Home บทความฟุตบอล 10 กุนซือ พรีเมียร์ ที่อัตราเฉลี่ยเก็บแต้มต่อเกมสูงสุด ตอนแรก

10 กุนซือ พรีเมียร์ ที่อัตราเฉลี่ยเก็บแต้มต่อเกมสูงสุด ตอนแรก

0
10 กุนซือ พรีเมียร์ ที่อัตราเฉลี่ยเก็บแต้มต่อเกมสูงสุด ตอนแรก

ขึ้นชื่อว่าศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นงานในหมวดของนักเตะ หรือ ผู้จัดการทีม ล้วนเจอกับความกดดันสูงไม่ต่างกัน ต่อให้บุคคลากรในวงการลูกหนังของแต่ละทีม จะได้รับค่าจ้างแบบสมน้ำสมเนื้อ ได้รับเงินเป็นกอบเป็นกำในแต่ละสัปดาห์ แต่ใช่ว่าอนาคตของพวกเขาจะลงเอยด้วยความสวยงามเสมอไป ต้องเจอกับอุปสรรคมากมายที่เข้ามาเป็นบทพิสูจน์ในการรักษาผลงาน ให้ทุกอย่างในสนามตอกหน้าเหล่าแฟนบอลและสื่อต่างๆ ที่คอยหาเรื่องจับผิดแทบทุกฝีก้าว ยามที่ฟอร์มไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

ทุกวันนี้เหล่ากุนซือชื่อดัง ต่างเดินรอยตามกันมาทำงานในแดนผู้ดีกันแบบไม่ว่างเว้น เป็นเหมือนเวทีสำหรับยกระดับตัวเองไปอีกขั้นว่า มีฝีมือดีพอที่จะเจอกับบททดสอบเขี้ยวๆ ต้องดวลกับคู่แข่งที่เป็นงานหินทุกสัปดาห์ ไม่มีทีมที่เป็นหมูในอวยให้เชือดเก็บแต้มง่ายๆ ตำแหน่งงานแทบแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากพลาดทำแต้มหล่นแบบติดๆ กันหลายเกม โอกาสจะโดนเชือดออกจากทีมเป็นไปได้ทุกนาที ตัวเลือกที่มีอยู่ในตลาดเทรนเนอร์ทุกวันนี้ มีให้เลือกกันแบบล้นมือ ขึ้นอยู่กับว่าปรัชญาของการทำทีมเจ้าไหน? จะไปในทิศทางเดียวกันกับการบริหารสโมสร

บทความนี้ พร้อมนำเสนอคอนเทนต์เกี่ยวกับ ค่าเฉลี่ยการเก็บแต้มต่อเกมของ 10 กุนซือฝีมือดีในลีกสูงสุดแดนผู้ดี ซึ่งจะขอแบ่งเป็นสองตอน เพื่อความการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเช่นเคย เรียงกันตามจำนวนแต้มมากน้อยไล่เรียงกันไป โดยในตอนเปิดหัวนี้จะเป็นการเรียกน้ำย่อยในอันดับ 10-6 กันไปก่อน การันตีเลยว่า ตัวเลือกที่ติดโผเข้ามา มีทั้งชื่อของเทรนเนอร์ที่เป็นตัวเซอร์ไพรส์ และ ชื่อของกุนซือมือดีแต่ไม่ค่อยได้รับการยกย่องมากนัก มาลุ้นกันไปพร้อมๆ กันเลยว่า หัวเรือจากทีมไหนจะติดโผเข้ามาบ้าง? ค่าเฉลี่ยการเก็บแต้มต่อเกมอยู่ที่เท่าใด?

เริ่มต้นกันที่อันดับ 10 เป็นกุนซือหน้าใหม่ ที่ย้ายมาลองของกับลีกแดนผู้ดีเพียงแค่ราวสองซีซั่นแต่ทำผลงานได้ค่อนข้างเข้าตาเลยทีเดียว ในการคุมทัพ คริสตัล พาเลซ นั่นก็คือ ปาทริก วิเอย์ร่า ผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส ที่มีค่าเฉลี่ยแต้มต่อเกมอยู่ที่ราว 1.26 อยู่ระดับที่สูงกว่าผลเสมอที่ได้หนึ่งแต้มต่อเกม เอียงไปในทิศทางที่มีโอกาสเก็บชัยได้

การคุมทีมของ วิเอย์ร่า มีจุดเด่นอยู่ที่การกระตุ้นความเป็นนักสู้ของลูกทีมออกมาได้เกินร้อย พัฒนาทั้งเกมรับและเกมรุกของ ปราสาทเรือนแก้ว ให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ด้วยศักยภาพของทีมที่จำกัด เลยไม่สามารถยกระดับทีมได้รวดเร็วถึงขนาดไปลุ้นพื้นที่บอลยุโรป ต้องมาดูกันว่าปีต่อไป เจ้าปั๊ต จะรักษามาตรฐานได้หรือไม่?

ต่อกันที่อันดับ 9 เป็นกุนซือสัญชาติสก็อตแลนด์ ที่มักจะถูกเนิร์ฟฝีมืออยู่เป็นประจำ เพิ่งจะมาได้รับการยอมรับมากขึ้นในวงการ หลังพัฒนาให้ทีมอย่าง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กลายเป็นขาประจำในการลุ้นพื้นที่บอลยุโรปได้อย่างเต็มตัว นั่นก็คือ เดวิด มอยส์ เจ้าของฉายา เดอะ จีเนียส ที่ดึงศักยภาพของดาวเตะหลายคนให้พุ่งสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างรวดเร็ว

มีแนวทางการเล่นที่ชัดเจน เน้นการเล่นเกมรับที่เขี้ยว อาศัยความหนักแน่นในแดนกลาง ไม่ปล่อยให้คู่แข่งเล่นง่าย ฉวยโอกาสได้เก่งในจังหวะทำประตู มีทีเด็ดทีขาดในพื้นที่สุดท้าย มอยส์ สร้างชื่อตั้งแต่สมัยที่คุมทีม เอฟเวอร์ตัน ต่อยอดมาจนถึงยุคล่าสุดที่ ขุนค้อน อัตราเฉลี่ย 1.34 แต้มต่อเกม นับว่าเป็นผลงานที่ไม่ธรรมดา

ถัดมาที่อันดับที่ 8 เป็นกุนซือสัญชาติโปรตุเกส ที่ลองของย้ายมารับงานในแดนผู้ดีปีที่สอง แล้วผลงานปีแรกอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเลยทีเดียว นั่นก็คือ บรูโน่ ลาจ อดีตเทรนเนอร์มากฝีมือจากสโมสร วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ซึ่งตอนแรกเกือบไม่ได้อยู่ยาว เนื่องจากพาทัพ หมาป่า ออกตัวช่วงต้นซีซั่นก่อนได้ไม่ดีนัก

อย่างไรก็ตามพอจับจุดการวางแทคติกส์ที่เหมาะสม ใช้งานผู้เล่นตัวหลักได้เหมาะสมตามบทบาท ก็เปลี่ยนให้ทีมของเขากลายเป็นบอลเหนียวเคี้ยวยาก เน้นเกมรับสุดเขี้ยว มีจังหวะสวนแบบคมๆ อัตราเฉลี่ยได้ 1.36 แต้มต่อเกม แต่แล้วบอลเกมรับก็ไม่พ้นโดนปลด เมื่อยันไว้ไม่อยู่แล้วเสียประตู เลยทำให้เขากระเด็นออกจากตำแหน่งไปเรียบร้อยแล้ว

เข้าสู่อันดับที่ 7 กันที่ กุนซือหนุ่มชาวอังกฤษ ที่เส้นทางการคุมทีมของเขาขึ้นๆ ลงๆ ไม่ต่างกับรถไฟเหาะ เริ่มต้นจากการคุม ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ก่อนจะขยับมารับงานยากกับ เชลซี แต่ต้องแยกทางกันไปเพราะประสบการณ์ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด นั้นยังไม่เก๋าเกมพอ ไม่สามารถปรับแต่งแทคติกส์ให้มีความหลากหลาย ทนแรงกดดันจากรอบด้านไม่ไหว

สุดท้ายผลงานของ สิงโตน้ำเงินคราม ดร็อปลง แล้วพอยิ่งไปเจอผลงานของโค้ชใหม่กลบจนมิด ส่งผลให้ แลมพ์ ต้องว่างงานไปนานเลยทีเดียว สัมภาษณ์งานไปหลายทีมแต่ไม่ถูกเลือก

จนกลายเป็นทาง เอฟเวอร์ตัน ที่ลองของดึงตัวเขามายังถิ่น กูดิสัน ปาร์ค แต่ทำได้แค่พาทีมรอดตกชั้นแบบเฉียดฉิว อัตราเฉลี่การเก็บแต้มได้ระดับ 1.5 คะแนนต่อเกม นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวทีเดียว ต้องมาดูกันว่าซีซั่นที่สอง ที่ได้รับการสนับสนุนด้วยการเสริมทัพเต็มที่ แลมพ์ จะพาทีมไปได้ไกลแค่ไหน?

ปิดท้ายสกู๊ปนี้กันที่อันดับที่ 6 เป็นกุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ ที่ได้รับการยอมรับเรื่องฝีมือมาอย่างยาวนาน นั่นก็คือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่โด่งดังตั้งแต่สมัยคุม สวอนซี ซิตี้ ก่อนยกระดับตัวเองไปรับงานคุมของยากอย่าง ลิเวอร์พูล แล้วพาทีมไปไกลถึงตำแหน่งรองแชมป์ น่าเสียดายที่ข้อเสียของเขายังคงแก้ไม่หาย ประเด็นของการธาตุไฟแตกง่าย

เวลาเจอกับความกดดันเมื่อฟอร์มไม่ดี มักจะต่อเนื่องเป็นช่วงๆ กินระยะเวลายาว กว่าจะแก้ไขให้เข้าที่เข้าทางได้ แทบจะสายเกินไปทุกครั้ง ตำแหน่งงานของเขากับ เลสเตอร์ ซิตี้ ถือว่ามีความมั่นคงอยู่พอควร แม้ว่าจะมีข่าวกับทีมใหญ่ๆ อยู่เป็นนิจก็ตาม ผลงานระดับแต้มเฉลี่ย 1.67 ต่อหนึ่งเกม ชื่อของเขาคงไม่มีทางถูกมองข้ามง่ายๆ อยู่แล้ว

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้