เดยัน ลอฟเรน นักเตะผู้เปลี่ยนคำวิจารณ์ให้เป็นแรงกระตุ้น

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้กลายเป็นทีมแรกในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของ Black Lives Matter ที่ตอบโต้การเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายชาวอเมริกันผิวดำ วัย 46 ปี ที่เสียชีวิตขณะถูกตำรวจจับกุมตัวที่เมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตาประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา

เดยัน ลอฟเรน กองหลังทีมชาติโครเอเชีย ของ ลิเวอร์พูล แสดงความคิดเห็นว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงออกอันทรงพลังของต้นสังกัด “ผมรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องทำมัน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกานั้น ไม่สามารถยอมรับได้ เราทุกคนเท่าเทียมกัน เราต้องแบ่งปันทุกอย่างด้วยกันบนโลกใบนี้ และมันยอดเยี่ยมมากที่ทุกๆคนจะได้รับการสื่อสารนี้ออกไปจากเรา ผมคิดว่า ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน”

Photo : eplscouts.com

ทัศนคิตที่ดี

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ วัย 30 ปี เติบโตขึ้นมาในฐานะผู้ลี้ภัยหลังจากที่ครอบครัวของเขาต้องอพยพหนีสงครามแบ่งแยกดินแดนในประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งในเวลานั้น ลอฟเรน อายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น และในตอนนี้ เขาก็เข้าใจว่า ชีวิตของเพื่อนร่วมโลกมีความสำคัญที่สุด

“มันไม่เพียงแต่เกี่ยวกับฟอร์มการเล่นในสนาม และการทำประตูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมคิดว่า ในฐานะนักฟุตบอล คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเชิงบวกต่อสังคมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณมีคนนับล้านที่ติดตามคุณผ่านทางโซเชียลมีเดีย”

“ผมอยากได้การยอมรับว่า เป็นคนที่กระจายความรัก และความคิดเชิงบวกของตัวเองออกไป ผมมองตัวเอง และเหมือนกับว่า มันเป็นมีหน้าที่ที่ผมต้องทำ บางครั้งมันเป็นแง่บวก และครั้งก็อาจเป็นแง่ลบ แต่ผมจะไม่หยุด”

“มันไม่เกี่ยวกับการแสดงสิ่งที่คุณมี หรืออะไรทำนองนั้น มันเกี่ยวกับการทำสิ่งดีๆรอบโลก ผมรู้ว่าเมื่อคุณทำอะไรออกไปบางคนจะตัดสินคุณ และพูดว่า นายยังคงยึดติดกับฟุตบอลหรืออะไรทำนองนั้น แต่ผมไม่เห็นด้วยเลย”

“เราทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน และเราทุกคนมีความสนใจในสิ่งอื่นๆแตกต่างกันไป แน่นอนว่า โฟกัสหลักของผมคือ ฟุตบอล แต่ถ้าคุณสามารถพูดสิ่งที่เป็นบวก และผลักดันให้คนอื่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่แตกต่างออกไปเพื่อช่วยเหลือผู้ด้วยอื่นนั้น มันจะยอดเยี่ยมมาก ผมอยากบอกว่า เหากราทุกคนเท่าเทียมกันแล้วสิ่งที่ดีจะตามมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติแบบนี้” กองหลัง “หงส์แดง” กล่าว

เมื่อเราได้ฟังจากทัศนคติของ ลอฟเรน มันก็ง่ายที่จะเข้าใจว่า เขากลายเป็นคนสำคัญในห้องแต่งตัวของ ลิเวอร์พูล ได้อย่างไร ดาวเตะโครแอต เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่อยู่กับสโมสรมาอย่างยาวนานหลังย้ายมาจาก เซาแธมป์ตัน ในปี 2014

Photo : givemesport.com

บททดสอบครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ลอฟเรน แทบจะไม่ได้ลงสนามในฐานะ 11 คนแรกให้กับ ลิเวอร์พูล มากนัก หลังจากที่ “หงส์แดง” เซ็นสัญญากับ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ มาจาก เซาแธมป์ตัน ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ในปี 2018 และดาวรุ่งอย่าง โจ โกเมซ ก็แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว

ลอฟเรน กล่าวต่อว่า “มันเป็นบททดสอบสำหรับผม แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ผมคิดว่า คุณควรมีส่วนร่วมทีมมากยิ่งขึ้นเพื่อแสดงคุณภาพของคุณ แม้ว่าคุณจะไม่ได้อยู่ในสนามทีมตัวจริงก็ตาม และวันรุ่งขึ้นในการฝึกซ้อมคุณควรทำทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อเคารพทีมเพื่อนร่วมทีมของคุณทุกคน”

“แน่นอนว่ามันไม่ใช่ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดเมื่อผมเห็นตัวเองอยู่บนม้านั่งสำรอง แต่มันเป็นการตัดสินใจของผู้จัดการทีม ผมเคารพมัน และผมมักจะเป็นคนที่ทำงาน 200% อยู่เสมอ มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟุตบอล หากมีผู้เล่นตัวจริง 20 คนเล่นได้มันคงจะดี แต่ความจริงฟุตบอลเล่นได้เพียง 11 คนเท่านั้น หากใครทำผลงานได้ดีที่สุดก็สมควรได้ลงสนาม และนั่นก็ยุติธรรม”

มันเป็นทัศนคติที่น่าชื่นชมสำหรับผู้เล่นที่ต้องรับมือกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลอฟเรน คว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ กับ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2019 รวมทั้งยังพาทีมชาติโครเอเชีย เช้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกฟุตบอลโลกปี 2018 แต่ความผิดพลาดของเขาก็ยังทำให้โดนโจมตีอยู่เสมอ

photo : sportsmole.co.uk

อดทนต่อเสียงวิจารณ์

ลอฟเรน โดนโจมตีอย่างหนักอยู่เสมอ นับตั้งแต่เขาย้ายจาก ดินาโม ซาเกร็บ ในลีกบ้านเกิดมาเล่นกับ โอลิมปิก ลียง ในศึกลีก เอิง ฝรั่งเศส เมื่อปี 2010 และเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ก็ยังคงตามมาหลอกหลอนเขาที่แอนฟิลด์

ในเกมพรีเมียร์ลีกที่ ลิเวอร์พูล บุกไปพ่าย วัตฟอร์ด 3-0 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ลอฟเรน ก็โดนโจมตีอย่างหนักว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ “หงส์แดง” ต้องพ่ายแพ้ และนั่นต้องทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ต้องรีบออกมาปกป้องเขาทันที

อดีตปราการหลัง ลียง อธิบายต่อว่า “มันเป็นความจริงที่ชีวิตเราต้องเผชิญ ซึ่งบางครั้งมันก็ดี และบางครั้งมันก็เลวร้าย แต่คุณต้องมีสติอยู่กับตัวเองเสมอ คุณต้องรู้ว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่หลังเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น แต่การเล่นฟุตบอลในระดับนี้มันเป็นเรื่องปกติที่จะโดนวิจารณ์”

“พูดตามตรงผมไม่ใส่ใจมันมากนัก ผมรู้สึกว่า คำติชมมันต้องมาจากผู้จัดการทีมเป็นคนแรก แต่นักวิจารณ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือ ตัวผมเอง เพราผมจะรู้ได้ว่า ตัวเองทำผลงานได้ดีหรือไม่ดี ผมไม่ต้องการให้คนอื่นมาบอกผมว่า ผมเล่นเป็นอย่างไรบ้าง ผมไม่อ่านหนังสือพิมพ์ หรือฟังคำวิจารณ์ของกูรู”

“คำวิจารณ์มันนคือสิ่งที่อยู่คู่กับวงการฟุตบอลเสมอ เราต้องรับมือกับมันให้ได้ ผู้เล่นบางคนไม่สามารถทำได้ และพวกเขาก็จะเริ่มคิดมาก แต่สำหรับผมการยอมรับคำวิจารณ์มันทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอล และมันจะเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอลตลอดไป”

photo : goal.com

ชีวิตในรั้ว “หงส์แดง”

ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล พัฒนามาไกลมากนับตั้งแต่ ลอฟเรน ย้ายมายังแอนฟิลด์ ซึ่ง 2 ฤดูกาลแรกของเขานั้น “หงส์แดง” จบด้วยอันดับ 6 และ 8 ตามลำดับ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลัง คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2015

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติโครเอเชีย เล่าว่า “เมื่อผมย้ายมาสโมสรแห่งนี้ก็ยังคงยิ่งใหญ่อยู่เหมือนเดิม มันเป็นสโมสรลิเวอร์พูลที่ทุกคนรู้จัก แต่เราเล่นได้ไม่ดีนัก ผู้คนเห็นเราชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ในเกมถัดไปเราก็แพ้ให้กับทีมเล็ก มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะเมื่อคุณเป็นสโมสรใหญ่ทุกคนคาดหวังว่าคุณจะเล่นได้ดีในเกมเล็ก ๆ เช่นกัน”

ลอฟเรน ได้ปรับปรุง และเริ่มเปลี่ยนความคิดของตัวเอง เนื่องจาก คล็อปป์ พูดไว้กับลูกทีมทุกคนตั้งแต่เข้ามาทำงานในวันแรกว่า เขาอยากให้คุณคิดในแง่บวก และเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะถ้าไม่มีความเชื่อเราจะทำอะไรไม่สำเร็จเลย

คล็อปป์ ปลูกฝังสิ่งที่ ลอฟเรน เรียกว่า จิตใจอันแข็งแกร่งให้กับทีม ลิเวอร์พูล ชุดนี้ โดยดาวเตะโครแอต เล่าต่อว่า “เราไม่เคยหยุดพัฒนา แม้เมื่อเราเล่นอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดเขาก็จะเห็นว่า เราสามารถปรับปรุงได้ดีกว่านี้อีก เขามีภาพทุกอย่างอยู่ในหัว เขาคิดว่า เรามีจุดบกพร่อง 2-3 จุด เขาจึงซื้อ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ต่อจาก เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ และพวกเขาทั้ง 2 ก็ทำผลงานได้อย่างน่าอัศจรรย์”

ขณะเดียวกัน ลอฟเรน เห็นการเปลี่ยนแปลงของ ลิเวอร์พูล ไม่เพียงแต่ในสนาม และในห้องแต่งตัวเท่านั้น แต่มันยังขยับเข้าไปในทุกพื้นที่ของสโมสรอีกด้วย

อดีตกองหลัง เซาแธมป์ตัน อธิบายต่อว่า “เมื่อผมดูที่ภาพรวมทั้งหมดของสโมสรแห่งนี้ ผมรู้สึกว่า ว้าวมันเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเข้ากับผู้จัดการทีม, เจ้าของสโมสร, เพื่อนร่วมทีม และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทำงานให้กับสโมสรลิเวอร์พูลได้เป็นอย่างดี”

แม้มีช่วงเวลาที่ยากลำบากระหว่างเส้นทางอาชีพ แต่ ลอฟเรน ก็ยังมีช่วงเวลาที่น่าประทับใจเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมยูโรป้า ลีก รอบรองชนะเลิศ เมื่อปี 2016 ที่ ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ เอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปแบบสุดมันส์ 4-3 รวมทั้งบรรยากาศการคว้าถ้วยใบใหญ่ของยุโรปเมื่อฤดูกาลที่แล้วก็ยังอยู่ในความทรงจำของเขา

“มันเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด และผมก็สามารถพูดได้ว่า มันเป็นความฝันของเพื่อนร่วมทีมทุกคน และผู้จัดการทีม ในครั้งแรกที่เรามาถึงรอบชิงชนะเลิศเมื่อเราแพ้ เรอัล มาดริด คล็อปป์ บอกผมว่า อย่าร้องไห้ลองคิดดูสิว่า ผมรู้สึกอย่างไรหลังจากแพ้ 6 ครั้ง ในรอบชิงชนะเลิศ เขามักจะพูดว่า เราจะได้โอกาสอีกครั้ง และเราก็ทำได้จริงๆ” ลอฟเรน กล่าว

ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล กำลังจะขยับเข้าใกล้ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่พวกเขากำลังจะคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสรในรอบ 30 ปี ซึ่งพลพรรค “หงส์แดง” ต้องการอีกเพียง 6 คะแนนเท่านั้น จาก 9 เกมสุดท้ายที่เหลือของฤดูกาลนี้

Photo : thenational.ae

อนาคต

ในขณะที่ ลิเวอร์พูล และคล็อปป์ กำลังเดินหน้าสร้างทีมด้วยนักเตะสายเลือดใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ ลอฟเรน ซึ่งจะมีอายุครบ 31 ปี ในเดือนหน้านั้น เหลือสัญญากับ “หงส์แดง” อีกเพียงปีเดียวเท่านั้น และอนาคตของเขาในถิ่นแอนฟิลด์ก็ยังคงไม่แน่นอน

“การได้รับชัยชนะสำหรับผมเป็นเหมือนยาเสพติด เมื่อเราคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมแทบไม่ได้มีส่วนร่วมมากนัก แต่ผมรู้สึกมีความสุข และภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ แต่ในบางช่วงเวลาคุณคิดด้วยตัวคุณเองว่า คุณต้องการลงเล่น แม้มันไม่ใช่จุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อคุณไม่ได้ทำแบบนั้น แต่ผมมีความคิดที่มุ่งมั่นเพื่อลงสนามอยู่เสมอ”

“ผมพร้อมเสมอถ้ามีใครได้รับบาดเจ็บ และหลุดออจากทีม ผมพร้อมที่จะก้าวเข้ามา และแสดงคุณภาพของตัวเอง ผมคิดว่า ผมพิสูจน์แล้วว่า ฤดูกาลที่แล้วเมื่อ โจ โกเมซ หรือ โจเอล มาติป บาดเจ็บ ผมสามารถเข้ามาเล่นแทนได้

“เป้าหมายของผมคือ การลงเล่น และชนะถ้วยรางวัลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในตอนนี้โฟกัสแรกของผมคือ การชนะในอีก 2 เกมถัดไปเพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และจากนั้นเราจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น” ลอฟเรน กล่าวปิดท้าย

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top