ความแตกต่างแทคติกส์ “เป๊ป” หลังคุมสามยักษ์ใหญ่…ตอนที่ 3 “แมนเชสเตอร์ ซิตี้”

เมื่อสร้างชื่อจากลีกเมืองเบียร์เรียบร้อยแล้ว…เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็มุ่งสู่เป้าหมายที่ท้าทายลำดับถัดมา คือการรับงานคุมทัพ “เรือใบสีฟ้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งทรัพยากรเรื่องนักเตะในตอนแรกนั้นอาจยังไม่พร้อมสมบูรณ์มากนัก แต่เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาของสโมสรนี้!!! เมื่องบมีให้ไม่อั้นทำให้กุนซือชาวสเปนสามารถเลือกช็อปนักเตะที่เข้ากับแผนการทำทีมได้อย่างไม่มีข้อจำกัดจนนำมาสู่แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2017/2018 ที่เก็บไปได้ถึง 100 แต้มสูงสุดเป็นประวัติกาลจวบจนทุกวันนี้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : ระบบการเล่น 4-3-3

ผังตัวผู้เล่นในฤดูก่าล 2017/2018 ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

การมาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยขุมกำลังที่มีอยู่ในขณะนั้น เป๊ป เลือกที่จะใช้แผน 4-3-3 ซึ่งคล้ายคลึงกับตอนยุคแรกที่เขาคุมทัพ บาร์เซโลน่า จากผังผู้เล่นดังกล่าวจะเห็นได้ว่าผู้เล่นแดนบนที่เป็นตัวรุก 5 คน ล้วนมีฝีเท้าที่อันตรายทั้งนั้นเหมือนเป็นการเอาส่วนผสมที่ลงตัวของสองทีมที่เขาเคยคุมก่อนหน้านี้มารวมกัน แต่ละคนต่างมีความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมในเรื่องของทักษะการครองบอล และเลี้ยงบอล…ขออนุญาติเริ่มกันที่ตำแหน่งผู้รักษาประตูที่มี เอแดร์สัน ที่โดดเด่นเรื่องปฏิกิริยาการเซฟประตูที่ว่องไว และเล่นบอลกับเท้าได้ดี แบ็คขวาเลือกใช้ ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่มีสปีดจัดจ้านรวมไปถึงพละกำลังเหลือล้น ส่วนแบ็คซ้ายเลือกใช้ ฟาเบียน เดลฟ์ ที่ถูกปรับแต่งพันธุกรรมจากองกลางมายืนริมเส้นเป็นการชั่วคราว เซนเตอร์ตัวกลางเป็นการจับคู่กันของ แว็งซองต์ กอมปานี ที่มีประสบการณ์สูงไว้ใจได้ บวกกับ จอห์น สโตนส์ หรือ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ที่ความเร็วไว้ใจได้ทั้งคู่ ในตำแหน่งกองกลางตัวรับเป็นสัมปะทานของ แฟร์นันดินโญ่ ที่ทำหน้าที่รุก/รับ ได้อย่างสมดุลย์ กองกลางตัวรุกสองคนเป็น ดาบิด ซิลบา ที่เซ้นส์บอลนั้นเหลือกินเหลือใช้ กับ เควิน เดอ บรอยน์ ที่เป็นหนึ่งในเพลย์เมคเกอร์ที่ดีที่สุดในขณะนี้ ปีกขวาเป็น แบร์นาโด้ ซิลวา หรือ เลรอย ซาเน่ และ ปีกซ้ายเป็น ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ซึ่งปีกทั้งสองฝั่งสามารถสลับฝั่งการเล่นได้อยู่ตลอด และแน่นอนว่ากองหน้าตัวเป้าต้องเป็น เซร์คิโอ อเกวโร่ ถ้าไม่มีปัญหาบาดเจ็บรบกวนลงเล่นในฐานะดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีม โดยมีตัวสำรองที่น่ากลัวไม่แพ้กันอย่าง กาเบรียล เฆซุส รอโอกาสเสียบตำแหน่งอยู่ตลอด

การเซตตำแหน่งขึ้นเกม

จากการปรับเปลี่ยนกฏการเตะจากผู้รักษาประตูในฤดูกาลล่าสุดทำให้ผู้เล่นฝั่งตัวเอง สามารถเข้าไปรับบอลในกรอบ 18 หลาได้ เป๊ป จึงเลือกขึ้นเกมจากแดนหลังเช่นนี้ ซึ่งถ้าย้อนไปในฤดูกาล 2017/2018 ตำแหน่งการรับบอลของ กอมปานี จะเปลี่ยนไปแค่อยู่นอกกรอบเขตโทษเท่านั้นเอง โดยมีการให้ แฟร์นันดินโญ่ ถอยต่ำลงมาแทนที่ตรงตำแหน่งเซนเตอร์ รวมไปถึง ซิลบา และ เดอ บรอยน์ ก็จะถอยลงมาคุมพื้นที่ในแดนกลาง แต่ปีกสองข้างอย่าง ซิลวา และ สเตอร์ลิ่ง จะดันสูงขึ้นไป ซึ่งการขึ้นเกมแบบนี้เหมาะที่จะใช้ในลีกอังกฤษเพราะว่าช่วงหลังมาทุกทีมมักเน้นการวิ่งเพรสกดดันตั้งแต่แดนบน ถ้าหากเซตเกมแบบนี้ฝั่งตรงข้ามต้องใช้ผู้เล่นดันสูงขึ้นมากดดันไม่ต่ำกว่า 4 คนเพื่อปิดพื้นที่รอบๆ ดังนั้นการที่ ซิตี้ มีผู้รักษาประตูที่เปิดบอลได้อย่างแม่นยำอย่าง เอแดร์สัน ทำให้สามารถเลือกเปิดบอลยาวไปพื้นที่ว่างตรงแดนกลาง หรือ ทิ้งบอลให้ปีกที่มีความเร็วจัดทั้งสองฝั่งก็ได้เช่นกัน

การเคลื่อนบอลทำเกมบุก

การเคลื่อนเกมบุกของ ซิตี้ นั้นเริ่มจากการถ่ายบอลไปให้ กอมปานี พาบอลดันขึ้นไป ก่อนฝากไปที่ แฟร์นันดินโญ่ ที่เป็นตัวกำหนดจังหวะการทำเกมรุกเซตนั้นๆ ฟูลแบ็คสองฝั่งจะขยับขึ้นไปยืนไลน์เดียวกับกองกลางตัวรับ ซิลบา กับ เดอ บรอยน์ ขยับกลับไปตำแหน่งเดิม ส่วนปีกทั้งสองฝั่งเตรียมหาพื้นที่ว่างโจมตีในแดนบน คล้ายคลึงกับการขึ้นเกมของ บาเยิร์น มิวนิค ระบบการเคลื่อนบอลแบบนี้ทำให้แดนกลางมีผู้เล่นอยู่ถึง 5 คน ส่งผลให้คุมพื้นที่เป็นโซนจ่ายบอลระยะสั้นได้ง่าย และเสียบอลยากมาก ซึ่งหน้าที่ของ อเกวโร่ คือการวิ่งล่อคู่แข่งให้หลุดตำแหน่งในแนวรับ

การเคลื่อนที่เข้าทำประตู

จังหวะขึงทำเกมรุกของ ซิตี้ จะมีการปรับตำแหน่งการยืนต่างๆ โดยถอยเอา วอล์คเกอร์ ลงมายืนเป็นเซนเตอร์ฝั่งขวา และดันเอา เดลฟ์ ขึ้นไปยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางคู่กับ แฟร์นันดินโญ่ ทางด้าน ซิลบา และ เดอ บรอยน์ ก็จะดันสูงแล้วถ่างออกไปยืนใกล้กับปีกทั้งสองฝั่งเพื่อถ่างโซนแนวรับของคู่ต่อสู่ให้เปิดกว้างขึ้น ต่อให้อยู่ในจังหวะที่บอลนั้นคับขันในแดนบนก็จะมีตัวรองคอยช่วยอย่าง เดลฟ์ และ แฟร์นันดินโญ่ อยู่ด้านหลังทำให้ไม่ต้องพะวงในเกมรับเลยบุกได้แบบเต็มตัว บางจังหวะที่คู่แข่งดันเอามิดฟิลด์ขึ้นมากดดัน เดลฟ์ หรือ แฟร์นันดินโญ่ ทางด้าน เดอ บรอยน์ ก็จะสามารถถอยลงมาล้วงบอลต่ำเชื่อมเกมได้เช่นกัน โดยจะทิ้งให้ ซิลบา เป็นตัวสร้างสรรค์เกมแดนบนคนเดียวเพราะสภาพร่างกายนั้นอายุมากแล้วไม่เหมาะที่ต้องวิ่งเยอะ…ระบบการยืนแบบนี้เสียบอลค่อนข้างยากเอามากๆ อาจเป็นเพราะตัวผู้เล่นของ ซิตี้ มีความสามารถเฉพาะตัวสูงครองบอลอยู่กับตัวได้อย่างเหนียวแน่น และต่อให้เสียบอล เดลฟ์ กับ แฟร์นันดินโญ่ ที่โดดเด่นเรื่องการตัดบอลก็คอยสกรีนก่อนถึงกองหลังอยู่แล้วหนึ่งด่าน…ในฤดูกาล 2017/2018 ซิตี้ ยิงประตูได้ถึง 106 ลูกเลยทีเดียว

ทางเลือกในการทำประตู

ทางเลือกแรก คือ เวลาโหมบุกทางฝั่งซ้าย หรือขวา (จากรูปขออธิบายเป็นฝั่งซ้าย) เมื่อทาง ซิลบา ได้บอลจะครองบอลขยับขึ้นไปกินพื้นที่รอจังหวะให้ สเตอร์ลิ่ง วิ่งตัดหลังแนวรับ ส่วนทาง อเกวโร่ จะถอยต่ำลงมาอยู่ระยะ 18 หลาดึงให้ตัวประกบวิ่งตามจนหลุดตำแหน่ง ซิลวา จะวิ่งไปเสียบแทนตำแหน่งหน้าเป้า ซึ่งพอ ซิลบา แทงบอลทะลุช่องเข้าพื้นที่อันตราย สเตอร์ริ่ง มีทางเลือกได้ทั้งยิงเอง หรือเปิดให้เพื่อนเข้าชาร์จตรงกลางก็ได้ทั้งนั้น

ทางเลือกที่สองคล้ายคลึงกับจังหวะแรกแต่จะเติมทางเลือกในการจบสกอร์มากขึ้น เมื่อทาง ซิลบา แทงทะลุให้ สเตอร์ลิ่ง แล้วทาง อเกวโร่ จะวิ่งเข้ารอจังหวะเข้าชาร์จตรงกลาง โดยมี ซิลบา เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เสาสอง และมี เดอ บรอยน์ หุบเข้ามารอยิงไกลตรงกรอบเขตโทษ ทำให้ สเตอร์ลิ่ง สามารถยิงเองก็ได้, เปิดไปตรงกลาง หรือเสาสอง หรือหักย้อนหลังให้ เดอ บรอยน์ เป็นคนจบสกอร์

การโจมตีแบบฉวยโอกาส

จากจังหวะโจมตีแบบเร็ว ซิลวา จะถ่างออกไปชิดริมเส้นฝั่งขวาเพื่อรับบอล และครองบอลรอจังหวะให้ฝั่งตรงข้ามเข้ามารุมกดดัน จนเปิดพื้นที่ให้ เดอ บรอยน์ ว่างมีทั้งพื้นที่ และเวลา โดยที่ สเตอร์ลิ่ง และ อเกวโร่ เตรียมวิ่งเข้าตำแหน่งจบสกอร์ ซิลวา จะคืนบอลมาให้ เดอ บรอยน์ โยนบอลเข้าเขตโทษที่มี อเกวโร่ กับ สเตอร์ลิ่ง เป็นเป้าหมายในการทำประตู

เกมรับแบบการยืนคุมโซน

ซิตี้ เป็นทีมที่น้อยครั้งนักจะโดนขึงเกมรุกใส่แทบนับครั้งได้ ทำให้ เป๊ป เลือกที่จะดันแนวรับขึ้นมายืนคุมโซนสูงกว่าทีมอื่นๆ เห็นได้จากภาพว่าการถ่าง ซิลบา และ เดอ บรอยน์ ออกไปด้านข้างมากขึ้นจะทำให้คุมพื้นที่ได้ทั้งด้านข้าง และตรงกลางที่มี เดลฟ์ และ แฟร์นันดินโญ่ คอยสกรีนก่อนถึงกองหลัง ส่วนทาง วอล์คเกอร์ ที่โดดเด่นในเรื่องของความฟิตก็สามารถดักเก็บจังหวะทิ้งยาวได้สบายๆ เพราะสปีดต้นไม่เป็นรองแนวรุกทีมอื่นสักเท่าไหร่ เช่นเดียวกับทาง กอมปานี ที่ถ้าสภาพร่างกายสมบูรณ์เต็มร้อยก็พร้อมวัดกับแนวรุกได้ทุกทีมเช่นกัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการยืนตำแหน่งแบบนี้ทำให้ ซิตี้ ใช้พื้นที่สนามได้คุ้มค่า และคุมพื้นที่เกมรับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหาช่องเจาะได้ยากมากๆ ส่งผลให้เสียไปเพียงแค่ 27 ประตูเท่านั้นในฤดูกาล 2017/2018

คลิปอ้างอิงระบบการเล่นของ เป๊ป ทั้งสามทีมที่คุม

อ่านตอนแรกได้ที่นี่ครับ : ความแตกต่างแทคติกส์ “เป๊ป” หลังคุมสามยักษ์ใหญ่…ตอนที่ 1 “บาร์เซโลน่า”

อ่านตอนสองคลิกเลยครับ : ความแตกต่างแทคติกส์ “เป๊ป” หลังคุมสามยักษ์ใหญ่…ตอนที่ 2 “บาเยิร์น มิวนิค”


ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : Youtube ช่อง Football Made Simple

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top