ต่อเนื่องจากตอนที่แล้วในคอนเทนต์ 12 ผู้เล่นที่ได้รับโอกาสให้เดบิวต์ตัวเองในทีมชุดใหญ่ ภายใต้การทำทีมของ เจอร์เก้นน์ คล็อปป์ แฟนๆ คงได้เห็นกันไปแล้วว่า ต่อให้มีผู้จัดการทีมที่มีฝีมือมากขนาดไหน ก็ไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาบางอย่างที่ต้องเผชิญได้ ผู้เล่นหลายรายที่มีพรสวรรค์สูง เริ่มต้นอาชีพได้อย่างน่าจับตามอง หากเจอจุดเปลี่ยนของชีวิต ด้วยการประสบปัญหาอาการบาดเจ็บหนักครั้งเดียว กราฟเส้นทางอาชีพของพวกเขา จากที่กำลังจะพุ่งขึ้นไปถึงจุดสุดยอด มีสิทธิ์ต้องหยุดชะงักแล้วดิ่ลงในทางตรงกันข้ามได้ทันที
แน่นอนว่า คล็อปป์ เป็นกุนซือที่มีฝีมือในการคุมทีมชั้นเซียน มีการวางแทคติกส์ที่ล้ำลึก แก้เกมเก่ง สร้างชื่อในการปั้นผู้เล่นมาแล้วมากมาย แต่ถ้าต้องมาทำทีมในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดเต็มไปหมด ใช่ว่าความสำเร็จจะพุ่งเข้ามาหาสโมสรที่เขารับงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะตัวของผู้จัดการทีมทุกคน ต้องการเวลาในการวางรากฐานที่แตกต่างกันออกไป แถมต้องได้รับความไว้วางใจจากบอร์ดบริหาร ให้มีอำนาจในการตัดสินใจทุกเรื่องเต็มที่ ไม่ใช่เพียงแค่ทำท่าเป็นดีผ่านหน้าสื่อต่างๆ แล้วลับหลังคอยจ้องจะแทง ริดลอนสิทธิจนทำอะไรไม่ถนัด
บทความนี้ พร้อมนำเสนอสกู๊ปต่อเนื่องในคอนเทนต์ตัวเดิมเป็นการปิดท้าย ซึ่งจะเหลือรายชื่อของผู้เล่นทั้งหมดอีก 6 รายด้วยกัน คละเคล้ากันไปหลายตำแหน่ง ไม่ได้มีการเรียงลำดับจากผลงาน หรือ ฝีเท้าของแต่ละคนแต่อย่างใด โดยจะทำให้เห็นกันชัดๆ ว่า เทรนเนอร์ที่ดีหากจัดการทรัพยากรที่มีในมืออย่างเหมาะสม ก็สามารถพาทีมไปประสบความสำเร็จได้ แต่ใช่ว่านักเตะทุกคนที่ได้รับโอกาส จะผ่านเกณฑ์เสมอไป หากฝีเท้าไม่ใช่จริงๆ ก็ถึงจุดที่ควรจะพอและยอมรับ มาดูกันไปพร้อมๆ กันเลยว่า จะมีดาวเตะคนใดติดโผเข้ามาบ้าง? แล้วบทสรุปส่งท้ายพวกเขาลงเอยเช่นไร?
เริ่มต้นกันที่รายแรก เป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังอย่าง มาเรียน ซาร์ เคสของเขาคล้ายคลึงกับ ดาเมี่ยน เลอ ตัลเล็ค ที่ทาง คล็อปป์ ไปดึงตัวมาจากอะคาเดมี่ คราวนี้เป็นทาง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ที่โดนฉกตัวไป เกมแรกในนัดเดบิวต์ของ ซาร์ เป็นศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เอาชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย ไปได้ โดยในเวลานั้นอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น เหมือนว่าอนาคตจะสดใส แต่หลังจากนั้น ซาร์ กลับได้ลงเล่นในทีมชุดดใหญ่รวมไปแค่สามเกมเท่านั้น แล้วก็ย้ายลงไปเล่นในลีกที่ต่ำลงเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง เช่น คาร์ลไซส์ เยน่า และ บอนเนอร์ เอสซี แต่ฟอร์มกลับไม่เอาอ่าว ตามที่แฟนบอลเคยพูดถึงในเว็บบอร์ดต่างประเทศ ขณะที่ทีมของ ซาร์ นำอยู่ 1-0 แต่พอส่งเขาลงมาไม่นาน กลับทำเข้าประตูตัวเองสองลูกติด จนทำให้ทีมพ่ายแพ้ไปแบบน่าเสียดายสุดๆ
ต่อกันที่รายที่สองเป็นผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คซ้าย มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่เป็นนักเตะเยาวชนของ ไมนซ์ 05 แล้วเลือกที่จะไม่ต่อสัญญาออกไป เพื่อย้ายมาเล่นให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ของ คล็อปป์ นั่นก็คือ เอริก ดวร์ม ซึ่งนับตั้งแต่ย้ายมาได้เล่นให้กับทีมไปถึง 91 นัดเลยทีเดียว มีชื่อติดทีมชาติเยอรมันไปลุยศึกฟุตบอลโลกในปี 2014 ความเป็นจริงแล้ว ดวร์ม นั้นเคยเล่นในตำแหน่งกองหน้าหมายเลข 9 มาก่อน แต่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมาเป็นกองหลัง เมื่อตอนอายุได้ 14 ปี ปัจจุบันเขาย้ายไปเล่นให้กับ ไกเซอร์สเลาเทิรืน ในศึกบุนเดสลีก้า 2 นับว่าเป้นช่วงขาลงแล้ว
ถัดมาที่รายที่สาม เป็นผู้เล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ค มีเส้นทางการค้าแข้งคล้ายๆ กับ ดวร์ม เพราะเคยเล่นในตำแหน่งกองหน้ามาก่อน นั่นก็คือ โคราย กึนเทอร์ ที่เคยลงเล่นให้กับ ดอร์ทมุนด์ ในช่วงฤดูกาล 2013/14 แล้วได้ลงสนามไปเพียงแค่นัดเดียวเท่านั้น ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ กาลาตาซาราย ในปี 2014 ด้วยราคาค่าตัวเพียงแค่ 2.5 ล้านยูโร แต่ดันโชคร้ายไปเจ็บหนักที่เอ็นไขว้หน้า ฟอร์มเลยหายไปช่วงหนึ่ง อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ คล็อปป์ ในอดีตช่วงที่ เนเว่น ซูโบติช บาดเจ็บ สาเหตุที่เขาไม่ยอมซื้อตัวใหม่เพราะมี กึนเทอร์ สแตนด์บายอยู่นั่นเอง
ต่อเนื่องกันที่รายที่ 4 เป็นกองหน้าเท้าระเบิด ที่ทำผลงานได้อย่างน่าจับตามองสุดๆ กับทีมเยาวชนของ ดอร์ทมุนด์ จนได้รับโอกาสให้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ นั้นก็คือ มาร์วิน ดัคซช์ ที่เปิดตัวในเกมเเดบิวต์ ด้วยการยิงประตูได้ทันทีในศึก เดเอฟเบ โพคาล ในปี 2013 ในเกมที่พบกับ เอสวี วิลเฮล์มชาเว่น แต่หลังจากนั้นได้ลงเล่นไปเพียงแค่ 7 เกมให้กับทีมเท่านั้น อย่างไรก็ตามการย้ายไปเล่นให้กับ ฮันโนเวอร์ และ แวร์เดอร์ เบรเมน ในลีกรองแดนไส้กรอก เขายิงกระจายไปถึง 35 ประตู น่าเสียดายเป็นอย่างมาก ที่การย้ายไปอยู่กับ ซังค์ เปาลี กลับไม่ปังดังคาด เพราะเทรนเนอร์อย่าง เอวัลด์ ลีเน่น ไม่มีคู่มือการใช้งาน
เข้าสู่รายรองสุดท้ายกันที่ เยเรมี่ ดุดเซียค เป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองกลาง ที่ได้ลงประเดิมสนามก่อนที่ คล็อปป์ จะประกาศอำลาทีมเพียงแค่เดือนเดียว ผลงานของเขาเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ ไม่มีอะไรให้จดดจำมากนัก เพราะต้องยอมรับว่าช่วงนั้นฟอร์มของ เสือเหลือง ออกไปในแนวไม่เอาอ่าว พร้อมแพ้ได้ทุกทีม ราวกับเป็นยุคที่นักเตะเริ่มหมดไฟ หลังจบซีซั่นแรกของ ดุดเซียค กับ ดอร์ทมุนด์ เขาเลือกที่จะย้ายไปอยู่กับ ซังค์ เปาลี เพื่อโอกาสในการลงสนาม แต่ก็ดันไปสร้างชื่อด้วยการย้ายข้ามฟากไปอยู่กับคู่อริอย่าง ฮัมบูร์ก ในปี 2019 ซึ่งสโมสรล่าสุดของ ดุดเซียค คือ กรอยเธอร์ เฟือร์ธ ตัวเต็งเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดปีหน้า
ปิดท้ายกันที่ผู้เล่นที่ย้ายมาอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ แบบงงๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องของการตลาดหรือไม่? เพราะทาง มิตซึรุ มารุโอกะ ดาวรุ่งสัญชาติญี่ปุ่น ยังไม่เคยลงสนามให้กับต้นสังกัดอย่าง เซเรโซ โอซาก้า ในทีมชุดใหญ่แม้แต่เกมเดียว ก่อนย้ายมาเล่นในเยอรมันด้วยสัญญายืมตัวยาว 1 ปีครึ่ง อย่างไรก็ตาม มารุโอกะ ได้รับโอกาสให้สัมผัสเกมในแดนไส้กรอกไปเพียงแค่นัดเดียว แถมยังลงมาเป็นตัวสำรองได้เล่นไปเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นเอง ในเกมที่พ่ายให้กับ ไมนซ์ 05 หลังจากนั้นก็พเนจรไปเรื่อยแบบไม่มีขาขึ้นอีกเลย ปัจจุบัน มารุโอกะ ย้ายไปเล่นในลีกประเทศอินโดนีเซียกับ รันส์ นูซานตูร่า