Home บทความฟุตบอล 10 ดีลการจ่ายเงินชดเชยผู้จัดการทีมมากที่สุดในโลกฟุตบอล ตอนที่ 1

10 ดีลการจ่ายเงินชดเชยผู้จัดการทีมมากที่สุดในโลกฟุตบอล ตอนที่ 1

0
10 ดีลการจ่ายเงินชดเชยผู้จัดการทีมมากที่สุดในโลกฟุตบอล ตอนที่ 1

การบริหารจัดการสโมสรฟุตบอล เรื่องงบประมาณในการทำทีม ไม่ว่าจะเป็นทีมเล็กหรือทีมใหญ่ ย่อมต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ยิ่งอยู่ในช่วงวิกฤติแบบนี้ รายได้ขาเข้าไม่ไหลลื่นเหมือนเดิม แต่รายจ่ายนั้นใกล้เคียงกับแต่ก่อน ทำได้แค่ใช้นโยบายรับเข็มขัดเอาตัวรอด การจะโปรยเงินไปจัดการส่วนไหน ย่อมต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเสริมทัพเท่านั้น แต่การเลือกโค้ชที่เหมาะสม เพื่อใช้งานระยะยาวก็จำเป็นไม่ต่างกัน

แน่นอนว่าอาชีพผู้จัดการทีม ย่อมต้องการความมั่นคงและแน่นอนของระยะเวลาการทำทีม ยิ่งเป็นทีมระดับท็อปด้วยแล้ว เดี๋ยวนี้เสนอสัญญาให้เซ็นกันหลัก 1-2 ปีเท่านั้น ต่อให้เป็นเทรนเนอร์มีชื่อเสียงก็ตาม เพราะสโมสรก็ต้องเสี่ยงว่าจะทำทีมได้ตรงตามเป้าหรือไม่? ซึ่งรายจ่ายอีกหนึ่งตัว ที่มองข้ามไม่ได้ แล้วเป็นสิ่งที่ทำให้แต่ละทีม ไม่กล้าที่จะปรับเปลี่ยนหัวเรือแบบทันควัน คือ เรื่องของเงินค่าชดเชย หากอยู่ไม่ครบสัญญา

ต่อให้ผลงานของทำดำดิ่งขนาดไหน แต่ถ้าเจอสัญญาที่เรียกร้องค่าชดเชยโหดๆ ก็ต้องคิดหน้าคิดหลังกันให้ดี เนื่องจากต้องจ่ายสองต่อนอกจากจะจ่ายค่าปลดคนเก่า เรื่องค่าจ้างของคนใหม่ ก็จ่อคิวรอเรียกเก็บเงินอยู่แบบต่อเนื่อง

บทความนี้ทีมงาน 168kick ได้รวบรวมเอาข้อมูล 10 อันดับการจ่ายค่าชดเชย ให้กับผู้จัดการทีมสูงสุดในโลกฟุตบอล โดยจะแบ่งเป็นสองตอน เพื่อไม่ให้เนื้อหานั้นล้นจนเกินไป โดยจะเปิดหวักันที่อันดับ 10-6 เป็นการเรียกน้ำย่อยกันไปก่อน

เปิดหัวกันที่อันดับที่ 10 เป็นการปลดผู้จัดการทีม ที่เกิดขึ้นในปี 2015 แล้วสโมสรที่กระทำการดังกล่าว คือ เชลซี ที่ตัดสินใจจบเส้นทางกับ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่คัมแบ็คมาคุมทีมรอบที่สองเอาไว้แค่ตรงนั้น หลังฟอร์มของทีมเริ่มไม่เข้าที่เข้าทาง นักเตะเริ่มขาดความเชื่อมั่น บวกกับเสียงเรียกร้องของแฟนบอล ทำให้ “อากู๋โรมัน อบราโมวิช ยอมทุบคลังราว 9.5 ล้านปอนด์ จ่ายค่าชดเชยให้กับ เดอะ สเปเชี่ยล วัน ไปหางานใหม่ต่อไป เนื่องจากทนกับผลงานช่วงออกสตาร์ทของทีมไม่ไหวจริงๆ

อันดับที่ 9 ยังคงเป็นสโมสรเดิม คือ เชลซี ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเชือดผู้จัดการทีมอยู่แล้ว โดยดีลนี้เกิดขึ้นในปี 2012 ซึ่งเทรนเนอร์ที่โดนเด้งเป็นทาง โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ อดีตฮีโร่ตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ ที่ตอนได้สัญญาชั่วคราว พาทีมไปได้ไกลสุดๆ คว้าแชมป์ไปถึงสองรายการอย่าง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่พอเซ็นต์สัญญาแบบถาวร ผลงานกลับดำดิ่งจน เจ้าสัวโรมัน ฐาตุไฟแตกทนไม่ไหว ยอมควักกระเป๋าราว 10.7 ล้านปอนด์ เฉดหัวทิ้งแบบไม่ใยดี

ข้ามมาที่อันดับที่ 8 ก็ยังคงเป็น เชลซี ที่ใช้เงินส่วนนี้เปลืองเป็นพิเศษ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้จัดการทีมเป็นว่าเล่น หากผลงานเริ่มไม่เข้าตาเมื่อไหร่ เก้าอี้พร้อมที่จะร้อนแบบไฟลุก คราวนี้เป็นคิวของ อังเดร วิลลาส-โบอาส กุนซือหนุ่มเจ้าของฉายา “นั่งยอง” ที่ปลิวออกจากตำแหน่งในปี 2012 เรียกว่าปีเดียวเปลี่ยนหัวเรือถึงสองรอบ รับเงินชดเชยไปนิ่มๆ 12.0 ล้านปอนด์ ก่อนจะไปรับงานคุมทัพ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในเวลาต่อมา

ต่อกันที่อันดับที่ 7 เป็นคิวของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ กันบ้าง ที่ตัดสินใจไล่โค้ชคู่บุญอย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่ถึงแม้จะวางรากฐานทีม จนผลงานไต่ระดับมาดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ฟอร์มช่วงออกสตาร์ทในปี 2019 ทัพ ไก่เดือยทอง ที่ใช้เงินไปแบบเต็มสูบ ผลงานกลับไม่โดดเด่นอย่างที่หวัง บอร์ดบริหารจึงตัดสินใจจบเส้นทางเอาไว้เท่านั้น แล้วยอมจ่ายเงิน 12.5 ล้านปอนด์ เป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับ พอช ไปพลางๆ ระหว่างรองานใหม่

ปิดท้ายบทความนี้นี้กันที่อันดับที่ 6 คราวนี้เป็นคิวของทีมชาติกันบ้าง ซึ่งเป็นทาง “หมีขาวรัสเซีย ที่ยอมทุบคลังราว 13.4 ล้านปอนด์ เพื่อปลดทาง ฟาบิโอ คาเปลโล่ เทรนเนอร์มือเก๋าชาวอิตาลี ออกจากตำแหน่งในปี 2015 การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงานโดยรวมของทีมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะสมาธิที่ไขว้เขวของ คาเปลโล่ ที่โดนตามจีบจากสโมสรเงินถึงเงินถึง จากศึก ไชนีส ซูเปอร์ลีก ประเทศจีน อีกด้วย

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้