10 เทรนเนอร์ พรีเมียร์ลีก ที่คุมทีมสั้นที่สุด ตอนจบ

ความเดิมจากบทความที่แล้ว ที่ทางทีมงาน 168Kick ได้นำเสนอเกี่ยวกับ 10 อันดับผู้จัดการทีมในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ดำรงค์ตำแหน่งในการคุมทีมได้สั้นที่สุดไปแล้วในอันดับที่ 6-10 ซึ่งแต่ละรายนั้นมีดีกรีที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะกุนซือมีชื่อ หรือ มือใหม่ที่เข้ามารับเผือกร้อน ล้วนต้องเผชิญชะตากรรมและความกดดันที่สูงไม่ต่างกันเนื่องจากลีกแดนผู้ดีนั้นขึ้นชื่ออยู่แล้ว เรื่องการแข่งขันที่สูงลิบลิ่ว รวมไปถึงแฟนบอลที่เอาใจยาก ถ้าผลงานไม่ดีติดต่อกัน 4-5 นัด กระแสสื่อต่างๆ ก็พร้อมถาโถมเล่นงานโจมตีได้ทุกเมื่อ แบบไม่มีไว้หน้าใคร

บทความนี้จะเป็นการนำเสนอแบบต่อเนื่องในอันดับที่ 5 ไล่เรียงไปจนถึงอันดับที่ 1 ซึ่งแต่ละรายที่ติดโผเข้ามานั้น ล้วนมีระยะเวลาในการคุมทัพแบบสั้นจุดจู๋ แต่ผู้โชคร้ายแต่ละคนที่ติดโผเข้ามาในลิสต์ จะเป็นใครกันบ้าง? มีตัวเลือกในใจที่ผู้อ่านนึกถึงไว้บ้างหรือไม่? แล้วพวกเขาเหล่านั้นทำงานได้เพียงกี่วันก่อนกระเด็นตกเก้าอี้? ทุกคำถามดังกล่าวมีคำตอบอยู่ภายในบทความนี้แล้ว

เริ่มต้นกันที่อันดับที่ 5 เป็นเทรนเนอร์ชื่อดังชาวสเปนอย่าง กีเก้ ซานเชซ ฟลอเรส ที่ผ่านงานในวงการลูกหนังมาอย่างโชกโชน ซึ่งการเข้ามารับตำแหน่งของเขา นั้นเป็นคำรบที่สองที่ลมพัดหวนกลับทีมเก่า ในวันที่ 9 กันยายา ปี 2019 แต่กลับอยู่กับทีมได้ถึงแค่วันที่ 1 ธันวาคม ปีเดียวกัน รวมระยะเวลาเพียงแค่ 84 วันเท่านั้น โดยเขาเข้ามาแทนที่ของ ฆาบี กราเซีย โค้ชคนบ้านเดียวกัน ที่พาทัพ แตนอาละวาด เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศศึก เอฟเอ คัพ แค่ไม่กี่เดือนก่อน แต่บอร์ดบริหารกลับเชื่อมือกุนซือคนคุ้นเคยอย่าง กีเก้ ที่เคยพาทีมเกาะอยู่กลุ่มกลางตารางมาก่อนมากกว่า ในการพาทีมตะลุยพรีเมียร์ลีก แล้วผลงานก็ไม่เป็นดังที่คาด เพราะเขาพาทีมเก็บชัยไปได้แค่เกมเดียว แถมยังมีเกมสุดอัปยศ ที่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่มแบบยับเยินไปถึง 8-0 เป็นภาพอันเหลวแหลกที่ยากจะลืมทิ้งท้ายเอาไว้อีกด้วย ก่อนที่จะอำลาตำแหน่งไป

ต่อกันที่อันดับที่ 4 เป็นคิวของ บ็อบ แบรดลี่ย์ โค้ชหนุ่มชาวอเมริกัน ที่เอาชนะตัวเลือกอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ เข้ามารับงานคุมทีม สวอนซี ซิตี้ ซึ่งเอาจริงๆ แล้วกระแสของเขาดูจะไม่ได้รับการต้อนรับจากแฟนบอลเท่าไหร่นัก เพราะดูชื่อชั้นเป็นรองแคนดิเดตอย่างปีกพ่อมดพอสมควร โดยประธานสโมสรอย่าง ฮูว์ เจนกิ้นส์ ให้เหตุผลในการเลือก แบรดลี่ย์ เข้ามาทำทีมว่า ต้องการผู้จัดการทีมที่ทำอยู่กับทีมในระยะยาว แล้วสามารถเข้ามาแก้ปัญหาเกมรับอันย่ำแย่ของทีมได้ แต่กลายเป็นว่า แบรดลี่ย์ ที่เริ่มงานในวันที่ 3 ตุลาคม ปี 2016 กลับอยู่กับทีมได้ถึงแค่วันที่ 27 ธันวาคม ในปีเดียวกันเท่านั้น รวมระยะเวลาแค่ 84 วัน จากผลงานอันย่ำแย่ในการคุมทีม 11 นัด พาทัพ หงส์ขาว เก็บไปได้แค่ 8 แต้ม แถมเสียไปมากถึง 29 ประตู ดูเหมือนว่า จะไม่มีอะไรตรงกับที่ เจนกิ้นส์ ตั้งเป้าเอาไว้เลยสักอย่างเดียว

ถัดมาในอันดับที่ 3 เป็นคิวของเทรนเนอร์ชื่อดังอย่าง แฟร้งค์ เดอ บัวร์ ที่ดีกรีเป็นนักเตะระดับตำนานของทีมชาติฮอลแลนด์ ที่เพิ่งจะออกจากงานที่ อินเตอร์ มิลาน หลังคุมทีมได้เพียง 85 วัน แล้วมารับงานด่วนแบบทันทีที่ คริสตัล พาเลซ แทนที่ของ แซม อัลลาไดซ์ กุนซือมือเก๋า ในวันที่ 26 มิถุนายน ปี 2017 ด้วยความหวังว่าจะเป็นปรากฏการณ์ประจำลีก เพราะชื่อชั้นของเขาดูไม่ธรรมดา แต่กลายเป็นว่าผลงานเข้าขั้นแย่ที่สุด เหมือนเอาชื่อมาทิ้งซะเฉยๆ เพราะสี่เกมแรกของ เดอ บัวร์ นั้นพาทัพ ปราสาทเรือนแก้ว แพ้รวด เก็บไม่ได้แม้แต่แต้มเดียว แถมยิงไม่ได้เลยสักลูก จนทำให้บอร์ดบริหารของทีมทนไม่ไหว ตัดสินใจปลดเขาออกจากตำแหน่งในวันที่ 11 กันยายน ปีเดียวกัน กลายเป็นว่างานคุมทีมครั้งนี้ จบลงเร็วกว่าในอิตาลีเสียอีก แค่ 77 วันเท่านั้น ซึ่งเป็นสถิติผู้จัดการทีมที่คุมทัพสั้นที่สุดของ คริสตัล พาเลซ อีกด้วย

ต่อกันที่อันดับที่สอง เป็นคิวของอดีตผู้ช่วยมือดี ที่เคยผ่านงานสโมสรใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแล้วอย่าง เรเน่ มูเลนสตีน ที่ว่ากันว่าเขาเป็นสตาฟฟ์โค้ชมือทองคนหนึ่งของวงการฟุตบอลอังกฤษ โดยเป็นสโมสรอย่าง ฟูแล่ม ที่กล้าเสี่ยงมอบตำแหน่งผู้จัดการทีม ให้เขาเป็นหัวเรือในวันที่ 1 ธันวาคม ปี 2013 แล้วแค่ไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่ง มูเลนสตีน ก็ทำการปลุกใจลูกทีมแบบแปลกๆ ด้วยการบอกให้พวกเขาปลุกสัญาชาติญาณการเป็นสัตว์ป่าออกมา แล้วถามว่าแต่ละคนต้องการเป็นสัตว์ประเภทไหน ซึ่งไม่น่าแปลกใจนักที่ทัพ เจ้าสัวน้อย จะเก็บชัยไปได้แค่ 3 เกม จากการลงเล่นเกมลีกทั้งหมด 13 นัด แล้วก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี 2014 รวมแล้วทำงานได้เพียงแค่ 75 วัน โดยผู้ที่มาแทน คือ เฟลิกซ์ มากัธ แต่ฟอร์มของทีมก็ห่วยเหมือนเดิม

ปิดท้ายกันที่อันดับที่ 1 เจ้าของตำแหน่งเป็น เลส รีด ที่ถูกทาง ชาร์ลตัน แอธเลติกส์ เลือกเข้ามาเพื่อกู้สถานการณ์ของทีม โดยมีดีกรีเป็นนักเขียนชื่อดัง ที่เขียนตำราการคุมทีมเบื้องต้นให้กับโค้ชของสมาคมฟุตบอลประเทศอังกฤษ แต่กลายเป็นว่า รีด ดูท่าจะเก่งแต่ในตำรา ไม่เหมาะกับงานคุมทีมจริงๆ ที่ข้างสนาม เพราะท่าทางของเขาดูไร้พลัง จนถูกสื่อตั้งฉายาให้ว่า เป็นกุนซือผู้น่าสงสาร เหมือนสั่งแล้วลูกทีมไม่ทำตาม เพียงแค่ 6 สัปดาห์ ก็พาทีมตกรอบศึก ลีก คัพ ด้วยการแพ้ให้กับ วีคอมบ์ วันเดอร์เรอร์ส ที่เป็นทีมรองบ่อน บวกกับการเก็บชัยในลีกได้เพียงแค่เกมเดียว สรุปแล้ว รีด เข้ารับงานในวันที่ 14 พฤศจิกายน ปี 2006 แต่ถูกปลดอย่างรวดเร็วในวันที่ 24 ธันวาคม ปีเดียวกัน ซึ่งบอร์ดบริหารของ ชาร์ลตัน ก็หาของขวัญชิ้นใหม่ให้กับแฟนบอลฉลองวันคริสมาสต์ ด้วยการดึงตัว อลัน พาร์ดิว มารับตำแหน่งแทน

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top