ชัยชนะขาดลอยที่สุดตลอดกาลของรอบน็อคเอาท์รายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

การส่ง บาร์เซโลน่า ออกจากรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยฝีเท้าของ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบก่อนรองชนะเลิศปีนี้เป็นผลการแข่งขันที่น่าประหลาดใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามชัยชนะครั้งนี้ของทีมแชมป์บุนเดสลีกายังไม่สามารถทำลายสถิติชนะขาดสุดที่เคยเกิดขึ้นในเวทียุโรปลงได้

เมื่อมองจากส่วนร่วมของ บาเยิร์น มิวนิค ใน 8 เกมที่มีอยู่บนหน้าประวัติศาตร์ที่บันทึกเอาไว้ของรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อคเอาท์ บางทีเราอาจจะไม่แปลกใจนักที่พวกเขาทำลายทีมของยอดนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ แบบย่อยยับ และนี่เป็น 8 เกมที่โดนบันทึกไว้ว่าเกิดผลแพ้-ชนะมากที่สุดในรอบน็อคเอาท์ที่เคยเกิดขึ้นบนเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกที่ผ่านมา..


รอบ 16 ทีมสุดท้าย

บาเยิร์น มิวนิค 7 – 0 บาเซิ่ล (13 มีนาคม 2012)

บาเซิ่ล เดินทางไป บวาเรีย พร้อมความหวังจะสร้างค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์หลัง พวกเขาเป็นฝ่ายเก็บชัยชนะมาได้ 1-0 ในเกมเลกแรก และทีมดังจากสวิสก็ได้เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นจริงๆ แต่ไม่ได้เป็นดั่งที่พวกเขาหวัง

มาริโอ โกเมซ โชว์ฟอร์มร้อนแรงยากที่จะหาทางหยุดสังหารคนเดียวไปถึง 4 ประตู บวกกับ 2 ประตูของอาร์เยน ร็อบเบน และอีก 1 ประตูของ โธมัส มัลเลอร์ สร้างความเจ็บปวดแบบอธิบายไม่ได้ให้กับผู้มาเยือน

เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ถล่มใส่ ฮอฟเฟ่นไฮม์ 7 ประตูในบุนเดสลีกา ทัพเสือใต้ก็ได้สถิติชนะมากที่สุดในรอบน็อคเอาท์ด้วยด้วยสกอร์ 7-0

ตอนจบของเรื่องนี้ก็ไม่ได้แฮปปี้อย่างที่หวัง เสือร้ายแห่งเยอรมันฝ่าด่าน โอลิมปิก มาร์กเซย และ เรอัล มาดริด เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศที่จัดขึ้นที่สนามอัลลิอันซ์ อารีน่า รังเหย้าของพวกเขา แต่กลับพ่ายแพ้การดวลจุดโทษให้กับ เชลซี อย่างเจ็บปวด


บาเยิร์น มิวนิค 7 – 0 ชักตาร์ โดเน็ตส์ก (11 มีนาคม 2015)

เพียง 3 ปี หลังจากที่ บาเยิร์น มิวนิค สร้างสถิติขึ้นมาในเกมที่เปิดบ้านถล่ม บาเซิ่ล พวกเขาก็จัดการทำสถิติขึ้นมาอีกครั้ง

เกมในเลกแรกจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 ทำให้ เสือใต้ไม่มีทางเลือกต้องชนะเท่านั้น และฝันร้ายก็ได้เริ่มค้นขึ้นกับทีมจากยูเครนเมื่อ โอเล็กซานเดอร์ คูเชอร์ โดนใบแดงไล่ออกขาสนามขณะที่เริ่มการแข่งขันมาได้เพียง 3 นาที ทำให้นี้เป็นใบแดงที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก พร้อมเป็นการเปิดโอกาสให้ มุลเลอร์ ได้สังหารจุดโทษเข้าไปเป็นการเปิดบาดแผล

จากนั้นไม่นาน มุลเลอร์ ก็มาบวกประตูที่สองของตัวเอง ก่อนที่ลูกทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า อย่าง เยโรม บัวเต็ง, ฟร้องค์ ริเบรี่, โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์, มาริโอ เกิทเซ่ และโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ จะมาบวกกันอีกคนละประตูช่วยทีม

บาเยิร์น มิวนิค สามารถเอาชนะ เบนฟิกา ในรอบต่อไป แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันอีกครั้ง พ่ายแพ้ให้กับ บาร์เซโลน่า 5-3 จบการเดินทางไว้เพียงแค่รอบรองชนะเลิศ


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 7 – 0 ชาลเก้ 04 (12 มีนาคม 2019)

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถสร้างสถิติให้กับพาทีมตัวเองด้วยการคว้าชัย 7 ประตูอีกครั้งอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการนำทัพแมนเชสเตอร์ ซิตี้

เหยื่อคราวนี้เป็น ชาลเก้ 04 ซิตี้สามารถเอาชนะมาได้ 3-2 ในเกมเลกแรกที่เจอกัน ส่วนในเลกที่สองทีมจากเยอรมันต้องบุกมาเจอกับฝันร้ายที่ยากจะลืม 2 ประตูของ เซร์คิโอ อเกวโร่ ตามมาด้วย เลรอย ซาเน่, ราฮีม สเตอริ่ง, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ฟิล โฟเด้น และกาเบรียล เฆซุส

อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องปกติของ ซิตี้ เมื่อเดินทางมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเส้นทางของพวกเขาก็จบลงจากผลเสมอ 4-4 กับ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ผลเสมอทำให้ ซิตี้ ตกรอบด้วยกฏอเวย์โกลทันที


รอบ 8 ทีมสุดท้าย

บาเยิร์น มิวนิค 8 – 2 บาร์เซโลน่า (14 สิงหาคม 2020)

เป็นปีที่รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ที่การแข่งขันฟุตบอลยุโรปรอบน็อคเอาท์จะลงเล่นเกมนัดเดียวเท่านั้นเพื่อตัดสินหาทีมเข้ารอบต่อไป

ผลการแข่นขันที่ออกมาเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด มันเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า บาร์ซ่า เดินมาผิดทาง และพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งดั่งเช่นอดีตอีกแล้ว บาเยิร์น มิวนิค ซัดไป 4 ประตูในช่วง 28 นาที แรกของเกม และมายิงได้อีก 4 ประตูในช่วง 28 นาทีสุดท้ายของเกม ส่งยอดแข้งที่ดีที่สุดของโลก ลิโอเนล เมสซี่ และเพื่อนร่วมทีม พ้นออกจากเวทียุโรปไปแบบไร้ความปราณี


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7 – 1 โรม่า (10 เมษายน 2007)

เป็นค่ำคืนที่ยากจะลืมสำหรับ โรม่า แต่กลับเป็นคืนที่สาวก เรด เดวิลส์ ยังจำไม่ลืม, หมาป่ากรุงโรม เดินทางไปที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยที่ขาข้างหนึ่งก้าวเข้ารอบรองชนะเลิศไปแล้ว จากผลเกมแรกที่ชนะมา 2-1 ที่สนามสตาดิโอ โอลิมปิโก

แต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็จัดแจงส่งผู้มาเยือนกลับอิตาลีไปแบบหมดสภาพ, ครึ่งเวลาแรก ไมเคิ่ล คาร์ริค, อลัน สมิธ, เวย์น รูนี่ย์ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ช่วยกันทำคนละประตู

ส่วนในครึ่งเวลาหลัง โรนัลโด้ และคาริค มายิงประตูที่สองของตัวเอง และ ปาทริซ เอวร่า มาเพิ่มประตูปิดท้ายถอนแค้น โรม่า ไปแบบทบต้นทบดอก

ชัยชนะนัดนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ ปีศาจแดง พลิกกลับมาเอาชนะได้หลังจากที่แพ้มาในเลกแรกของเกมยุโรปนับตั้งแต่ปี 1984 มันทำให้เหล่าแฟนบอลยูไนเต็ดทั่วโลกหวังว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จได้ แต่ความพ่ายแพ้ให้กับ เอซี มิลาน 5-3 ในรอบรองชนะเลิศก็ทำให้ความฝันนั้นต้องจบลง


รอบรองชนะเลิศ

บาเยิร์น มิวนิค 4 – 0 บาร์เซโลน่า (23 เมษายน 2013)

ยักษ์ใหญ่จากเยอรมัน สร้างสถิติคว้าชัยเยอะที่สุดในรอบรองชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการเปิดบ้านไล่ทุบ บร์เซโลน่า 4-0 ในเกมเลกแรกของฤดูกาล 2012/13

เกมนี้เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา, โธมัส มุลเลอร์ เป็นคนยิงประตูเปิดหัว และปิดท้าย ส่งทัพเสือใต้ เข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 3 จาก 4 ฤดูกาลในเวลานั้น

ส่วนอีก 2 ประตูเป็นการซัดของ มาริโอ โกเมซ และ อาร์เยน ร็อบเบน ช่วยให้ บาร์เซโลน่า ต้องพบกับความพ่ายแพ้มากที่สุดบนเวทียุโรปในเวลานั้น

บาเยิร์น เกือบจะสร้างประวัติศาสตร์ซ้ำได้อีกครั้งในเกมเลกที่สอง โดยพวกเขาบุกไปทุบ บาร์เซโลน่า ได้ถึงถิ่น คัมป์นู 3-0 ก่อนที่ อาร์เยน ร็อบเบน จะเป็นฮีโร่ยิงประตูชัยพาทีมคว้าชัยได้เหนือ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คู่อริจากบ้านเดียวกัน ในเกมนัดชิงชนะเลิศที่สังเวียน เวมบลีย์ ทำให้ เสือใต้ ได้ฉลองแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ในท้ายที่สุด


บาเยิร์น มิวนิค 0 – 4 เรอัล มาดริด (29 เมษายน 2014)

1 ปีหลังจากที่ บาเยิร์น มิวนิค สร้างความเจ็บปวดให้กับ บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด ก็ได้มาสางแค้นให้กับคู่แข่งตลอดกาล ด้วยการสั่งสอนให้ทีมจากเยอรมันได้รู้จักถึงความเจ็บปวดที่พวกเขาเคยทำลงไป

ชัยชนะเกมเลกแรกที่ เบร์นาเบว 1-0 ทำให้ทัพราชันชุดขาวเดินทางไป มิวนิค โดยกุมความได้เปรียบเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตามพวกเขากลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม, 2 ประตูจากลูกโหม่ง เซร์คิโอ รามอส และ ประตูที่ 15 ในทัวร์นาเม้นจากการสังหารของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ส่งผลให้ดาวยิงชาวโปรตุกีสสร้างสถิติยิงประตูสูงสุดในรายการ ทำให้เกมนี้ตัดสินหาผู้ชนะได้ตั้งแต่ครึ่งเวลาแรก ก่อนที่ โรนัลโด้ จะมาบวกอีกประตูเป็นการตอกย้ำให้ บาเยิร์น มิวนิค เจอกับผลการพ่ายแพ้ในบ้านที่มากที่สุดในเวทียุโรปของพวกเขา

บทสรุปของ แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลนี้ลูกทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ เมื่อในรอบชิงชนะเลิศเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด ทีมร่วมเมือง 4-1 ในช่วงต่อเวลพิเศษ และนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสถิติสุดโหดที่ทัพราชันชุดขาวครองความยิ่งใหญ่เหนือเวทียุโรปได้ถึง 4 ครั้งในรอบ 5 ปี


รอบชิงชนะเลิศ

เอซี มิลาน 4 – 0 บาร์เซโลน่า (19 พฤษภาคม 1994)

แม้จะโดนมองว่าเกมนี้จะเป็นรองทุกประตู แต่ มิลาน กลับฉีก บาร์เซโลน่า ของยอดกุนซือ โยฮัน ครีฟฟ์ ออกเป็นชิ้นๆ ชัยชนะที่ เอเธนส์ ยังคงเป็นเกมชิงชนะเลิศที่สกอร์ขาดลอยสุดในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จนถึงทุกวันนี้

การเหมาซัดคนเดียว 2 ประตูของ ดานิเอเล่ มาสซาโร่ ในครึ่งเวลาแรก ทำให้พลพรรครอสโซเนรี ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปคว้าถ้วยหูโตแล้ว และครึ่งเวลาเริ่มต้นมาได้เพียงไม่นาน เดยัน ซาวิเซวิช ก็มายิงประตูสุดเหนือชั้นให้ปีศาจแดงดำนำห่างออกไปอีก ถึงตอนนี้ผลลัพพ์ของเกมนี้จะลงเอยอย่างไรไม่ต้องสงสัย ก่อนที่ มาร์กเซล เดอไซญี่ จะมายิงประตูปิดท้ายเป็นการตอกย้ำ

ยิ่งไปกว่านั้นชัยชนะครั้งนี้ของ มิลาน ยังทำสำเร็จโดยที่ไม่มี ฟรังโก้ บาเรซี่ กัปตันทีมคนเก่ง และ อเลสซานโดร คอสตาคูร์ต้า ปราการหลังตัวเก่ง เนื่องจากทั้งคู่มีโทษแบนติดตัวลงสนามไม่ได้

โดยในฤดูกาลนี้ เอซี มิลาน สามารถคว้าถ้วยสคูเด็ตโต้ และ ยูโรเปี้ยน คัพ มาครองได้พร้อมกันเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสรอีกด้วย


ที่มา : fourfourtwo

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top