที่ระลึกจากทางสโมสร รายได้จากตั๋วเข้าชมในแต่ละเกมแบบสดๆ ในสนาม หากไปซื้อผู้เล่นที่ม่มีคลาสเข้ามา ย่อมทำให้ความน่าสนใจในการติดตามทีมลดลง เผลอๆ อาจโดนกระแสต่อต้านจากแฟนบอลหัวรุนแรง ที่ต้องการเห็นทีมประสบควาสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์สักรายการอีกด้วย

บทความนี้ 168Kick พร้อมนำเสนอคอนเทนต์เดิมเป็นตอนต่อแบบไม่ให้ขาดช่วง ซึ่งจะเป็นดีลราคาโอเวอร์ในอันดับที่ 10-6 ก่อนจะเข้าท็อปไฟว์ การันตีเลยว่ามูลค่าของแต่ละรายนั้นเป็นจำนวนเงินมหาศาล ที่น้อยทีมนักจะกล้าลงทุนกับผู้เล่นคนเดียวสูงขนาดนั้น แล้วมีทั้งดีลที่ประสบความสำเร็จ รวมไปถึงดีลที่แป้กแบบน่าเขกกะโหลกปะปนกันไป มาลุ้นกันไปพร้อมๆ กันเลยว่า จะมีดาวเตะที่แฟนๆ คาดเดาเอาไว้ในใจติดโผเข้ามาบ้างหรือไม่? การย้ายครั้งนั้นเป็นการเจรจาระหว่างสโมสรไหน? ราคาค่างวดที่จ่ายไปเสียหายไปเท่าไหร่?

เปิดหัวกันที่อันดับที่ 10 เป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้า ที่ทาง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องการตัวมาเสริมทัพ เพื่อเป็นความหวังใหม่ในการล่าประตู แล้วหวยก็ไปออกที่ โรเมลู ลูกากู ดาวยิงฟอร์มร้อนของ เอฟเวอร์ตัน ที่หลายฝ่ายต่างเชื่อว่าดีกว่าตัวเลือกแรกอย่าง อัลบาโร่ โมราต้า เเนื่องจากไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวใหม่ จึงยอมจ่ายไปมากถึง 76.23 ล้านปอนด์ แพงกว่ามูลค่าจริงที่ 45 ล้านปอนด์ ไปมากถึง 31.23 ล้านปอนด์ เพราะต้องการปาดหน้า เชลซี ที่กำลังเข้ามาป่วนการเจรจาในตอนนั้น แม้ว่าจำนวนประตูเทียบกับจำนวนนัดการลงสนามของ ลูกากู อาจดูไม่ขี้เหร่ แต่ฟอร์มการเล่นโดยรวมนั้นสอบตก อันเป็นปัญหามาจากการคุมน้ำหนัก แต่ยังดีที่ขายไปให้กับ อินเตอร์ มิลาน แล้วสามารถถอนทุนกลับมาได้บ้าง

ต่อกันที่อันดับที่ 9 เป็นผู้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าอีกเช่นเคย แม้ว่าทาง วิคเตอร์ โอวิมเฮน เพิ่งจะแจ้งเกิอย่างเต็มตัวกับ ลีลล์ ได้เพียงไม่นาน แต่ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ในฐานะ วันเดอร์ คิดส์ ฟอร์มแรง ที่มีศักยภาพจะก้าวขึ้นไปเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคตอันใกล้ ทำให้มีหลายทีมยักษ์ใหญ่ จ้องคว้าลายเซ็นต์ของเขากันแบบตาเป็นมัน แต่กลายเป็นม้ามืดอย่าง นาโปลี ที่มีข่าวเพียงแปบเดียว แล้วกล้าจ่ายจริงตามราคาที่ ตราหมา เรียกร้องค่าตัวสูงถึง 67.5 ล้านปอนด์ แพงกว่าราคาตลาด 31.5 ล้านปอนด์ เนื่องจากเวลานั้น โอซิมเฮน ถูกตีค่าไว้แค่ 36 ล้านปอนด์เท่านั้น พอปรับตัวเข้ากับทีมใหม่ได้ เขาก็ฉายแววยอดดาวยิงด้วยการถล่มประตูแบบต่อเนื่อง จนมีข่าวลือว่าเตรียมย้ายสังกัดในอีกไม่นาน

ถัดมาที่อันดับที่ 8 เป็นดีลการทุ่มซื้อผู้เล่นในตำแหน่งตัวรุกริมเส้น ซึ่งไปไกลถึงระดับทำลายสถิติโลกในเวลานั้น นั่นก็คือ แกเร็ธ เบล ปีกฟอร์มร้อนจาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ถูกขายไปให้กับ เรอัล มาดริด ด้วยสนนราคาสูงถึง 90.9 ล้านปอนด์ แพงเกินจริงไปถึง 32.4 ล้านปอนด์ เพราะราคาเประเมินของ เบล ในตอนนั้นอยู่ที่ราว 58.5 ล้านปอนด์เท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อมีชื่อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ามาเอี่ยวในการเจรจา ยังไงผู้ขายอย่าง ไก่เดือยทอง ย่อมต้องพยายามหาทางช่วงชิงผลประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะตักตวงได้ เพราะการเสียสตาร์เบอร์หนึ่งของทีมออกไป พวกเขาย่อมต้องเจอผลกระทบที่ตามมาอย่างหนักหน่วง แต่สุดท้ายแล้วการย้ายของ เบล ก็มีส่วนพาต้นสังกัดใหม่ไปถึงตำแหน่งแชมป์ยุโรป แบบที่ทีมเก่าไม่มีทางไปถึง

เข้าสู่อันดับที่ 7 กันที่ดีลของผู้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้า ที่ว่ากันว่าเขาคือดาวรุ่งพรสวรรค์สูงสุดในประเทศบราซิลในเวลานั้น นั่นก็คือ เนย์มาร์ ดาวยิงมากลีลาที่กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกไปแล้ว การแย่งลายเซ็นต์ของเขาจาก ซานโตส มีตัวเต็งอยู่สองรายที่แข่งขันกัน คือ บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ที่ชื่นชอบสินค้าจากอเมริกาใต้เป็นทุนเดิม ซึ่งสุดท้ายแล้วเป็น เจ้าบุญทุ่ม ที่ยอมจ่ายค่าตัวไปสูงถึง 79.2 ล้านปอนด์ แพงเกินจริงไปถึง 34.2 ล้านปอนด์ จากราคากลางที่ถูกประเมินไว้แค่ราว 45 ล้านปอนด์เท่านั้น แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ ตัวนักเตะก็เปิดกว้าง พร้อมไปอยู่กับทีมใดก็ได้ ที่ให้ราคากับต้นสังกัดเก่าของเขาดีที่สุด ทำให้จำเป็นต้องมีทีมที่ยอมเกทับ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงจังที่มากกว่าอีกทีม แต่สุดท้ายการขายเขาต่ออีกทอดก็คืนทุนให้กับ บาร์ซ่า แบบทบต้นทบดอก

ปิดท้ายกันที่ผู้เล่นในตำแหน่งตัวรุกสาระพัดประโยชน์ ที่เป็รดีลที่มีผลต่อเนื่องมาจากดีลก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่ถูกทาง บาร์เซโลน่า ซื้อตัวมาจาก ลิเวอร์พูล ด้วยราคาสุดเว่อร์วังถึง 121.5 ล้านปอนด์ เพื่อหวังนำมาแทนที่ของ เนย์มาร์ ที่ถูกฉีกสัญญาไปอยู่กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เมื่อรู้ว่า บาร์ซ่า มีเงินหนาจากการขาย หงส์แดง เลยเรียกราคาแพงเกินจริงไปถึง 40.5 ล้านปอนด์ โดยราคาประเมินของ คูตินโญ่ ในเวลานั้นอยู่ที่ราว 81 ล้านปอนด์เท่านั้น แต่ในเมื่อไม่มีช้อยส์สำรองที่ดีกว่า เจ้าบุยทุ่ม เลยจำเป็นต้องยอมจ่ายแบบเสียมิได้ แล้วหวังว่าตัวเลือกนี้จะเข้ามาอุดรูรั่วได้แบบไร้รอยต่อ

แต่ผลกลับลงเอยแบบตรงข้าม นักเตะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบของทีมได้ เป็นส่วนเกินของเทรนเนอร์ใหม่แทบทุกยุค ต้องปล่อยยืมเพื่อลดภาระค่าเหนื่อย สุดท้ายก็ต้องจำใจยอมขายขาดแบบขาดทุนย่อยยับ

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top