บทวิเคราะห์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2020/21 โปรแกรมการแข่งขันสัปดาห์ที่ 18 เป็นเกมแดงเดือดที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เมื่อ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งโดนเขี่ยลงมาเป็นรองจ่าฝูง เตรียมเปิดรังเหย้า แอนฟิลด์ ต้อนรับการมาเยือนของคู่อริตลอดกาล “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กลับมาทวงบัลลังก์ยึดตำแหน่งจ่าฝูงของลีกเอาไว้ได้ในเวลานี้ โดยทั้งสองทีมจะเริ่มลงสนามประลองแข้งกันในช่วงดึกของคืนวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม เวลา 23.30 น. ที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ

เริ่มกันที่ฝั่งเจ้าถิ่น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในฤดูกาลนี้ยังคงรักษามาตรฐานเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ได้ดี แม้จะต้องเจอกับมรสุมทั้งผู้เล่นบาดเจ็บ และติดโควิด-19 แต่ก็ยังพาทีมขึ้นมาอยู่โซนหัวตารางได้ แต่ในช่วงหลังทีมกลับฟอร์มแผ่วลงไปอย่างเห็นได้ชัด แนวรุกที่เคยขึ้นชื่อกลับมาฟอร์มตกพร้อมกัน 3 คนทำให้ 3 นัดหลังในลีกทัพหงส์แดงเอาชนะใครไม่ได้เลยทำผลงาน เสมอ 2 แพ้ 1 ยิ่งไปกว่านั้นยังทำมาได้เพียงแค่ประตูเดียวจาก 3 เกม จากผลงานสุดห่วยทำให้ทีมต้องกระเด็นหล่นจากที่หนึ่ง ลงมาอยู่อันดับที่ 2 ของตารางคะแนนในเวลานี้ ยังดีที่ได้ฟุตบอลรายการเอฟเอ คัพ มาคั้นกลาง และคู่แข่งสุดหินอย่าง “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า มาโดนเชื้อโควิด-19 เล่นงานทั้งแคมป์ส่งผลต้องส่งผู้เล่นชุดดาวรุ่งลงสนาม ทำให้ ลิเวอร์พูล ยิงเรียกความมั่นใจผ่านเข้ารอบไปได้ด้วยสกอร์ 4-1 สำหรับในเรื่องสภาพความพร้อมล่าสุดของทีมนั้นเจ้าบ้านยังคงมีปัญหาอย่างหนักในแนวรับเมื่อทั้ง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, โจ โกเมซ และ คอสตาส ซิมิกาส ต่างยังลงสนามช่วยทีมไม่ได้แน่นอน ส่วน โจเอล มาติป ก็มีแนวโน้มสูงที่จะไม่ผ่านความฟิตกลับมาลงสนามช่วยทีมได้เช่นกัน ด้านผู้เล่นในแนวรุกก็มี 2 รายที่จะลงสนามไม่ได้แน่นอนคือ นาบี เกอิต้า และ ดิโอโก้ โชต้า ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวมาอยู่ในสภาพพร้อมลงทำศึกครั้งนี้กันทุกคน

ทางด้านผู้มาเยือน “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทัพของกุนซืออารมณ์ดี โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กำลังอย่ในช่วงที่ฟอร์มร้อนแรงสุดๆ หากดูเฉพาะสถิติการลงสนามในลีก ยูไนเต็ด ไม่แพ้ใครมา 11 เกมติดต่อกันเข้าไปแล้ว โดยทำผลงานชนะ 9 แลเสมอ 2 เกม โดยนัดล่าสุดก็ฝ่าด่านทีมที่มีแนวรับสุดแข็งอย่าง “เดอะ คลาเร็ตส์” เบิร์นลีย์ ได้แบบหวุดหวิด 1-0 จากผลงานอันยอดเยี่มส่งผลให้ทัพปีศาจแดงพุ่งขึ้นไปยึดตำแหน่งจ่าฝูงของลีกได้อีกครั้ง โดยครั้งล่าสุดที่พวกเขาเคยครองบัลลังก์คือปี 2013 ในยุคของบรมกุนซืออย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือกว่า 8 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว ด้านสภาพความพร้อมล่าสุดของผู้มาเยือนหลังลงสนามเกมตกค้างไปเมื่อกลางสัปดาห์มีรายงานข่าวว่า อองโตนี่ มาร์กซิยาล มีอาการบาดเจ็บบริเวณแฮมสตริง แต่ดาวยิงชาวฝรั่งเศสก็ไม่ได้อาการหนักมากนักยังมีลุ้นที่จะลงสนามมาปั่นป่วนเจ้าบ้านได้หากผ่านความฟิต ส่วนผู้เล่นที่จะขาดหายไปแน่นอนมีอยู่ 2 รายด้วยกันคือ มาร์กอส โรโฮ และ ฟิล โจนส์ ซึ่งไม่ได้ส่งผลอะไรกับ ยูไนเต็ด แน่นอนเนื่องจากทั้งคู่ต้องเป็นแข้งส่วนเกินของทีมชุดนี้ ทำให้เกมนี้มีแนวโน้มสูงที่ เร้ด เดวิลล์ จะจัดผูเล่นชุดใหญ่ใส่ไข่พิเศษลงสนามดวลแข้งกับอริเบอร์หนึ่ง

วิเคราะห์ก่อนเกม ต้องยอมรับกันตามตรงว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็น หงส์แดง ที่เล่นได้เหนือกว่า ปีศาจแดง อย่างชัดเจน ทำให้สถิติการเจอกัน 5 เกมหลังสุดเป็นฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ทำได้ดีกว่ามากไม่แพ้เลยแม้แต่เกมเดียวเอาชนะไปได้ 3 เกม และเสมอกันอีก 2 เกม ด้วยฟอร์มการเล่นที่เป็นรองทำให้ช่วงหลังที่คู่นี้เจอกันไม่ได้เดือดเหมือนที่คอบอลหลายคนตั้งความหวังไว้ ทว่าในศักราชใหม่นี้ ยูไนเต็ด ดูจะกลับมาเล่นได้สมกับทีมที่คว้าแชมป์ได้มากที่สุดบนเกาะอังกฤษอีกครั้ง เชื่อว่าเกมนี้รูปเกมจะออกมาสนุกสูสีอย่างแน่นอน โดย ปีศาจแดง กำลังเล่นกันด้วยความมั่นใจนอกจาก บรูโน่ แฟร์นานเดส ที่เป็นตัวชูโรงบัญชาการทัพแล้ว ณ เวลานี้เจ้ามิดฟิลด์ตัวตัดผมอย่าง ปอล ป็อกบา ยังกลับมาฟอร์มเข้าฝักอีกครั้ง ทำให้การสร้างสรรค์เกมจากแดนกลางถือเป็นอาวุธเด็ดของผู้มาเยือนในเวลานี้ ด้านแผงหลังของทีมก็เล่นกันได้ลงตัวขึ้นเรื่อยๆ ฟอร์มของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าของเงินที่ ยูไนเต็ด ยอมทุ่มเงินลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามผู้มาเยือนก็ไม่ได้ไร้เทียมทานซะทุกสิ่งในแดนหน้าพวกเขายังมีปัญหาเรื่องการจบสกอร์ที่ไร้ความเฉียบคมแม้บอลจากแผงมิดฟิลด์จะสร้างสรรค์โอกาสได้มากก็จะเห็นอยู่บ่อยครั้งที่กองหน้าของทีมทำหมูหกยิงทิ้งๆ ขว้างๆ ไปซะอย่างงั้น ทำให้หลายเกมต้องให้กองกลางคอยสอดขึ้นมาทำประตูแทน และการป้องกันลูกเซ็ทเพย์ก็ยังเสียประตูง่ายๆให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง ทางด้านฟอร์มการเล่นของ หงส์แเดง เกมรุกมีปัญาประสานงานกันไม่เข้าขากันเลยในช่วงหลัง ดูจะต่างคนต่างเล่นกันไปหน่อย ทำให้ทีมทำประตูแทบไม่ได้เลยในช่วงหลัง แต่พวกเขายังคงอันตรายมีความเร็วที่จะป่วนแนวรับคู่แข่งได้ และ โม ซาล่าห์ ก็ยังคงทำประตูได้เรื่อยๆ ซัดไป 13 ประตูแล้วทำให้เกมนี้ก็มีโอกาสกลับมาเข้าฟอร์มได้ สิ่งดีๆ ของทีมในเวลานี้อยู่ที่แดนกลางหลังได้ ติอาโก้ กลับมาลงสนามได้ ดูคลาสบอลและการคุมจังหวะการเล่นของทีมจะเข้าที่เข้าทางขึ้น บวกกับความฟิตเต็มสูบหลังได้พักมาเต็มๆ เชื่อว่าเกมแบบนี้ในเรื่องพลังงานลูกทีมของ คล็อปป์ น่าจะมีมากกว่า แต่ปัญหาที่หนักสุดเลยเป็นแดนหลังที่จะขาด เซ็นเตอร์แบ็คเบอร์หนึ่ง, สอง และอาจจะสาม การจะป้องกันเกมรุกของ ยูไนเต็ด ที่กำลังเข้าข้อเป็นงานยากเหลือเกิน ด้านรูปเกมว่าทั้งสองฝ่ายจะผลัดกันรุกรับ และวิ่งเพรสซิ่งเข้าใส่กันตั้งแต่เริ่มต้น แต่ด้วยความกังวลว่าจะโดนเกมสวนเนื่องจากทั้งสองทีมมีแนวรุกที่เล่นเกมสวนกลับได้ดีทั้งคู่ทำให้ทั้งสองทีมจะเน้นชัวร์ทำให้รูปเกมจะชวนอึดอัดเหมือนหลายเกมที่เจอกัน ทว่าหากแฟนบอลอยากดูบอลมันๆ ก็ต้องไปลุ้นให้มีประตูเกิดขึ้นไวๆ ด้วยศักดิ์ศรีของทั้งคู่ที่มีตำแหน่งจ่าฝูงของลีกเป็นเดิมพันทีมที่ตามหลังจะต้องยอมเปิดหน้า ทำให้จะเกิดการแลกหมัดกันสนุกอย่างแน่นอน สุดท้ายหากว่ากันตามฟอร์มและความพร้อม ยูไนเต็ด ดูจะมีภาษีที่ดีกว่าในการคว้าชัยศึกครั้งนี้ แต่ผลงานของ ลิเวอร์พูล ในถิ่นแอนฟิลด์ยังคงขึ้นชื่อเรื่องแพ้ยากครั้งสุดท้ายที่แพ้(ในลีก)ต้องย้อนกลับไปถึงฤดูกาล 2016/17 หรือเป็นเวลา 3 ปีกว่าๆ จึงมองว่าบทสรุปของเกมนี้มีโอกาสสูงที่ศึก “แดงเดือด” ครั้งนี้จะจบลงด้วยการสมานฉันท์แบ่งแต้มกันไปแบบสนุก

ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลิสซอน เบ็คเกอร์ (GK) – เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, นาธาเนียล ฟิลลิปส์, ฟาบินโญ่, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, ติอาโก้, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา (GK) – อารอน วาน-บิสซาก้า, เอริก ไบญี่, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, ลุค ชอว์ – ปอล ป็อกบา, เนมานย่า มาติช – มาร์คัส แรชฟอร์ด, บรูโน่ แฟร์นานเดส, อ็องโตนี่ มาร์กซิอัล – เอดิสัน คาวานี่

ผลสกอร์ที่คาด : ลิเวอร์พูล 1 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด